โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

แฟชั่น บิวตี้

เรียนหัวจะแตกแล้ว หน่านิ๊! 7 เหตุผล ทำไมใครๆ ก็บ่นว่าภาษาญี่ปุ่น 'ยากเกินห้ามใจ' TT

SistaCafe

อัพเดต 08 ก.ย 2563 เวลา 07.24 น. • เผยแพร่ 06 ก.ย 2563 เวลา 03.00 น. • Mollacake

 

คอนนิจิวะค่าา สาวๆ SistaCafe โซนญี่ปุ่นทั้งหลาย ( ´ ∀ `)ノ~ ♡
ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาก็มาก ว่าในบรรดาภาษาทั้งหมดบนโลกใบนี้ หนึ่งในภาษาที่ซับซ้อน ไวยากรณ์และคันจิก็ยากสุดๆ จนหลายคนต้องล้มเลิกการเรียนไประหว่างทาง จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก ' ภาษาญี่ปุ่น '! ยิ่งคนไทยอย่างเราๆ แทบจะเรียกว่าต้องเริ่มจาก 0 เพราะระบบการออกเสียงและไวยากรณ์ของภาษาไทย ต่างกับภาษาญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง TT มันเศร้าตรงนี้
แต่อย่างไรก็ตาม! ก็ยังมีสาวซิสหน้าใหม่อีกมากมาย ที่สนใจและหลงรักในประเทศญี่ปุ่น ชอบอนิเมะ ซีรีส์ การ์ตูน อาหาร และวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศนี้ บางคนก็จะนำภาษาไปใช้ทำงาน เป็นล่ามแปลภาษา หรือแค่ติ่งหนุ่มญี่ปุ่น ( อิอิ ) จึงอยากลองลงเรียนดูสักครั้ง ซึ่งในฐานะของคนที่เรียนภาษานี้มาแล้วในระดับนึง ( ปัจจุบัน เรามีความรู้ประมาณ N3 หรือระดับกลาง ซึ่ง N5 จะง่ายสุด N1 จะยากสุด ) ก็พอจะบอกได้ว่า สาวๆ จะต้องเจอกับอะไรบ้างระหว่างเรียน เผื่อไม่ชอบ ไม่ไหว จะได้หนีทัน ( เดี๋ยวๆๆ… )  หากพร้อมแล้ว ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกดเลื่อนลงไปอ่านข้างล่างกันได้เลยค่ะ!
**ข้อมูลทั้งหมดจะอ้างอิงจากประสบการณ์ตรง อาจมีผิดพลาดไปบ้าง หรือไม่ครบถ้วนเท่าคนที่เรียนในระดับสูง ก็ต้องขออภัยล่วงหน้าไว้ก่อนเลยเน้อ (ไม่ใช่อะไร กลัวทัวร์ลงจ้าแม่ T
T )

1. มีตัวอักษรพื้นฐานถึง 3 ชุด! ( ฮิรางานะ, คาตาคานะ, คันจิ )

ธรรมชาติของภาษาทั่วๆ ไป จะมีระบบตัวอักษรแค่ 1 รูปแบบเท่านั้น เช่น ภาษาไทยของเรา, ภาษาอังกฤษ, ภาษาสเปน, ภาษาอิตาเลียน etc. แต่ภาษาญี่ปุ่นนางมาเหนือจ้า เพราะนางมีระบบตัวอักษรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายถึง 3 รูปแบบ ดังนี้
1. ฮิรางานะ ( ตัวอักษรพื้นฐานสุดๆ ที่ต้องรู้ถ้าจะเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น เป็นอักษรญี่ปุ่นแท้ มี 46 ตัวด้วยกัน *ตารางครึ่งบนของรูป* )
2. คาตาคานะ ( ตัวอักษรที่คิดค้นขึ้น เพื่อสะกดคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ หรือเน้นคำสำคัญ คำใช้โฆษณา มีจำนวนเท่ากับฮิรางานะ คือ 46 ตัว *ตารางครึ่งล่างของรูป* )
3. คันจิ ( เป็นตัวอักษรที่คนต่างชาติตกม้าตายกันมากที่สุด เพราะมีมากถึงหลายพันตัว ซับซ้อนเพราะมีหลายเส้น มีตั้งแต่ขีดไม่กี่เส้น กับตัวที่ขีดเป็นสิบเส้นยุ่บยั่บไปหมด - - แต่ถ้าต้องการระดับใช้ชีวิตประจำวันได้ ต้องรู้ถึง 2,136 ตัว เรียกว่า " โจโยคันจิ " ค่ะ )

