โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

นางเซียนอัปลักษณ์ล่มแคว้น

นิยาย Dek-D

อัพเดต 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • camellianovel
นางเซียนอัปลักษณ์ล่มแคว้น
ชาติก่อน นางโง่เขลาหลงรักบุรุษโฉดน้องชั่วจนต้องโทษประหารชีวิตยกตระกูล เมื่อได้โอกาสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางจึงกลับมาแก้แค้น หมายจะช่วงชิงความสำคัญในฐานะ ‘บุตรสาวภรรยาเอกสกุลอวิ๋น’ กลับคืนมา!

ข้อมูลเบื้องต้น

นางเซียนอัปลักษณ์ล่มแคว้น

丑妃祸国不殃民

ผู้เขียน จวินถง

ผู้แปล ติงติง

ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทย โดย Camellia Novel

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ชาติก่อนนางโง่เขลาหลงรักบุรุษโฉดชั่ว ซ้ำยังโดนญาติผู้น้องหักหลังจนต้องโทษประหารยกตระกูล
เมื่อมีโอกาสได้ย้อนเวลากลับมาตอนอายุสิบสี่ปี
‘อวิ๋นรั่วเหยียน’ จึงสลัดทิ้งความขลาดเขลาอับอาย
หมายจะช่วงชิงความสำคัญในฐานะ ‘บุตรสาวภรรยาเอกสกุลอวิ๋น’ กลับคืนมา

ต่อให้รูปโฉมของนางจะอัปลักษณ์แล้วอย่างไรเล่า
ด้วยความสามารถและสิ่งวิเศษที่อยู่กับตัว
อวิ๋นรั่วเหยียนไม่เชื่อว่านางจะปกป้องผู้คนที่รักเอาไว้ไม่ได้
และก้าวสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาในชาตินี้…
…ก็คือการเข้าสู่ ‘สำนักคงหมิง’ ให้สำเร็จ!

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

《丑妃祸国不殃民》

Author: 君彤 Jun Tong

Copyright ⓒ 2021 by COL Digital Publishing Group Co., Ltd.

Thai (language) Translation Copyright ⓒ 2023 by Amarin Printing and Publishing Public Co., Ltd.

This Thai edition is published by arrangement with COL Digital Publishing Group Co., Ltd.

Arranged through Beijing Wenxin Wenchuang Technology Co., Ltd. (北京文心文创科技有限公司) & Pelican Media Agency Ltd.,Taiwan

All rights reserved

Ebook จะทยอยออกหลังจากลงรายตอนค่ะ

ติดตามความคืบหน้าได้ที่ เพจ @Camellia Novel

ทางสำนักพิมพ์ขอขอบคุณทุกๆ การสนับสนุนของนักอ่านทุกท่านค่ะ

บทที่ 1 คนอ่อนแอ ไม่มีมีสิทธิ์มีชีวิตอยู่

เมืองหลวงฝนเทกระหน่ำ ดวงสุริยันยามเที่ยงถูกเมฆครึ้มบดบังราวกับมีผู้ใดล่วงเกินเทพสวรรค์

ในห้องเก็บฟืนของสกุลเผย อวิ๋นรั่วเหยียนขดตัวอยู่ท่ามกลางกองฟืนระเกะระกะ อาภรณ์ยาวสีเขียวที่สวมอยู่บนร่างเขรอะขี้เถ้าเคล้าฟางแห้งอยู่ในห้องเก็บฟืน ช่างดูไร้ระเบียบสุดจะทนได้

ประตูไม้ที่ปิดแน่นถูกเปิดออก ภายในห้องมืดมิดจึงมีแสงสว่างรำไรซึ่งหาได้ยากยิ่งส่องเข้ามาจากภายนอก ทว่าคนบนพื้นกลับนิ่งสนิท

เผยจื่ออ้าวปิดจมูกเดินเข้ามา รังเกียจกลิ่นอึมครึมและความเปียกชื้นของห้องนี้เสียยิ่งกว่าอะไร เขาเดินไปหาเงาร่างของคนบนพื้น เท้าถีบไปที่เอวของนางทีหนึ่ง

การถีบครั้งนี้สร้างความเจ็บปวดอย่างแท้จริง และไร้ซึ่งความเมตตายิ่ง

คราบน้ำตาบนหน้าของอวิ๋นรั่วเหยียนยังไม่แห้งสนิท ทำได้เพียงหรี่ตาเล็กน้อยอย่างสุดกำลัง จ้องมองไปยังชายที่สวมชุดผ้าแพรงามสง่าไม่วางตา

รูปโฉมของเขายังคงหล่อเหลาเหมือนวันวาน คิ้วและตาอ่อนโยน เพียงแค่รอยยิ้มเยาะหยันที่มุมปากนั้นทำให้นางรู้สึกราวอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง

บุรุษผู้นี้ที่นางเคยรักสุดหัวใจ! เมื่อหลายวันก่อนพวกเขาทั้งสองยังเป็นสามีภรรยาที่เคารพซึ่งกันและกันอยู่แท้ๆ!

คนที่ครั้งหนึ่งเคยให้แสงสว่างรำไรแก่นางท่ามกลางความมืดมนไร้จุดสิ้นสุด ทว่ายามนี้กลับผลักไสนางเข้าไปในหุบเหวลึกอันมืดมิดด้วยเงื้อมมือของเขาเอง!

“ไม่เจอกันหลายวัน พี่สาวสบายดีหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนหวานแว่วผ่านมา อวิ๋นรั่วเหยียนมองตามเสียงนั้น ก่อนเห็นใบหน้าหนึ่งที่ตนคุ้นตาเป็นอย่างดี

อีเชียนอิ่ง!

อวิ๋นรั่วเหยียนไม่คาดคิดเลยว่า อีเชียนอิ่งที่ดูเป็นคนไร้พิษภัยจะสมคบคิดกับสามีของนาง! ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นถึงลูกพี่ลูกน้องสาวของนางด้วย!

