“อุตสาหกรรมยานยนต์” มีมูลค่าตลาดสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 11% ของ GDP ประเทศ โดยมีจำนวนผู้ประกอบการกว่า 2,400 บริษัท และมีการจ้างงานถึง 690,000 คน แยกเป็นการจ้างงานในกลุ่มธุรกิจผู้ประกอบยานยนต์ 100,000 คน และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ 590,000 คน นับเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจประเทศ
แรงงานยานยนต์ 1 แสนคนระส่ำ
แน่นอนว่าการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากเครื่องยนต์สันดาปเป็นยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้การผลิตรถยนชะลอตัว หากผู้ผลิตไม่สามารถปรับตัวได้ ย่อมส่งผลต่อภาคแรงงานต้องเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น
การประเมินของ Krungthai COMPASS จากการรวบรวมข้อมูลของสถาบันยานยนต์, BOI และ Deloitte Krungthai COMPASS คาดว่ายอดผลิตรถยนต์ของไทยในปี 2568-2569 อยู่ที่ 1.47-1.53 ล้านคันต่อปี ลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีต 15%
และแรงงานกว่า 110,000 คน ในอุตสาหกรรมยานยนต์มีความเสี่ยงต้องย้ายไปทำงานในอุตสาหกรรมอื่น คิดเป็น 16.3% ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย หากยอดผลิตรถยนต์อยู่ระดับต่ำต่อเนื่องและผู้ผลิตชิ้นส่วนไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับกระแส ยานยนต์พลังงานใหม่ หรือ New Energy Vehicle( NEV)
สิ่งที่จำเป็นอย่างมากของแรงงาน เพื่อให้สามารถทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมได้ต่อไป คือการอัปสกิลและรีสกิล ซึ่งหากเป็นลูกจ้างในกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่นั้น ไม่น่าเป็นห่วงมากนักจากการที่มีการฝึกอบรมพัฒาฝีมือแรงงานภายในอยู่แล้ว แต่สำหรับลูกจ้างของผู้ประกอบการขนาดกลางหรือขนาดเล็กเป็นกลุ่มที่อาจจะขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะเพื่อรองรับทักษะใหม่ๆในอนาคต
ทักษะที่จำเป็นต้องอัปสกิล-รีสกิล
ธีรศักดิ์ อยู่เพชร ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ (AHRDA) กระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจ"ว่า เท่าที่ทราบจากข้อมูลหลายส่วน แรงงานยานยนต์อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปรับตัวทั้งเรื่องอัปสกิล รีสกิล
ปัญหาการเลิกจ้างอาจจะมีตามมาจากการที่ภาคธุรกิจเริ่มปรับตัว มีการปรับขนาดเพื่อลดต้นทุน แต่กลุ่มที่ยังอยู่ต่อจะต้องพัฒนาทักษะ เพื่อที่จะผลักดันธุรกิจหรือรูปแบบการผลิตใหม่ๆ ขณะที่ผู้ประกอบการต้องเร่งสนับสนุนให้เกิดขึ้นมากๆภายในบริษัท จึงจะตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงธุรกิจ มิเช่นนั้นจะเป็นผู้ประกอบการกาลาปากอสเกิดในเกาะและตายในเกาะ
หวังว่าการมาลงทุนใหม่ของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ จะมีมากยิ่งขึ้น ซึ่งแรงงานไทยที่อาจจะเสียโอกาสจากการเลิกจ้างในบางอุตสาหกรรมที่ถดถอย แต่หากมีทักษะจะสามารถไปในอุตสาหกรรมอื่นต่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของทักษะดิจิทัล
รวมถึง ทักษะออโตเมชัน เทคโนโลยีเหล่านี้สำคัญมาก แต่หลายคนอาจจะไม่ได้จบการศึกษาที่ตรงสายนี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวในการแสวงหาการฝึกอบรมเพิ่มเติมในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับอาชีพตัวเอง นอกจากนี้ จะต้องเข้าใจองค์ความรู้เรื่องกรีน ความเป็นกลางทางคาร์บอน และพลังงานสะอาดด้วย
“สถานการณ์แรงงานยานยนต์กึ่งๆวิกฤต ถ้าไม่รีบปรับตัวจะส่งผลกระทบอย่างมาก ไม่อัปสกิลจะเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมอื่นๆยาก เพราะแต่ละอุตสาหกรรมจะเริ่มนำหุ่นยนต์ หรือระบบออโตเมชัน เทคโนโลยีเอไอเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการ ดังนั้น กลุ่มพนักงานทำงานซ้ำๆต้องปรับตัวอย่างมาก ทั้งเรื่องอัปสกิล หรือการเรียนการสอนระดับที่สูงขึ้น การฝึกอบรมต่างๆ” ธีรศักดิ์กล่าว
5 เครื่องมือเชิงนวัตกรรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนปิดโครงการเมื่อวันที่ 13 มี.ค.2568 กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของรัฐบาลญี่ปุ่น และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO (ไอแอลโอ) ร่วมมือใน“โครงการพัฒนาฝีมือแรงงานและการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อการเปลี่ยนผ่าน หรือRBC” โดยทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องของไทย
มุ่งเน้นการยกระดับทักษะแรงงานเพื่อพร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านเ ขณะเดียวกันก็ปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศและหลักการชี้นำของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน นำแนวปฏิบัติการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อสร้างความยั่งยืน