นี่คันจิแค่เสี้ยวเดียวจ้า… #ล้องห้าย

ยังไม่นับตัวอักษรพิเศษอย่าง ' โรมะจิ ' หรือตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ถอดเสียงภาษาญี่ปุ่นมาอีกทีด้วยนะ คนต่างชาติหลายคนเลือกเรียนแค่โรมะจิเพราะไม่อยากสู้กับตัวอักษรใหม่ แต่เชื่อเราเถอะ ถ้าจะใช้ภาษานี้หากินจริงๆ โรมะจิอย่างเดียวไม่รอดเด้อ เพราะเธอจะอ่านอะไรไม่ออกเลย… --
จากประสบการณ์ส่วนตัวของเรา ฮิรางานะกับคาตาคานะไม่ยากมากนัก เพราะเป็นเพียงการขีดเส้นไม่กี่เส้น ใช้เวลา 3-4 เดือนก็จำและเขียนได้แม่นแล้ว แต่คันจิจะค่อนข้างใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ( จะว่ายากก็ไม่เชิง สำหรับเราคือต้องใช้เวลาจำมากกว่า ) 100 ตัวถ้าเรียนเร่งสุดๆ ก็ยังใช้เวลาถึง 3 เดือน แต่บางคนหัวดีมากๆ ก็จำคันจิเป็นพันตัวในเวลาเพียงปีเดียวได้เหมือนกัน ( ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรา… )

2. คันจิภาษาญี่ปุ่น เขียนเส้นผิดนิดเดียว ความหมายเปลี่ยนทันที!

ความปวดประสาทของ ' คันจิภาษาญี่ปุ่น ' ก็คือ มีตัวที่ขีดเส้นคล้ายๆ กันเยอะมาก ถ้าพิมพ์ในคอมหรือมือถือยังไม่เท่าไหร่ เพราะเราสามารถพิมพ์เป็นโรมะจิจากเสียงอ่าน แล้วเลือกคันจิจากคีย์บอร์ดได้ แต่ถ้าใช้มือเขียน เขียนบางเส้นผิด หรือหาย เกินไปแค่เส้นเดียว ก็มีปัญหาได้แล้ว เพราะความหมายเปลี่ยนทันที อย่างกับเล่นเกมจับผิดภาพ -_- ที่เราเจอบ่อยๆ ก็เช่น
1. 学 ( การศึกษา ), 字 ( ตัวอักษร ) *ต่างกันแค่ขีดข้างบนเส้นเดียว*
2. 待つ ( รอ, คอย ), 持つ ( ถือ ), 時 ( เวลา…โมง ) *ต่างแค่เส้นข้างหน้าไม่กี่เส้น*
3.  開ける ( เปิดประตู หน้าต่าง ), 関心 ( สนใจ ) *คันจิตัวแรกของคำว่าเปิด ต่างจากคันจิตัวแรกของคำว่าสนใจ แค่ขีดข้างบนอีกสองเส้น*
4. 月末 ( ปลายเดือน ), 未来 ( อนาคต ) *คันจิตัวหลังของคำแรก ต้องขีดเส้นแรกยาวกว่าเส้นที่สอง แต่คันจิตัวแรกของคำว่าอนาคต เส้นแรกจะสั้นกว่าเส้นที่สอง*
และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้เราสับสนงงงวย และเผลอกาข้อผิดได้ง่ายมากๆ เรียกได้ว่าถ้าจะเรียนภาษานี้ ต้องมีสติและสมาธิอยู่ตลอดเลยค่ะซิส ที่สำคัญคือควรมีสกิลที่จำแม่นด้วยนะ!

3. คันจิ 1 ตัว ออกเสียงได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับคำศัพท์ที่ใช้!