เผยจื่ออ้าวโบกมือ ออกคำสั่งให้บ่าวรับใช้ประคองร่างของอวิ๋นรั่วเหยียนขึ้นมา แขนขาที่ไร้เรี่ยวแรงถูกดึงขึ้นอย่างไร้ซึ่งความปรานี และคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเผยจื่ออ้าว

อีเชียนอิ่งถือถ้วยยาเดินเข้ามา “พี่สาว วันนี้เป็นวันที่สกุลอวิ๋นและสกุลหลินจะถูกประหารแล้วนะ พี่สาวไม่ไปดูเสียหน่อยหรือ”

ดวงตาของอวิ๋นรั่วเหยียนวูบไหว พลันเงยหน้าขึ้น คราบน้ำตาบนหน้ายังชุ่มโชก

“อะ อะไร…เจ้าพูดว่าอะไร?!”

“ที่แท้พี่สาวยังไม่รู้หรือนี่!” อีเชียนอิ่งปิดปากยิ้มเยาะ ก่อนแสร้งทำเป็นเดือดดาลแล้วผลักเผยจื่ออ้าวอย่างแรง “พี่จื่ออ้าว ไม่ว่าอย่างไรพี่สาวก็เป็นคนของสกุลอวิ๋นและสกุลหลิน เหตุใดท่านถึงไม่บอกพี่สาวสักหน่อยเล่า?” เผยจื่ออ้าวเผยยิ้มเอาใจ ในดวงตาคู่นั้นมีความอ่อนโยนเหลือหลาย นั่นคือความรักที่อวิ๋นรั่วหยียนไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ!

ทว่ายามนี้ อวิ๋นรั่วเหยียนกลับไม่ใส่ใจเรื่องการทรยศของสามีแต่อย่างใด นางรีบเอ่ยถาม

“อีเชียนอิ่ง! เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร? เกิดอะไรขึ้นกับสกุลอวิ๋นและสกุลหลิน!”

ในวันนั้นที่ถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืน นางรู้เพียงว่าสกุลอวิ๋นเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะใหญ่โตจนต้องถูกประหารเยี่ยงนี้!

อีเชียนอิ่งเลิกคิ้วเผยยิ้มเหนียมอายแฝงความพอใจ “ที่แท้พี่สาวก็ยังเป็นห่วงเป็นใยสกุลอวิ๋นและสกุลหลินอยู่หรอกหรือ ก่อนหน้านี้พี่สาวยอมแตกหักกับสกุลหลินก็เพื่อพี่จื่ออ้าว น้องคิดว่าพี่สาวลืมพวกเขาไปนานแล้วเสียอีก! ฝ่าบาทมีพระบัญชาลงมาแล้ว ยามอู่[1] ของวันนี้ สกุลอวิ๋นและสกุลหลินที่ทรยศต่อแผ่นดินจะถูกประหาร! เป็นอย่างไรเล่า? พี่สาวชอบของขวัญล้ำค่าที่น้องมอบให้หรือไม่”

“อะไรกัน…” แววตาของอวิ๋นรั่วเหยียนนิ่งสนิท มองตรงไปยังสตรีที่อยู่ตรงหน้า พริบตานั้นความเย็นเยือกก็บังเกิดขึ้นภายในทรวง

ใช่ว่านางไม่เคยคาดคิดว่าเหตุใดสกุลอวิ๋นถึงตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้เพียงชั่วข้ามคืน ทว่านางไม่อาจหาญพอที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวที่ว่านี้กับคนทั้งสองได้!

อวิ๋นรั่วเหยียนขบฟันแน่น เบ้าตาแดงก่ำ หยาดน้ำตาพลันพรั่งพรูออกมา!

หญิงสาวจ้องมองอีเชียนอิ่งเขม็ง ก่อนเอ่ยอย่างเดือดดาล “อีเชียนอิ่ง! เจ้ามันอำมหิต! สกุลอวิ๋นปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงบุตรสาวแท้ๆ ข้าเองก็ปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงน้องสาวแท้ๆ เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้!”

อวิ๋นรั่วเหยียนน้ำตาไหลอาบ ทว่าอีเชียนอิ่งกลับยิ้มร่า นิ้วเรียวม้วนปอยผม พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เกือบเวทนา

“ที่แท้พี่สาวก็มองอะไรไม่ออกเลยจริงๆ แต่ก็คงเป็นเช่นนั้น คนต่ำต้อยและอัปลักษณ์อย่างพี่สาว ยังมีหน้าฝันลมๆ แล้งๆ ว่าจะอยู่กับพี่จื่ออ้าวไปตลอดชั่วชีวิต” อีเชียนอิ่งกล่าวอย่างเยาะหยัน “หากท่านไม่มีชื่อเสียงอันจอมปลอมว่าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของสกุลอวิ๋น ด้วยฐานะทางสังคมของพี่จื่ออ้าว จะไปมีใจให้หญิงอัปลักษณ์อย่างท่านเนี่ยน่ะหรือ? ฮูหยินน้อยจวนสกุลเผยอะไรกัน พี่จื่ออ้าวพาท่านออกไปก็มีแต่จะขายหน้า…เจ้าไม่คู่ควรตั้งแต่แรก!”

“หญิงอัปลักษณ์งั้นรึ…”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ มิน่าเล่า เผยจื่ออ้าวถึงไม่เคยยินดีร่วมหลับนอนกับนาง

อย่างไรก็ตามอวิ๋นรั่วเหยียนก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะยึดติดกับเรื่องพรรค์นั้น หากเผยจื่ออ้าวกล่าวว่าเขาไม่ได้รักนาง นางก็ไม่มีทางที่จะแต่งเข้ามาในจวนสกุลเผยเด็ดขาด!

แต่มันกระจ่างชัดว่า…เผยจื่ออ้าวเป็นคนกล่าวว่าเขาไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ ไม่ใส่ใจปานที่อยู่บนหน้าของนาง!

ที่แท้…ทุกอย่างก็เป็นเรื่องหลอกลวงอย่างนั้นหรือ

เช่นนั้นที่เผยจื่ออ้าวแต่งงานกับนาง…ก็เพียงเพราะนางเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของสกุลอวิ๋น?!

ครั้นนึกถึงจุดนี้ อวิ๋นรั่วเหยียนก็คล้ายว่าในที่สุดก็มองบุรุษที่ร่วมเตียงเคียงหมอนกับตนมาหลายปีออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงอดรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้ ทว่ามารู้ยามนี้ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว!