จอร์ดี ปราต ตูคา ผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะและอนาคตของการทำงาน ILO สรุป 5 เครื่องมือเชิงนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยโครงการนี้ ประกอบด้วย 1. การประเมินความต้องการทักษะและแนวโน้มการจ้างงาน พบว่า ระบบอัตโนมัติ ดิจิทัล และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของยานยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นแนวโน้มสำคัญในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ขณะที่ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน
ทักษะด้านดิจิทัล สีเขียว และSoft skill กำลังเป็นที่ต้องการสูงควบคู่ไปกับทักษะทางเทคนิคขั้นสูง ดังนั้นการบูรณาการหลักการ การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ในการดำเนินธุรกิจต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการเรียนรู้และพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง
2. แนวทางการพัฒนาทักษะและการฝึกอบรม สนับสนุนธุรกิจ โดยเน้นที่ SME เพื่อเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งปฏิบัติตามมาตรฐาน RBC ,เสริมสร้างศักยภาพของแรงงาน ให้สามารถใช้สิทธิของตนได้อย่างเต็มที่ พร้อมพัฒนาความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม
เพิ่มความตระหนักรู้ในห่วงโซ่อุปทาน และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ RBC รวมถึงหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในที่ทำงาน โดยจัดทำคู่มือการฝึกอบรม การพัฒนาฝีมือแรงงานและการดำเนินธุรกิจ อย่างมีความรับผิดชอบ เน้น 3 เรื่องสำคัญ คือ หลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน , ทักษะเพื่อการเปลี่ยน ผ่านสู่ยุคดิจิทัล และทักษะเพื่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
3.ระบบคุณวุฒิและแผนผังอาชีพ (occupational map) เพื่อช่วยให้นายจ้าง แรงงาน และผู้กำหนดนโยบายสามารถรับมือกับลักษณะงานที่เปลี่ยนแปลงไปในภาคอุตสาหกรรม และวางแผนความต้องการทักษะแรงงานในอนาคตได้
4.การพัฒนาศักยภาพของวิทยากรภายในบริษัทสำหรับผู้ฝึกงาน - การฝึกอบรมระบบทวิภาคีรับรองการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล โดยปรับปรุงการออกแบบและการดำเนินการเรียนรู้ผ่านการทำงาน เพื่อเป็นเส้นทางสู่การจ้างงานที่มีคุณค่า ,ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ,เสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวและการจ้างงานของผู้ ฝึกงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน และสนับสนุนการป้องกันและลดการละเมิดสิทธิแรงงาน
และ5. หลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ของ ITC-ILO ทางด้านธุรกิจและการทำงานที่มีคุณค่ารวมถึงหลักการสิทธิมนุษยชนการปรับหลักสูตรการฝึกอบรม เกี่ยวกับธุรกิจและการทำงานที่มีคุณค่าและ มิติด้านแรงงานของแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน
แผนผังอาชีพ ภาคผลิตยานยนต์
ขณะที่ อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ นักวิจัยอาวุโส สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขยายความเครื่องมือเรื่องการจัดทำแผนผังอาชีพในภาคการผลิตยานยนต์(Mapping)ในไทยว่า โฟกัสไปที่การเข้ามาของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพราะเป็นสิ่งที่ลูกจ้างในสถานประกอบการยายนยนต์กังวลมากว่าจะส่งผลกระทบต่อเขาอย่างไร โดยการจัดทำเครื่องมือนี้ เริ่มจากมองทั้งระบบEcosystemว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ตรงจุดใด
จากนั้นนำตำแหน่งงานต่างๆเข้ามาmapping และแบ่งทักษะเป็น 8 ระดับ ก่อนจะเพิ่มทักษะแต่ละประเภทที่บริษัทต้องการ และหากแรงงานต้องการความก้าวหน้าในสายงานต้องเพิ่มทักษะประเภทไหน นอกจากนี้ ระบุเส้นทางของแต่ละตำแหน่งที่จะสามารถก้าวไปทำงานในอุตสาหกรรมอื่นๆด้วย เครื่องมือนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
- ระดับรัฐสามารถนำไปใช้ในการที่จะสร้างรูปแบบ วิธีการฝึกอบรมการพัฒนาทักษะ
- ระดับนโยบายเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำให้บรรลุเป้าประสงค์ เช่น นโยบายรัฐบาลต้องการมองNew S-curve สร้างความสามารถในกาแข่งขันผ่านอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยว
- ระดับอุตสาหกรรมจะเป็นประโยชน์ต่อผุ้ประกบการเทียร์ 1, 2 หรือ 3 ในเรื่องที่จะสามารถกำหนดมาตรฐานในแต่ละตำแหน่งงานได้ สอดคล้องกับที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือขนาดย่อม อาจจะได้รับผลกระทบมากถ้ามีการเปลี่ยนในระดับโครงสร้างอุตสาหกรรม เพราะไม่มีเครื่องมือช่วยในการปรับตัว
- ระดับธุรกิจ สามารถช่วยให้เป็นไกด์ไลน์ในการมองเห็น เมื่อโครงสร้างอุตสาหกรรมเปลี่ยน รูปแบบทักษะที่ต้องเพิ่มเติม การทำรีสกิล อัปสกิล ทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น โดยเป็นบทบาทที่ภาครัฐต้องเข้ามาเสริมให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดในการเพิ่มทักษะให้ลูกจ้าง
- และระดับลูกจ้างจะมองเห็นเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งในสถานประกอบการเดิมและรูปแบบการทำงานอื่นภายใต้อุตสาหกรรมเดียวกัน