ความประสาทแ…. ตี๊ด! ของคันจิในภาษาญี่ปุ่นยังไม่จบแค่นั้นค่ะซิสขา! นอกจากมีจำนวนเยอะ ( มากกก ) เขียนคล้ายกันหลายตัว ในหนึ่งตัวยังสามารถมีมากกว่า 1 ความหมาย และออกเสียงได้มากกว่า 1 แบบอีกด้วย! ( บางตัวสามารถออกเสียงต่างกันได้ 7-8 เสียงเลยทีเดียว ) ซึ่งคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นจริงจัง ควรต้องจำเสียงทุกเสียงและความหมายทุกอย่างของคันจิทุกตัวได้ เป็นไง ฟังแล้วอึ้งไปรึยัง //ลูบๆ
ซึ่งคันจิแต่ละตัวจะออกเสียงแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้กับคำศัพท์ หรือคำกริยาอะไร เราไม่แน่ใจว่ามีหลักในการใช้หรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ก็เน้นการจำแยกทีละคำไปเลย ง่ายสุด เช่น
1. 食べ tabemono = ของกิน, 動 doubutsu = สัตว์, 荷 nimotsu = สัมภาระ
2. 製 seihin = สินค้าผลิตจากโรงงาน , shinamono = สินค้า, 出 shuppin = การนำสินค้าออกขาย
3. deru = ออกจาก,dasu = ส่ง นำออก, shuppatsu = ขาออก ( departure )
ก็จะประมาณนี้ และยังมีอีกหลายคำศัพท์ที่นักเรียนภาษาญี่ปุ่นจะต้องเจอ นี่แค่เบสิกเท่านั้น อย่าลืมเตรียมใจไว้รับมือด้วยนะคะ เพราะยังไงก็หนีไม่พ้นแน่นอน เหอ เหอ~~~  

4. มีรูปแบบการผันกริยา 'เยอะ มากกกก' ไม่ต่ำกว่า 11 รูปแบบ

โดยปกติ ภาษาอังกฤษที่เราๆ เรียนกันก็จะไม่มีการผันกริยาอะไรมากมายใช่ไหมคะ อย่างมากก็รูปอดีต ปัจจุบัน อนาคต past continuous, past perfect, present perfect อะไรก็ว่าไป จะเป็นรูปคำสั่ง คำถาม อะไรก็แค่เรียงคำใหม่ ไม่ต้องผันให้ยุ่งยากวุ่นวาย อย่างมากก็เติม ed หรือเปลี่ยนรูปนิดๆ หน่อยๆ 
แต่ภาษาญี่ปุ่นไม่ค่ะ!! ต้องผันกริยาใหม่ทั้งหมด ซึ่งภาษาญี่ปุ่นจะแยกกริยาเป็น 3 กลุ่มย่อย ในแต่ละกลุ่มย่อยก็จะมีกฎที่ผันต่างกันอีก! โดยการผันแต่ละรูปแบบ ต้องผันให้ได้ 4 แบบ คือ ปัจจุบัน, ปัจจุบันปฏิเสธ, อดีต และอดีตปฏิเสธ ซึ่งความยากก็คือ บางคำผันจนไม่เหลือรูปเดิมเลยก็มี ทำให้หาต้นตอของกริยานั้นๆ ไม่ได้ ต้องดูจากบริบทของประโยคอย่างเดียว ระดับสูงเราไม่แน่ใจข้อมูล แต่ถ้าจะเรียนให้ได้ถึงระดับกลาง ( N3 ) เธอต้องผันกริยาให้ได้ทั้งหมด 11 รูปแบบ! ดังนี้
1. masu-form ( สุภาพทั่วไป หากคุยกับใครแล้วไม่รู้จะลงท้ายให้สุภาพยังไง ก็ใช้รูปนี้ได้เลย ค่อนข้างครอบจักรวาล )
2. jisho-form ( รูปพจนานุกรม ลงท้ายด้วย ru る เป็นพื้นฐานหลักๆ ที่ต้องรู้ เพราะรูปนี้สามารถเอาไปผันต่อได้อีก! )
3. te-form ( ใช้ในการเชื่อมประโยคต่างๆ มากมาย รวมถึงการเชื้อเชิญ ชักชวน แนะนำ etc. )
4. ta-form ( ส่วนมากมักใช้ในรูปอดีต )
5. kanou-form ( กริยารูปสามารถ บ่งบอกว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง )
6. meirei-form ( รูปคำสั่ง มักจะได้ยินรูปนี้บ่อยๆ ในอนิเมะ เวลาหัวหน้าสั่งลูกน้อง หรือพ่อแม่สั่งลูก เป็นต้น )
7. ikou-form ( กริยารูปตั้งใจ ไว้ชักชวน หรือบ่งบอกความตั้งใจของตัวเองก็ได้ )
8. ukemi-form ( กริยารูปถูกกระทำ หรือ passive form บอกว่าเราหรือใครถูกทำอะไร จากใคร )
9. shieki form ( กริยารูปให้กระทำ ใช้กับคนสถานะสูงกว่า เพื่อให้เขาอนุญาตให้เราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักใช้ในรูปขอร้อง ขออนุญาต )
10. nai form ( กริยารูปปฏิเสธ )
11. jouken form ( กริยารูปเงื่อนไข ไว้บ่งบอกเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้น และผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา )
อย่าค่ะ อย่าเพิ่งเป็นลม ฮ่าๆๆ มันอาจจะดูเยอะนะ แต่ถ้าท่องไปเรื่อยๆ มันก็จะค่อยๆ จำได้เอง พยายามผันใส่ประโยคในชีวิตประจำวัน แล้วใช้ซ้ำๆ มันจะจำได้ไปเองโดยไม่ต้องคิดถึงกฎไวยากรณ์เลยค่ะ