อีเชียนอิ่งที่อยู่ข้างๆ เปิดถ้วยยาออกช้าๆ ยาน้ำสีน้ำตาลแกมเหลืองโชยกลิ่นอันตราย

ริมฝีปากอีเชียนอิ่งยกยิ้ม “พี่สาว ให้น้องส่งพี่สาวจนถึงที่สุดเถิด พี่สาววางใจได้ ทรัพย์สินของสกุลอวิ๋นและสามีของพี่สาว ข้าจะดูแลให้ท่านอย่างดีเลย”

เมื่อเห็นยาถ้วยนั้น ในใจของอวิ๋นรั่วเหยียนก็พอจะรู้แจ้งอยู่บ้างแล้ว สายตาหันไปมองเผยจื่ออ้าว ทว่าสิ่งที่นางเห็น กลับมีเพียงดวงตาที่เฉยเมยคู่หนึ่งและใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายแต่อย่างใด

“เชียนอิ่ง เหตุใดต้องคุยไร้สาระกับนาง กรอกยาไปเสีย!” น้ำเสียงเย็นเยือกดังขึ้น เผยจื่ออ้าวถอนสายตาอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ไม่แม้แต่จะสบสายตา

“เผยจื่ออ้าว ข้าอยากได้ยินจากปากของท่าน ว่าเหตุใด…เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้กับข้า!” อวิ๋นรั่วเหยียนตวาด

เผยจื่ออ้าวยิ้มเยาะพลางเสยคางของนางราวกับว่าอีกเดี๋ยวจะบีบจนแหลกละเอียดก็มิปาน! เขากล่าวเน้นทีละคำ “เหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะเจ้าอัปลักษณ์อย่างไรเล่า หรือก็คือ…‘คนไร้ประโยชน์’!”

ขณะกล่าวก็เหวี่ยงอวิ๋นรั่วเหยียนลงไปที่พื้นอย่างทารุณ

คนไร้ประโยชน์งั้นรึ?!

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเคยได้ยินคำนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินจากปากของคนที่ตนรักสุดหัวใจ

ที่แท้…เผยจื่ออ้าวก็คิดเช่นนี้เหมือนกันอย่างนั้นหรือ

ใช่สิ นางเกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ แถมกระทั่งนักคุมกระบี่ที่ทุกคนต่างฝึกบำเพ็ญเพียรได้นางก็ยังไม่บรรลุผล!

อีเชียนอิ่งไม่เสแสร้งอีกต่อไป หญิงสาวยกถ้วยยาเข้าไปใกล้อวิ๋นรั่วเหยียน

บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ชั่วขณะนั้นอวิ๋นรั่วเหยียนที่ถูกทรมานจนหมดสภาพก็ปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมา และดิ้นหลุดออกจากเงื้อมมือที่พันธนาการของบ่าวรับใช้อย่างไม่ยอมพ่ายแพ้!

เพียะ!

เสียงคมชัดจนแสบแก้วหูดังขึ้น อีเชียนอิ่งกุมแก้มของตัวเองด้วยความตกใจ

อวิ๋นรั่วเหยียนตบนางงั้นรึ หญิงอัปลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งแคว้นหลีบังอาจมาตบนางงั้นรึ! นังผู้นี้มีคุณสมบัติอะไร!

พริบตาต่อมา เผยจื่ออ้าวก็สาวเท้าพุ่งเข้ามา ก่อนเหวี่ยงมือตบหน้าอวิ๋นรั่วเหยียนอย่างไร้ความเมตตา “นังคนต่ำช้า! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วงั้นรึ!”

พลังของเผยจื่ออ้าวมหาศาล อวิ๋นรั่วเหยียนรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปากของตนเองทันที ของเหลวสีแดงแสบตาไหลซึมออกมาจากมุมปาก

ทันทีจากนั้น เผยจื่ออ้าวก็คว้าถ้วยยาจากในมืออีเชียนอิ่งมา บีบคางของอวิ๋นรั่วเหยียนแน่น แล้วกรอกยาลงไปจนหมดเกลี้ยง!

“แค่กๆ…” อวิ๋นรั่วเหยียนสำลักยาไออย่างรุนแรง ก่อนกัดฟันเงยหน้าขึ้น “เผยจื่ออ้าว! ข้าจะไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปเด็ดขาด! หากชาติหน้ามีจริง…ข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้ด้วยเลือด!”

อวิ๋นรั่วเหยียนเบิกตาโพลง สองตาแดงก่ำลุกโชนด้วยความโกรธ แววตาอาฆาตแค้นทำให้เผยจื่ออ้าวขนลุกตั้งชัน มีแรงกระตุ้นบางอย่างให้คิดอยากหนีเตลิดไปเสียด้วยซ้ำ

เสียงพูดของอวิ๋นรั่วเหยียนแผ่วเบาลง รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้น ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลทะลักออกมาจากลำคอ! เลือดแดงฉานสาดพ่นบนพื้น สีสดอย่างยิ่ง!

อีเชียนอิ่งมองเผยจื่ออ้าวอย่างอ่อนโยน กล่าวน้ำเสียงออดอ้อน “พี่จื่ออ้าว โยนนางออกไปเถอะเจ้าค่ะ ป้องกันไม่ให้ห้องเก็บฟืนสกปรก”

เผยจื่ออ้าวตั้งสติ ไม่อยากมองสตรีนางนี้ที่ทำให้รู้สึกคลื่นเหียนอีกต่อไป และยิ่งกว่านั้นคือไม่อยากมองดวงตาที่อาฆาตแค้นนั่นอีก จึงรีบหันหลังไปออกคำสั่ง “พวกเจ้าทั้งหมดโยนนางออกไปให้พ้น! อย่าให้นางมาตายอยู่ในจวนสกุลเผย! สกปรก!”

อวิ๋นรั่วเหยียนที่ใกล้หมดลมหายใจเต็มทีถูกโยนออกนอกประตูสกุลเผยราวกับเป็นขยะ นางกล่าวด้วยพลังทั้งหมดที่มี “พวกเจ้าไม่กลัวกรรมตามสนองอย่างนั้นหรือ?!”

