โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

EV มาแรง! “สรรพสามิต” ลุยชงของบ 7,000 ล้าน เตรียมจ่ายอุดหนุนอีก 3.5 หมื่นคัน

Media Tank

เผยแพร่ 09 ก.ค. เวลา 09.45 น.
Media Tank
Media Tank

“สรรพสามิต” ชงของบกลาง 7,000 ล้านบาท จ่ายเงินอุดหนุนอีก 3.5 หมื่นคัน คันละ 1.5 แสนบาท ฟุ้งมาตรการรัฐสุดแจ่ม ดันค่าย “รถยนต์” เตรียมปักหมุดลงทุนไทยกระหึ่ม 4 หมื่นล้านบาท หวังปั๊มยอดผลิตรถ “อีวี” (EV) ได้ 8-9 หมื่นคัน

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างของบกลาง จากสำนักงบประมาณ อีกราว 7 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการจ่ายเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อีก 3.5 หมื่นคัน ตามมาตรการอีวี 3.0 ของรัฐบาล หลังจากที่ได้มีการจ่ายเงินอุดหนุนสำหรับรถอีวีที่เข้าเงื่อนไขในรอบแลกไปแล้ว ราว 4 หมื่นคัน คิดเป็นวงเงิน 7 พันล้านบาท

“มาตรการอีวี 3.0 นั้น คาดว่าจะใช้งบประมาณสำหรับจ่ายเงินอุดหนุนราว 1.4 หมื่นล้านบาท โดยรอบแรกกรมฯ จ่ายไปหมดแล้ว 4 หมื่นคัน 7 พันล้านบาท แต่ยังเหลือตกค้างอีก 3.5 หมื่นคัน ซึ่งได้ส่งเรื่องไปที่สำนักงบประมาณเพื่อขอใช้งบกลางอีกราว 7 พันล้านบาท โดยอยู่ระหว่างเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)” นายเอกนิติ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ที่เข้ามาเซ็นสัญญาเพื่อรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการสนับสนุนอีวี 3.0 ของรัฐบาล (ปี 2565-2566) แล้ว 23 บริษัท ซึ่งจะได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% และได้รับเงินอุดหนุนคันละ 7 หมื่น – 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่ และ มีเงื่อนไข ว่า ค่ายรถยนต์ดังกล่าวจะต้องมีการตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยเพื่อชดเชยการนำรถอีวีเข้ามาขาย 1 เท่าด้วย โดยจะต้องเริ่มผลิตรถอีวีในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2567-2568 ซึ่งขณะนี้พบว่ามีค่ายรถยต์ที่เตรียมเข้ามาลงทุนในไทยแล้ว คิดเป็นเม็ดเงินราว 4 หมื่นล้านบาทตรงนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมอีวีในไทยให้กลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต

โดยค่ายรถยนต์ที่เข้ามาตรการอีวี 3.0 มีการนำเข้ารถอีวี ราว 1 แสนคัน ดังนั้นจะต้องผลิตชดเชยการนำเข้า 1 เท่า โดยเท่าที่ได้มีการสอบถามไปยังค่ายรถยนต์ที่มาเปิดตั้งฐานการผลิตในไทยแล้ว คาดว่าน่าจะผลิตได้ราว 8-9 หมื่นคัน และ ตามแผน 30@30 ที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายภายในปี 2573 จะมีการผลิตรถอีวีในไทยอยู่ที่ 7.5 แสนคันนั้น เชื่อว่าจะเป็นไปได้ตามแผนแน่นอน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังคงเดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมอีวีต่อเนื่อง ผ่านมาตรการอีวี 3.5 ซึ่งปัจจุบันมีค่ายรถยนต์เข้ามาเซ็นสัญญากับกรมฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์แล้ว 8 ราย โดยในส่วนนี้ก็จะได้รับเงินอุดหนุนราคารถยนต์เช่นเดียวกัน แต่ในระดับที่แตกต่างจากมาตรการอีวี 3.0 โดยรถอีวีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 กิโลวัตต์จะได้รับเงินอุดหนุน 1 แสนบาทต่อคันในปีแรก และ 7.5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่ 2 และ 5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่ 3-4 ส่วนรถอีวีที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 กิโลวัตต์ จะได้รับเงินอุดหนุน 5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่แระ และ 3.5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่ 2 และ 2.5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่ 3-4 และได้รับสิทธิประโยชน์ลดภาษีนำเข้า CBU ไม่เกิน 40% ในช่วง 2 ปีแรก (2567-2568) และลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2%

โดยปัจจุบันจะเริ่มเห็นการผลิตรถอีวีในประเทศไทย จากค่ายรถยนต์ที่เข้ามาตรการอีวี 3.0 แล้ว ส่วนค่ายรถยนต์ที่เข้ามาตรการอีวี 3.5 นั้น จะต้องเริ่มผลิตรถอีวีในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2569-2570 ซึ่งมาตรการสนับสนุนอีวีของรัฐบาลทั้งหมดจะจบลงในปี 2570 จะไม่มีการอุดหนุน หรือการลดภาษีให้แต่อย่างใด ดังนั้นจึงมองว่ามาตรการดังกล่าวถือเป็นแรงกระตุ้นเพื่อให้เกิดฐานการผลิตรถยนต์อีวีในประเทศไทย

“ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนอีวีของรัฐบาล คือ ได้เม็ดเงินลงทุน ได้ฐานการผลิตที่ดึงอุตสาหกรรมใหม่ เช่น แบตเตอรี่ และพาร์ทต่าง ๆ ของอีวี ซึ่งตอบโจทย์รัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตและขับเคลื่อนยานยนต์สมัยใหม่ในอนาคต ดังนั้นแม้ว่าจะมีการปรับลดภาษีอีวีจาก 8% ลงมาเหลือ 2% รายได้ของกรมฯ จะลดลง แต่ประโยชน์ที่เกิดกับประเทศ คือ ฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ จึงถือเป็นโอกาสที่สำคัญของประเทศไทยอย่างมาก” อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุ

อย่างไรก็ดี ในส่วนรถยนต์สันดาปนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เร่งพิจารณาแนวทางการสนับสนุนและช่วยเหลือเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเบื้องต้นได้มีการหารือกับค่ายรถยนต์สันดาปบ้างแล้ว หลักๆ มีการขดลดอัตราภาษี ซึ่งกรมฯ มีเงื่อนไขว่าการลดภาษีจะต้องนำมาด้วยการสร้างฐานการผลิตในประเทศ การลงทุนที่ต้องคุ้มค่า เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรม และสร้างชีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในอุตสาหกรรมรถยนต์

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต
0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น