5. มีระดับชั้นทางภาษาค่อนข้างเยอะ (ยกย่อง, ถ่อมตัว, สุภาพปกติ, ทั่วไป)

อย่างที่รู้กันว่า ประเทศญี่ปุ่นจะค่อนข้างซีเรียสเรื่องสถานะ ชนชั้น มารยาท เห็นได้จากภาษาที่มีระดับชั้นค่อนข้างซับซ้อนและละเอียดสุดๆ โดยเท่าที่เรียนมา จะมีรูปแบบหลักๆ ดังนี้
1. 尊敬語 sonkei-go รูปยกย่อง > ใช้พูดกับคนที่มีสถานะสูงกว่า โดยใช้รูปนี้กับพวกเขา โดยปกติจะใช้คู่กับรูปถ่อมตัว
2. 謙譲語 kenjou-go รูปถ่อมตัว > ใช้พูดกับคนที่มีสถานะสูงกว่า โดยใช้รูปนี้กับตัวเอง โดยปกติจะใช้คู่กับรูปยกย่อง
3. 丁寧語 teinei-go รูปสุภาพ > ใช้พูดกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน คนที่เราให้เกียรติ คนที่สถานะสูงกว่า แต่จะให้ความรู้สึกสบายๆ กว่าสองรูปข้างบน ค่อนข้างเป็นภาษากลางๆ ที่คนพูดกันในชีวิตทั่วไปมากที่สุดแล้ว
4. 普通形 futsuu-kei รูปธรรมดา > ใช้พูดกับคนที่สนิท เพื่อน หรือคนที่สถานะต่ำกว่า เช่น ลูกน้องที่ทำงาน ลูก สัตว์เลี้ยง และมักใช้เป็นส่วนประกอบของไวยากรณ์หลายข้อในภาษาญี่ปุ่นระดับพื้นฐานถึงระดับกลาง
ซึ่งหากเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ จริงๆ หรือเป็นคนที่เราไม่ชอบ ก็จะมีคำที่ถือว่า ' ไม่สุภาพ ( ค่อนไปทางหยาบคาย ) ' ได้อีก ซึ่งเอาจริงๆ เราว่าก็แอบคล้ายภาษาไทยนะ เพราะภาษาของเราก็มีระดับทางการ กึ่งทางการ สุภาพ ธรรมดา และรูปไม่สุภาพเหมือนกัน ข้อนี้น่าจะพอเก็ทได้ไม่ยาก แต่ฝรั่งตะวันตกที่ไม่เคยมีระดับภาษามาก่อน คงจะงงน่าดู

6. คำศัพท์ และคำกริยา มีคำพ้องเสียงซ้ำๆ เยอะมาก ต้องดูความแตกต่างที่คันจิ!

ข้อนี้แทบจะทำให้เราร้องกรี๊ด ช่วงที่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นใหม่ๆ เลยล่ะค่ะ! ก็อย่างที่รู้กันว่า ระบบการออกเสียงของญี่ปุ่น จะจำกัดอยู่ที่ 5 เสียง ( อะ อิ อุ เอะ โอะ ) เท่านั้น เขาจะออกเสียงควบกล้ำ รัวลิ้น หรือเสียงที่ต้องเป่าลมจากปากเหมือนภาษาไทย ภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างยาก ความหลากหลายของคำจึงค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงมีคำที่ออกเสียงซ้ำกัน ' เยอะมากๆ ' จนเหมือนเป็นเรื่องปกติไปเลยแหละ -__- 
ถ้าจะดูความแตกต่าง ต้องดูที่ตัวคันจิอย่างเดียว แม้แต่ในสนามสอบ ยังมีข้อสอบที่วัดความจำคันจิจากเสียงอ่านด้วยซ้ำไป เช่น au ( อะอุ) สามารถออกเสียงได้เหมือนกันเด๊ะ จากคำกริยาหกตัวอย่างที่เห็นในรูปด้านบน คืออ่านว่าอะอุทั้งหมดเลยจ้า - - ดังนั้นเวลาอ่านบทความ หรือป้ายอะไรก็ตาม ต้องเช็คดีๆ ว่าเราเข้าใจความหมายถูกจริงๆ หรือเปล่า จากตัวคันจิที่เขาเขียนนั่นเอง