อีเชียนอิ่งมองอวิ๋นรั่วเหยียนที่ถูกหามออกไปพลางยิ้มเยาะ ก่อนเชิดคอขาวผ่อง

“กรรมตามสนองงั้นรึ ข้าจะรอแล้วกัน แต่ช่างน่าเสียดายที่ชั่วชีวิตนี้คนไร้ประโยชน์เช่นเจ้าไม่มีทางได้!”

[1] คือช่วงเวลา 11.00 น. – 12.59 น.

บทที่ 2 มีชีวิตอีกครั้ง

ท้องฟ้ายังคงมีฝนตกโปรยปราย อวิ๋นรั่วเหยียนถูกบ่าวรับใช้ของจวนสกุลเผยโยนลงบนถนนสายหลักราวสุนัขตายตัวหนึ่งที่ถูกทอดทิ้ง

บนถนนมีชาวบ้านประปรายยังคงถกเถียงกันเรื่องสกุลอวิ๋นและสกุลหลินที่จะถูกประหารในวันนี้ ครั้นเห็นมีคนถูกโยนออกมาจากจวนสกุลเผย ก็คิดกันว่าเป็นบ่าวรับใช้ที่กระทำความผิดจนจวนสกุลเผยไม่ต้องการเก็บไว้แล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าสตรีนางนั้นคือฮูหยินน้อยของจวนสกุลเผยและคุณหนูรองของสกุลอวิ๋น

สายฝนรินรดทั่วร่างอวิ๋นรั่วเหยียน ก่อนแต่งเข้าจวนสกุลเผย นางเคยทะเลาะใหญ่โตกับท่านย่าของตนเพราะเผยจื่ออ้าว แต่หากดูจากยามนี้แล้ว นางตามืดบอดไปจริงๆ

ท่านย่า…ท่านย่า…ท่านเป็นเพียงคนเดียวบนพิภพแห่งนี้ที่ปฏิบัติต่อนางอย่างดี…ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยงไร ต่อให้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต นางก็ต้องไปพบเจอให้จงได้ แค่ได้กล่าวคำว่าขอโทษประโยคเดียวก็ยังดี

ถูกทรมานมานานแสนนาน อีกทั้งเมื่อครู่ยังถูกกรอกยาพิษ นางไม่อาจยืนขึ้นได้ด้วยเรี่ยวแรงของตนเอง หลังจากพยายามอยู่หลายหนก็สามารถทำได้เพียงคลานอยู่บนพื้น ตะเกียกตะกายไปข้างหน้าทีละน้อยด้วยกำลังแขน

หยาดฝนคละน้ำตาเคล้าโลหิต ทิ้งคราบอันโหดร้ายทารุณสายหนึ่งไว้บนถนนสายยาว

ประตูอู่[1] อยู่เบื้องหน้านี้เอง!

ทว่านางยังไปไม่ถึงตรงจุดที่ใกล้ที่สุด ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ถึงเวลาประหาร…!”

“อย่า…” อวิ๋นรั่วเหยียนเหยียดมือออกไปยังทิศของประตูอู่ พลางแผดเสียงร้องอย่างไร้เรี่ยวแรง ทว่าเสียงของนางกลับถูกเสียงลมและฝนกลบสนิท

ตอนที่อวิ๋นรั่วเหยียนมีสติสัมปชัญญะอีกหน ก็เห็นเพียงคราบเลือดที่กระจายปะปนมากับน้ำฝน เลือดกระจายตามน้ำฝนกระทั่งถึงกระโปรงของนาง ภาพสถานที่ทั้งหมดของลานประหารแลดูโหดร้ายและน่าสยดสยอง

หยาดน้ำตาราวสายเลือดไหลอาบลงมาจากหางตาของหญิงสาว

นี่คือจุดสิ้นสุดแล้วใช่หรือไม่

ท้ายที่สุดนางก็ไม่ได้เห็นแม้แต่ภาพสุดท้ายของคนในสกุล!

เมื่อนึกถึงจุดนี้ ภายในใจของอวิ๋นรั่วเหยียนก็วูบวาบ ลมปราณปั่นป่วนย้อนขึ้นมา ดันเลือดในลำคอพุ่งทะลักออกมา!

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในโพรงจมูกและช่องปาก ท้ายที่สุดอวิ๋นรั่วเหยียนก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป จึงนอนฟุบอยู่เช่นนั้นท่ามกลางสายฝน พลางร้องไห้คร่ำครวญอย่างอาดูร น้ำเสียงตรอมตรม คล้ายต้องการระบายความกล้ำกลืนไม่ได้รับความเป็นธรรมตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ให้สวรรค์รับรู้

สกุลอวิ๋นและสกุลหลินเคยรุ่งเรืองในชั่วขณะหนึ่ง ไม่คาดฝันว่าจะจบลงอย่างน่าอนาถด้วยสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดและถูกตัดหัวประหารชีวิต และทั้งหมดนี้…ก็เป็นเพราะอวิ๋นรั่วเหยียนถูกคนถ่อยหลอกลวง!

นางเกลียดตนเองที่มองคนไม่ทะลุปรุโปร่ง! เกลียดตนเองที่โง่งมไร้เดียงสา! และยิ่งกว่านั้นนางเกลียดคนเหล่านั้นที่ทำร้ายสกุลอวิ๋นและสกุลหลินให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!

หญิงสาวกล่าวคำสัตย์สาบานว่าหากชาติหน้ามีจริง นางจะไม่มีวันถูกใครหน้าไหนกดขี่เช่นนี้อีกเป็นอันขาด คนเหล่านั้นที่ทำร้ายนางให้เป็นเช่นนี้ นางจะไม่มีวันยกโทษให้อย่างแน่นอน!

ร่มคันหนึ่งกางออกแผ่วเบาอยู่เหนือศีรษะอวิ๋นรั่วเหยียน ตามด้วยเสียงเอ่ยถาม

“อวิ๋นรั่วเหยียน?”

