เพราะความเชื่อแบบไทยๆ ว่า “ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูก” ประกอบกับความเชื่อที่ว่า “พ่อแม่เป็นเจ้าชีวิตลูก” เนื่องจากพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดลูกออกมา พ่อแม่จึงมีสิทธิ์เด็ดขาดที่จะทำอะไรกับลูกก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอ่านไดอารี่ของลูกหรือแม้กระทั่งแอบเข้าโซเชียลมีเดียของลูก เพื่อดูว่าลูกแชทคุยอะไรกับเพื่อนบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้พ่อแม่ก็ทำไปเพราะ “รักและเป็นห่วง” กลัวลูกจะหลงระเริงไปในทางที่ผิด
แต่สำหรับลูกแล้ว การโดนจับตามองนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วง แต่เป็น “ความไม่เชื่อใจ” เพราะไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไรก็ดูเหมือนจะโดนพ่อแม่ควบคุมไปเสียหมด ลูกจึงไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และรู้สึกหวาดระแวงจนยิ่งตีตัวออกห่างจากพ่อแม่ยิ่งกว่าเดิม
ซึ่งการปฏิเสธจากลูกนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดใจที่สุดสำหรับพ่อแม่ แต่ทางออกของปัญหานี้ก็ไม่ใช่การด่าทอลูกว่าอกตัญญูหรือกดหัวอีกฝ่ายให้ยอมศิโรราบแต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นการตกลงและเคารพซึ่งกันและกัน
โดยจากบทสัมภาษณ์ของ ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ เผยว่า พ่อแม่ควรมีพื้นที่ส่วนตัวให้ลูก เช่น ในห้องนอนหรือมุมทำกิจกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีกติกาที่ตกลงร่วมกัน เช่น ห้ามใช้โซเชียลมีเดียในทางที่ผิด ไม่เช่นนั้นจะมีบทลงโทษ ซึ่งพ่อแม่ก็สามารถว่ากล่าวตักเตือนลูกได้ แต่ไม่มีสิทธิ์บุกรุกเข้าไปรื้อค้น หยิบจับ หรือเคลื่อนย้ายสิ่งของในห้องลูกถ้าหากไม่มีเหตุจำเป็นหรือได้รับอนุญาต
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ไว้ใจพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างเขา ถ้าหากเขาทำผิดพลาด ลูกจะได้รู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัย ไม่ใช่ความอึดอัดจากการใช้ความรักมารัดคอลูกจนหายใจไม่ออกอย่างเช่นที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
>> ติดตามพวกเราได้ที่..
FB : Forward
Website: Forwardth.co