7. 'สำเนียงภาษาญี่ปุ่น' เลียนแบบให้เหมือนได้ยากมากๆ! ฟังก็ยากเช่นกัน

ช่วงที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเดือนแรก เรางงมาก เกือบร้องไห้ เพราะคนญี่ปุ่น ( แม้กระทั่งครูที่ควรจะพูดช้าให้นักเรียนตามทัน ) พูดเร็วมากแม่! พูดเหมือนรัวปืนกล พูดเหมือนปวดอึไม่ไหวแล้วต้องรีบไปเข้าห้องน้ำ เออ เร็วประมาณนั้นแหละ! ต้องใช้สติและสมาธิมากในการฟัง ไม่อย่างนั้นจะหลุดประเด็นที่เขาจะสื่อได้ง่ายๆ เลย แม้ว่าจะเรียนมาเกือบปี เริ่มจับใจความสำคัญได้แล้ว ก็ยังไม่ชินอยู่ดี นี่คือสิ่งหนึ่งที่นักเรียนภาษาต้องปรับตัวให้ได้ เพราะชีวิตจริงคงไม่ใช่ทุกคนที่จะพูดช้าๆ ให้เราฟังเนอะ เผลอๆ รำคาญ เดินหนีเราไปอีก -*-
ประเด็นสุดท้ายที่อยากฝาก คือ ' สำเนียงภาษาญี่ปุ่น ' ที่เรารู้สึกว่าเลียนแบบให้เสียงคล้าย native ได้ยากกว่าภาษาอื่นๆ มาก ด้วย phonetics ( การออกเสียง ) ของเขาค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะ การทำรูปปาก ออกเสียงผ่านลิ้นและฟัน ถ้าไม่ได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ก็ยากมากๆ ที่จะเสียงกลมกลืนไปกับคนญี่ปุ่นได้แต่ถามว่าเราแคร์ไหมก็ไม่ ฮ่าๆ ขอแค่พูดแล้วอีกฝ่ายรู้เรื่องเราก็ดีใจแล้ว ถือว่ามิชชั่นคอมพลีท!

-------------------------------------
หลักๆ ความโหดของภาษาญี่ปุ่นก็จะประมาณนี้ค่ะ! เป็นไง ถอดใจกันไปบ้างแล้วหรือยัง นี่ยังไม่นับรายละเอียดจุกจิกยิบย่อยอีกนะ เช่น การใช้คำแทนตัวเอง คำแทนคนอื่นที่แตกต่างกัน แต่ความหมายเดียวกัน  การเติมคำนำหน้าคำศัพท์ต่างๆ เพื่อความสุภาพ ภาษาปกติ ภาษาเชิงธุรกิจ ถ้าไประดับสูงๆ ก็จะมีคำเฉพาะที่ใช้ในโรงพยาบาล ในโรงงานอีก มีแต่จะยากขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องเตรียมความมุ่งมั่นและสมองที่จำแม่นให้ดี สาวๆ ถึงจะรอด!
แต่สำหรับสาวซิสที่แค่อยากอ่านภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานพอรู้เรื่อง ระดับกลางก็น่าจะกำลังดี ไม่ยากเกินเอื้อมจนเกินไป ที่สำคัญภาษานี้นำไปสู่อาชีพและรายได้ที่ค่อนข้างดีด้วย ใครที่มีแพชชั่นกับภาษาญี่ปุ่น ก็ขอเชียร์ให้ไปถึงฝั่งได้ในที่สุด แม้จะมีอุปสรรคระหว่างทาง ก็อย่าท้อถอย สู้เข้าไว้ มาสนุกกับภาษาญี่ปุ่นไปด้วยกันนะคะ กัมบัตเตะรุ!!! 

ติดตามบทความใหม่ๆได้ที่ SistaCafe Facebook
SistaCafe เว็บไซต์รวบรวมบทความสำหรับผู้หญิง https://sistacafe.com
♥ ดาวน์โหลด App SistaCafe ฟรีได้แล้ววันนี้! ♥
iOS : AppStore
Android : PlayStore

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...