อวิ๋นรั่วเหยียนที่ยามนี้นอนฟุบอยู่บนพื้นลืมตาขึ้น มองเห็นอาภรณ์ยาวสีดำปักเลื่อมทองเพียงเท่านั้น แสดงถึงฐานะทางสังคมที่สูงศักดิ์ของอีกฝ่าย

“บุตรสาวภรรยาเอกของสกุลอวิ๋น อ๋องเช่นข้าคิดว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะรู้แจ้งและพลิกสถานการณ์” ในประโยคที่กล่าวมานี้ ไม่อาจรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่าย คล้ายว่าเขาเอ่ยถึงความเป็นจริงก็เท่านั้น

“เหอะ…” อวิ๋นรั่วเหยียนขดตัว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกลางอากาศ “ข้า…แม้จะต้องกลายเป็นผี ก็จะไม่มีวันให้อภัยพวกมัน!”

“นี่สิถึงจะเหมือนอวิ๋นรั่วเหยียนในความทรงจำของข้า” น้ำเสียงของบุรุษชุดดำดังขึ้นอีกหน เขาย่อตัวลงแล้วปัดเส้นผมที่ยุ่งกระเซิงของหญิงสาว “จงรู้ไว้ว่า คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่”

ไม่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ อย่างนั้นหรือ

มุมปากของอวิ๋นรั่วเหยียนยกโค้งเล็กน้อยอย่างยากลำบาก บรรยากาศโดยรอบหนาวเหน็บยิ่งขึ้น แทบจะหยุดลมหายใจของนาง

เช่นนั้นหากสามารถมีชีวิตอีกครั้ง นางจะต้อง…จะต้องไม่มีวันให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด!

ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงตอบรับกลับมา นิ้วเรียวยื่นออกไปตรวจสอบลมหายใจของคนบนพื้น คิ้วขมวดย่น

องครักษ์ชุดดำที่อยู่ข้างกายเขาปรายตามองคนบนพื้น ใบหน้าเคร่งขรึมไร้ซึ่งอารมณ์ “ท่านอ๋อง ดูเหมือนนางจะหมดลมหายใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

บุรุษหนุ่มถอนมือกลับอย่างเย็นเยือก “อืม”

“แค่ก! แค่กๆ!” ตอนที่อวิ๋นรั่วเหยียนฟื้นคืนสติ ในสมองรู้สึกเพียงเสียงหึ่งๆ ซี่ปอดย้อนขึ้น[2] ตรงบริเวณจุดตันเถียน[3] และกระแอมไออย่างหนัก กระทั่งลมปราณสงบลง อวิ๋นรั่วเหยียนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องมองตรงหน้าอยู่นมนาน คล้ายคนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย ผ่านไปครู่ใหญ่ หมอกมัวในดวงตาก็ค่อยๆ จางหายไป

ตอนนั้นเอง คนผู้หนึ่งที่แต่งกายราวสาวใช้ก็กุลีกุจอมาอยู่ตรงหน้านาง ก่อนกล่าวอย่างแปลกใจ “ในที่สุดคุณหนูก็ฟื้นเสียที! เสาเย่าตกใจกลัวแทบแย่! เหตุใดท่านถึงหลับลึกเช่นนี้?”

อวิ๋นรั่วเหยียนจ้องมองนางอย่างเลื่อนลอย ไม่เอ่ยคำใดพักใหญ่

หญิงสาวจำใบหน้านี้ได้เลือนราง คลับคล้ายคลับคลาสาวใช้คนหนึ่งก่อนที่ตนจะออกเรือน อุปนิสัยอ่อนโยน เฉลียวฉลาด ต่อมาก็ถึงวัยต้องออกเรือน อันซื่อ[4] ที่ดูแลงานบ้านงานเรือนเป็นผู้จัดแจงให้นางแต่งงานและออกจากจวนไป

แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อน อวิ๋นรั่วเหยียนไม่ได้เจอกับสาวใช้ผู้นี้มาสามปีเต็มแล้ว

“เสาเย่า?” นางเอ่ยถามหยั่งเชิง

เสาเย่าขานรับอย่างลนลาน “คุณหนูสั่งได้เลยเจ้าค่ะ เสาเย่าอยู่นี่แล้ว!”

อวิ๋นรั่วเหยียนชะงักไป

นี่มันเรื่องอะไรกัน? นางจำได้ว่าตนถูกเผยจื่ออ้าวกรอกยาทิษเองกับมือ ทั้งยังจำเหตุการณ์นองเลือดที่สกุลอวิ๋นและสกุลหลินถูกประหารได้ดี ยิ่งกว่านั้นยังจำได้อีกว่าสุดท้ายแล้วตนล้มลงท่ามกลางสายฝน…จากนั้นก็หมดสติไป

นางควรตายไปแล้ว!

อีกอย่าง เสาเย่าไม่ควรมาปรากฏตัวต่อหน้านางเวลานี้! นอกเสียจาก…นางนั้นได้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง!

“คุณหนู เป็นอะไรไปเจ้าคะ” ครั้นเห็นอวิ๋นรั่วเหยียนตื่นตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ซ้ำยังไม่ปริปาก เสาเย่าจึงมองเจ้านายพักหนึ่งอย่างฉงนแล้วเอ่ยปาก “คุณหนู หากยังไม่ไปหาฮูหยินผู้เฒ่า เกรงว่าจะสายแล้วนะเจ้าคะ…”

สมองอวิ๋นรั่วเหยียนรู้สึกสับสน ก่อนเปิดผ้าห่มลุกขึ้นยืน

“เสาเย่า ข้ารู้สึกปวดหัว เจ้าบอกข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น”

“คุณหนูนอนเต็มอิ่มจนตะวันโด่งฟ้า ไม่แปลกที่จะปวดหัวเจ้าค่ะ” เสาเย่าช่วยพยุงอวิ๋นรั่วเหยียนให้ลุกขึ้นยืน พลางเอ่ย “เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าฝากบอกมาเจ้าค่ะ ว่าหรูอี้หยกที่ไทเฮาประทานให้เมื่อไม่กี่วันก่อนหายไป เลยเรียกให้คนในสกุลไปรวมตัว! พวกเราจะชักช้าไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ”

อวิ๋นรั่วเหยียนชะงักงัน

ท่านย่า ไทเฮา หรูอี้หยก ถูกขโมย…

นางจำเรื่องเหล่านี้ได้ขึ้นใจ ทว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน

อวิ๋นรั่วเหยียนจำได้ว่าเรื่องนี้ก่อความโกลาหลมากมายในขณะนั้น สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร ความผิดถึงได้มาตกอยู่เหนือศีรษะของนาง เป็นเหตุให้นางถูกลงโทษโดยการคุกเข่าในหอบรรพชน ทว่านางไม่ได้แตะต้องหรูอี้หยกแต่อย่างใด นางถูกใครบางคนใส่ความให้ร้าย!

