โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ดักเก็บ TU หุ้นอาหาร หนีความวุ่นวายภายในประเทศ

Wealthy Thai

อัพเดต 09 ส.ค. 2566 เวลา 00.27 น. • เผยแพร่ 20 ส.ค. 2564 เวลา 08.50 น. • This’s Alano

จากสถานการณ์ COVID-19ที่ระบาดรุนแรงในประเทศไทย รวมทั้งยังมีประเด็นการเมืองเข้ามากดดันอีกด้วย ทำให้นักลงทุนต่างมองหาโอกาสลงทุนในหุ้นที่อิงกับสถานการณ์ต่างประเทศมากกว่าในประเทศ ซึ่ง TU ก็ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญของนักลงทุนมาโดยตลอด ท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นในขณะนี้
TU หรือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจอาหาร เป็นหนึ่งในบริษัทอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก TU เป็นเจ้าของแบรนด์อาหารทะเลชั้นนำต่างๆ ในหลายๆตลาดหลัก รวมทั้งมีเครือข่ายในการจัดหาวัตถุดิบ ผลิตและเครือข่ายการกระจายสินค้าครอบคลุมทั่วโลก โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ทูน่ากระป๋องและกุ้งแช่แข็ง นอกจากนี้ TU ยังมีธุรกิจรับจ้างผลิต ที่ผลิตให้แบรนด์ของลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ส่วนใหญ่ TU มีรายได้จากต่างประเทศเป็นหลัก โดยสิ้นไตรมาส 2/64 มีสัดส่วนรายได้จากประเทศไทยราว 10.8% และส่วนที่เหลือจะมาจากต่างประเทศ ซึ่งประเทศที่มีสัดส่วนรายได้ค่อนข้างสูง คือ อเมริกา อยู่ที่ระดับ 42.4% ตามด้วยยุโรป อยู่ที่ 28.6%
โดยทุกครั้งที่เกิดวิกฤติในทั่วโลก สินค้าของบริษัทจะเป็นสิ่งที่จำเป็น และเป็นสิ่งที่ต้องการของตลาด สะท้อนจากสถานการณ์ COVID-19 สินค้าประเภทอาหารกระป๋องมีความต้องการสูงต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มประเทศอเมริกา และยุโรป ที่มีการเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ก็ยังส่งผลบวกต่อ TU อีกด้วย
สะท้อนจากไตรมาส 2/64มีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลประกอบการดีขึ้นทั้งกลุ่มธุรกิจหลักและการฟื้น ตัวของ Red Lobsterโดยยอดขายในไตรมาส 2/64อยู่ที่ 35,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ตามยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเพิ่มสูงขึ้น 28.7% และยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าสูงขึ้น 12.5%
สำหรับปี 2564 วางเป้ามียอดขายเติบโต 3-5% จากปี 2563 โดยคาดจะมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 17-18% (ปรับขึ้นจากเดิมที่ประมาณ 17%) ขณะที่สัดส่วน SG&Aต่อยอดขาย กำหนดไว้ประมาณ 11-12% โดยวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ระดับประมาณ 5 พันล้านบาท (ปรับลงจาก 6.0-6.5 พันล้านบาท)
มุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ขณะนี้แนะนำ“ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 23.60 บาท โดยCEO ยังคงมั่นใจผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 64 ว่าจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้า บวกกับเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนธุรกิจของ TU ในทางบวก ด้าน CFO ยังคงมองว่า GM ยังคงอยู่ในระดับที่ดีใกล้ 18% ในครึ่งหลังปี 64แม้ว่าอาจจะเทียบกับ 19% ซึ่งถือว่าสูงมากผิดปกติในไตรมาส 2/64ไม่ได้ จึงยังคงคาดกำไรครึ่งหลังปี 64 ยืนระดับที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ยังคงมุมมองบวกต่อกำไรในครึ่งหลังปี 64 ว่าจะยืนในระดับสูงต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก แม้ว่าในครึ่งหลังปี 64อาจเห็นอัตราการเติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนไม่มาก เนื่องจากฐานกำไรที่สูงมากในไตรมาส 3/63รวมถึงการเผชิญกับความท้าทายอย่างมากสำหรับกำไรในปี 65 ที่จะเติบโตจากฐานที่สูงมากในปี 64แต่จากกำไรที่คาดว่าจะยังคงยืนในระดับสูงในครึ่งหลัง 64 ซึ่งมองว่า upside จะมาจากค่าเงินบาทที่กลับไปอ่อนค่าในในครึ่งหลังปี 64 จะส่งผลบวกต่อยอดขายและ GM รวมถึงขาดทุน RL ที่อาจน้อยกว่าคาด
เช่นเดียวกันกับนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า มีมุมมองบวกต่อผลดำเนินการในระยะยาวของ TU คาดแนวโน้มไตรมาส 3/64 จะยังเติบโตได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้มีฐานที่สูงในปี 2564 ขณะที่ปี 2565 เติบโตได้ต่อจากกลุ่มธุรกิจ Value-added และ ส่วนแบ่งกำไรจาก RL ฟื้นตัวได้ชัดเจนมากขึ้น ผลของการปรับประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้น ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 26.50 บาท และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”
ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ก็ยังแนะนำ ซื้อ เช่นกัน และคงราคาเป้าหมายที่ 25.00 บาท โดยบอกว่า จากแนวโน้มกำไรที่ยังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาส 3/64 ที่ยังมีปัจจัยสนับสนุนมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และแนวโน้มกำไรระยะยาว ที่จะเติบโตจากธุรกิจใหม่ที่มีอัตราการทำกำไรที่สูง และจะลดการพึ่งพิงธุรกิจที่อิงสินค้า commodityรวมทั้งมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยปัจจัยการเติบโตหลักมาจากธุรกิจ Value added ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงเป็นหลัก โดยความเสี่ยงหลักของธุรกิจมาจากความผันผวนของค่าเงินบาท และราคาปลาทูน่า
ดังนั้นจึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 64 อยู่ที่ 7,116 ล้านบาท เติบโต 14% จากปีก่อน และกำไรสุทธิปี 65 อยู่ที่ 7,500 ล้านบาท เติบโต 5%จากปี 64สาเหตุหลักมาจาก ประมาณการรายได้ปี 64 เติบโต 3% และปี 65 เติบโต 4% รวมทั้ง gross margin อยู่ที่ 17.5% ใกล้เคียงปี 63ที่ 17.7% ขณะที่ SG&A/Sales ลดลงมาอยู่ที่ 5.2% จาก 5.7% ของปี 63จาก cost reduction program และ economies of scale
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า TU มีกลยุทธ์ระยะยาวจากการเพิ่มรายได้จากธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ส่วนผสมอาหารเสริมจากอาหารทะเล (เช่น แคลเซียม, คอลาเจน, น้ำมันทูน่า) และโปรตีนทางเลือกอีก 10% โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 20% ดังนั้นยอดขายของ PetCare, ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และธุรกิจอื่น จะเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 30% และช่ายเพิ่มกำไรขั้นต้นรวมของกลุ่มเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1%
อย่างไรก็ตามมีมุมมองเป็นกลางต่อภาพครึ่งหลัง เนื่องจากยอดขายที่แข็งแกร่งจากอาหารทะเลแช่แข็งจะถูกชดเชยความต้องการอาหารทะเลแปรรูปอ่อนแอ หลังสถานการณ์ COVID-19 เริ่มชะลอตัวหลังการฉีดวัคซีน จึงคงคำแนะนำ ถือ กำหนดราคาเป้าหมายใหม่ 22.4 บาทต่อหุ้น

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...