คราวนั้นท่านย่าตำหนินางอยู่บ้างเพราะเรื่องที่ว่านี้

หรือว่า…นางจะย้อนเวลากลับมาเมื่อสี่ปีก่อนจริงๆ! นางที่สิ้นลมหายใจจากเงื้อมมือของอีเชียนอิ่งและเผยจื่ออ้าวมีชีวิตขึ้นมาอีกหน!

อวิ๋นรั่วเหยียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ภายในคันฉ่อง ลักษณะใบหน้าค่อนข้างอ่อนเยาว์ เพียงแต่มีปานแดงฉานแต้มอยู่บนแก้มขวา ลามตั้งแต่ปลายหางตาไปจนถึงโคนจมูก แลดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

อวิ๋นรั่วเหยียนยกมือขึ้น ลูบไล้ปานบนใบหน้าของตนเอง

สวรรค์ได้ยินคำร้องขอของนางใช่หรือไม่ ถึงให้โอกาสนางมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ให้นางมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอีกหน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะไม่ทำให้ความเมตตาครั้งนี้ของเทพสวรรค์ต้องสูญเปล่าไปแน่ นางจะทำให้คนเหล่านั้นที่เพียรพยายามวางแผนเพื่อลอบทำร้ายนางชดใช้ด้วยเลือด!

อวิ๋นรั่วเหยียนจำได้ชัดเจน หรูอี้หยกที่ว่านั้นอีเชียนอิ่งเป็นคนขโมย นางในในชาติก่อนไม่กล้าปริปากพูดความจริงออกมาเพราะรู้สึกว่าตนนั้นต้อยต่ำและเหนียมอาย

ในเมื่อสวรรค์ให้นางมีชีวิตใหม่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ นางก็จะไม่ทำให้ซ้ำรอยเดิมอีกเด็ดขาด!

ส่วนเผยจื่ออ้าว นางก็จะทำให้เขาชดใช้อย่างแน่นอน!

“เสาเย่า แต่งตัวแบบเรียบง่ายให้ข้าก็พอ ทางฝั่งท่านย่ารีบเร่ง อย่าทำให้ท่านต้องรอ” อวิ๋นรั่วเหยียนกล่าวเสียงเย็น

เสาเย่าเงยหน้ามองอวิ๋นรั่วเหยียนในคันฉ่อง รู้สึกรางๆ ว่าหลังหลับไปนานครานี้ คุณหนูรองคล้ายว่ามีบางอย่างแปลกไป ทว่าตรงไหนที่แตกต่างไปนางเองก็บอกไม่ได้

เสาเย่ากล้าเพียงปรายตามอง ก่อนก้มศีรษะสางผมยาวสลวยของอวิ๋นรั่วเหยียนอย่างพิถีพิถัน “เจ้าค่ะ คุณหนู”

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว อวิ๋นรั่วเหยียนก็มาถึงห้องโถงพร้อมกับเสาเย่า

[1] ประตูทางเข้าหลักของพระราชวังโบราณ

[2] มีอาการไอและหอบ

[3] จุดศูนย์กลางของพลังงานภายในร่างกาย เป็นรากเหง้าของเส้นลมปราณ และเป็นบ่อรวมของพลังชี่

[4] ซื่อ แปลว่า แซ่ ใช้ต่อท้ายแซ่เดิมของสตรีที่ออกเรือนแล้ว

บทที่ 3 ใส่ความข้า จะต้องโดนประณาม

บริเวณห้องโถง บรรดาคุณชายและคุณหนูของสกุลอวิ๋นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ท่านย่าซึ่งเป็นผู้อาวุโสของสกุลอวิ๋นนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก หัวคิ้วขมวดเป็นปม หลับตาทำสมาธิ

อวิ๋นรั่วเหยียนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดวงเดือน[1] หลังคำนับก็ไปยืนด้านหนึ่งอย่างนอบน้อม ข้างกายของนางเป็นพี่หญิงใหญ่อวิ๋นรั่วเหยา น้องสามอวิ๋นรั่วอวี่ และอีเชียนอิ่งลูกพี่ลูกน้องสาว

ครั้นเห็นทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้ว ท่านย่าก็ปรายตามองอันซื่อ อันซื่อสาวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว “เมื่อไม่กี่วันก่อนไทเฮาประทานของล้ำค่าอย่างหนึ่งให้กับท่านย่า หรูอี้หยกฝังไข่มุกจากทะเลใต้ เมื่อไม่กี่วันก่อนของล้ำค่าชิ้นนี้จู่ๆ ก็ถูกขโมยไป ผู้ใดเป็นคนเอาไป เดินออกมาตอนนี้เสียดีกว่า มิเช่นนั้นหากให้คนไปค้นเจอจะถูกลงโทษ!”

อวิ๋นรั่วเหยียนยืนตัวตรง หางตาหยุดอยู่บนร่างของอีเชียนอิ่ง ยามนี้อีกฝ่ายเพิ่งอายุเพียงสิบกว่าปี อวิ๋นรั่วเหยียนคิดว่าจะได้เห็นความตื่นตระหนกและความประหม่าในตัวของนาง

ทว่าสิ่งที่ทำให้อวิ๋นรั่วเหยียนคาดไม่ถึงคือ อีเชียนอิ่งแหงนหน้าขึ้นสูง ท่าทีใสซื่อบริสุทธิ์ ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย ราวกับพยายามระงับความกระวนกระวายใจของตนเอง

อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถปกปิดตนเองได้แยบยลเช่นนี้แล้ว มิน่าเล่าต่อมานางถึงได้รับความโปรดปรานจากสกุลอวิ๋นทั้งสกุล

อวิ๋นรั่วเหยียนหารู้ไม่ว่าขณะที่นางกำลังลอบสังเกตอาการของอีเชียนอิ่งอยู่นั้น อันซื่อก็มองนางอย่างพินิจเช่นกัน

อันซื่อรู้จักอุปนิสัยของอวิ๋นรั่วเหยียนเป็นอย่างดี ยามพบเจอเหตุการณ์สำคัญมักจะกลัวหัวหดราวนกที่ตื่นตกใจ กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ อวิ๋นรั่วเหยียนในยามปกติคงตกใจกลัวไปนานแล้ว ทว่าวันนี้นางกลับยืนอยู่ในห้องโถงอย่างสงบนิ่ง ให้ความรู้สึกคล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคนอยู่เสมอ

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของอันซื่อ อวิ๋นรั่วเหยียนก็เอียงศีรษะมองไป เผยให้เห็นปานแดงฉานตรงหางตา สีแดงฉานชวนให้หวาดผวา อันซื่อสงบจิตสงบใจ ก่อนถอนสายตาออกมา

นางจะคิดฟุ้งซ่านไปทำไมกัน นี่คืออวิ๋นรั่วเหยียนที่หน้าตาอัปลักษณ์ยิ่ง ซ้ำยังไร้ความสามารถของสกุลอวิ๋น!

สายตาของอันซื่อกวาดมองทั่วทั้งห้องโถง “ผู้ที่รู้ว่าใครก่อเหตุแต่ไม่เอ่ยออกมา ก็จะถูกลงโทษสถานเดียวกัน!”

ทันทีที่สิ้นเสียงเอ่ย เสียงสูดลมหายใจก็แว่วดังขึ้นภายในห้องโถงเงียบสงัด สายตาเฉียบคมของอันซื่อจับจ้องไปยังแหล่งกำเนิดเสียงทันทีทันใด

“เชียนอิ่ง เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมา” อันซื่อกล่าว

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนภายในห้องโถงก็หันความสนใจไปที่อีเชียนอิ่ง แม้แต่ท่านย่าที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลักก็หรี่ตารอดูกิริยาท่าทางต่อไปของอีเชียนอิ่ง

ในดวงตาของอีเชียนอิ่งเต็มไปด้วยความลุกลี้ลุกลน พลางคุกเข่าลงบนพื้น “ท่านยาย ท่านป้า…เชียนอิ่ง เชียนอิ่งไม่กล้าพูดเจ้าค่ะ!”

ได้ยินเช่นนี้ก็ชัดเจนว่าอีเชียนอิ่งรู้ตื้นลึกหนาบางอะไรบางอย่าง อันซื่อไหนเลยจะปล่อยโอกาสที่จะทำให้ตนสร้างบารมีและเพิ่มพูนความโปรดปรานของท่านย่าไปได้ ดังนั้นจึงเพิ่มความก้องกังวานของเสียงขึ้นทันที “มีอะไรเจ้าก็พูดออกมาเสีย! มีข้าคอยตัดสินให้เจ้าอยู่ทั้งคน!”

อวิ๋นรั่วอวี่ที่มักลั่นวาจาอย่างตรงไปตรงมาก็สอดปากสอดคำขึ้นมาด้วย “นั่นสิเชียนอิ่ง! มีท่านย่าอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัว!”

“เชียนอิ่ง…เชียนอิ่งไม่กล้าจริงๆ เจ้าค่ะ” อีเชียนอิ่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ในวาจาแฝงความกล้ำกลืนอยู่สามส่วน ทว่าก็ไม่วายเหลือบมองอวิ๋นรั่วเหยียนเป็นครั้งคราวขณะลั่นวาจา

ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมเข้าใจความหมายนี้

อันซื่อปรายตามองอวิ๋นรั่วเหยียน รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าคนไร้ประโยชน์ของสกุลอวิ๋นไม่เพียงไม่ตกใจจนเสียขวัญ แต่กลับยิ่งยโสมากขึ้น

ท่านย่าของสกุลอวิ๋นทอดสายตามองอีเชียนอิ่ง คิ้วขมวดย่น ก่อนเบนสายตามองไปยังอวิ๋นรั่วเหยียนเช่นเดียวกัน ครั้นเห็นท่าทางสงบนิ่งของอวิ๋นรั่วเหยียน สีหน้าถึงค่อยผ่อนปรนเล็กน้อย

ภายในห้องโถงเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำ ราวกับขุดหลุมไว้อย่างดีแล้วรอเหยื่อกระโดดเข้าไปด้วยตนเอง…ในความเป็นจริง อวิ๋นรั่วเหยียนในชาติก่อนจะทำเช่นนั้น

อีเชียนอิ่งฝีปากคารมคมคาย อันซื่อสาวเท้าไปทีละก้าว เหตุใดอวิ๋นรั่วเหยียนในยามนั้นถึงเป็นศัตรูกับพวกเขา? ถึงต้องกลายมาเป็นเหยื่อสังเวยสำหรับการแก้ไขปัญหาฉุกละหุกของเรื่องราวนี้

อย่างไรก็ตามหนนี้…นางจะไม่ปล่อยให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก!

“มองข้ากันทำไมหรือ? เหตุใดน้องสาวถึงหยุด มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ” อวิ๋นรั่วเหยียนหยักยิ้มมุมปาก

เรื่องราวดำเนินไปเหนือความคาดหมายของอีเชียนอิ่ง นางมองอวิ๋นรั่วเหยียนอย่างฉงน ในแววตาเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ ท่าทีของอวิ๋นรั่วเหยียนหยิ่งยโสอย่างที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน ราศีกดข่มอีเชียนอิ่งจนหายใจไม่คล่อง นางจำต้องกล่าวออกไป

“ข้าเห็น…พี่รั่วเหยียนแอบขโมยหรูอี้หยกไปเจ้าค่ะ!”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ลั่นออกมา คนทั้งหลายก็ตื่นตะลึงตามๆ กัน

อันซื่อพลันกล่าว “อวิ๋นรั่วเหยียน! จะดีหรือเลวเจ้าก็เป็นถึงบุตรสาวภรรยาเอกของสกุลอวิ๋น ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร! ยิ่งกว่านั้น หรูอี้หยกชิ้นนี้เป็นของที่ไทเฮาประทานให้มา เจ้ามีคุณสมบัติอะไรถึงขโมยไป!”

อวิ๋นรั่วอวี่พูดหยอกล้อด้วย “พี่สาวไม่สนเกียรติศักดิ์ศรีเลยหรือ ขโมยของในสกุลของตน ไม่กลัวถูกคนเยาะหยันหรอกรึ”

อวิ๋นรั่วเหยากลอกลูกตาช่วยเสริม “น้องสาว ข้ารู้ว่าในยามปกติน้องสาวได้รับรางวัลน้อยยิ่งนัก ไม่มีทองไม่มีหยก แต่หากอยากได้ พวกเราพี่น้องก็สามารถให้น้องสาวได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปขโมย!”

อันซื่อปรายตาชมเชยอวิ๋นรั่วเหยา พลางถอนหายใจเสียงหนึ่ง ก่อนหันมองอวิ๋นรั่วเหยียน เอ่ยปากโน้มน้าวอย่างมีเจตนาดี “เจ้าทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร รีบไปกล่าวขอโทษท่านย่าบัดเดี๋ยวนี้ นำหรูอี้หยกออกมาเสีย แล้วจะทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

อวิ๋นรั่วเหยียนเยาะหยันในใจ ทว่าริมฝีปากกลับหยักยิ้มมองกลุ่มคน เงียบเชียบไม่ส่งเสียง

ครั้นเห็นอวิ๋นรั่วเหยียนอืดอาดไม่ไหวติง อันซื่อก็ร้อนใจ นางมองอวิ๋นรั่วหยียนอย่างขัดหูขัดตา ทว่ายามนี้คุณหนูไร้ประโยชน์ผู้นี้กลับไม่ฟังไม่ใส่ใจคำพูดที่นางเอ่ยแม้แต่น้อย! นี่เป็นสิ่งที่ต่างจากเดิม!

ชายผ้าแขนเสื้อของอันซื่อสั่นเทา เสียงกังวานก้องขึ้น พลางขยับเข้าหาทีละก้าว “อวิ๋นรั่วเหยียน! เจ้าได้ยินหรือไม่! คืนหรูอี้หยกมาเสีย นั่นไม่ใช่ของที่เจ้าจะเอาไปได้!”

อวิ๋นรั่วเหยียนเงยหน้าสบสายตากับอันซื่อ กล่าวช้าๆ “ลูกมอบให้ไม่ได้เจ้าค่ะ”

“ว่าอย่างไรนะ?! หรือว่าเจ้านำหรูอี้หยกไปทอดตลาดแล้ว!” คิ้วของอันซื่อกระตุก เอ่ยถามน้ำเสียงเจือตำหนิ “ดีเสียจริง! เหตุใดสกุลอวิ๋นถึงมีสตรีที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมเช่นเจ้า!”

อวิ๋นรั่วเหยียนเอ่ยขึ้น “ของที่ไม่ได้เอามา ท่านแม่รองจะให้ลูกคืนได้อย่างไรเจ้าคะ”

ท่านย่าที่คิ้วขมวดหลับตาทำสมาธิลืมตาขึ้นเป็นหนที่สอง สายตายังคงจับจ้องอวิ๋นรั่วเหยียน

อวิ๋นรั่วเหยียนเดินไปกึ่งกลางของห้องโถง “ท่านแม่รอง รั่วเหยียนยังไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าเป็นคนเอาหรูอี้หยกไป เหตุใดท่านถึงตัดสินว่ารั่วเหยียนเป็นคนเอาของไปเพียงเพราะคำพูดฝ่ายเดียวของลูกพี่ลูกน้องหญิงเล่า?”

“ไม่ใช่เจ้า แล้วจะ…” อันซื่อยังปรารถนารับช่วงต่อกล่าวหาอวิ๋นรั่วเหยียน ทว่าบังเอิญไปสบสายตาที่แน่วแน่ของอวิ๋นรั่วเหยียนพอดิบพอดี พลันขาดความมั่นใจขึ้นมาอยู่บ้าง จึงรีบโยนประเด็นสนทนาไปให้อีเชียนอิ่ง “เชียนอิ่ง! เจ้าพูด! เจ้าเห็นนางขโมยไปเมื่อใด พูดออกมาให้ชัดแจ้ง!”

แววตาของอีเชียนอิ่งวูบไหวอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีนางคิดว่าตนจะเป็นพยานเสียอีก ลำดับเรื่องขั้นต่อไปคือพึ่งพาอวิ๋นรั่วเหยียนขุดหลุมให้ตัวนางเอง แต่กลับไม่คาดคิดว่าจุดสำคัญของเรื่องราวจะย้อนกลับมาที่ตน จึงจำต้องกล่าวออกไป

“เจ้าค่ะ…คืนวานเชียนอิ่งออกไปรับลมข้างนอก จากนั้นเห็นเงาคนวิ่งออกมาจากห้องของท่านย่า คนผู้นั้นรีบเร่งจนวิ่งมาชนข้า ข้าถึงได้รู้ว่าคนผู้นั้นคือพี่รั่วเหยียน ยามนั้นในอ้อมแขนของนางกำลังกอดหรูอี้หยกอยู่เจ้าค่ะ!”

อวิ๋นรั่วเหยียนยิ้มเยาะ ในความเป็นจริง เห็นกันอยู่ตำตาว่าอวิ๋นรั่วเหยียนบังเอิญเจอกับอีเชียนอิ่งที่ขโมยหรูอี้หยกไป ยามนี้อีเชียนอิ่งกำลังสลับตัวตนของพวกนางทั้งสอง คิดจะโยนความผิดเรื่องขโมยให้นาง

[1]หมายถึงสีฟ้าอ่อน คนโบราณเชื่อกันว่าสีของดวงจันทร์ไม่ใช่สีขาวบริสุทธิ์ แต่เป็นสีฟ้าอ่อนๆ

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0