ข้อตกลงหยุดยิงมีผลแล้วเมื่อเวลา 11.30 น. ของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 ส.ค. 2565) ตามเวลาท้องถิ่น หลังอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ร่วมเจรจาโดยมีอียิปต์เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ท่ามกลางการปะทะนองเลือดนาน 3 วันในพื้นที่ฉนวนกาซา
“เรายกย่องความพยายามที่อียิปต์ได้ลงแรงไปเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของอิสราเอลต่อประชาชนของเรา” ทาเรค เซลมี โฆษกกลุ่มญิฮาดอิสลาม แถลง เช่นเดียวกับอิสราเอลที่ได้ออกมาแถลงยืนยันการหยุดยิง พร้อมกับระบุด้วยว่า “ถ้าการหยุดยิงถูกละเมิดเมื่อใด รัฐอิสราเอลมีสิทธิที่จะตอบโต้อย่างรุนแรง”
ซึ่งก็ปรากฏว่า หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลไปแล้ว กองทัพอิสราเอลได้ออกมายืนยันว่า กองทัพได้ยิงขีปนาวุธใส่เป้าหมายที่เป็นกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ‘จำนวนมาก’ ด้วยกัน โดยบอกว่าเป็นการตอบโต้จากการยิงจรวดเข้ามาในดินแดนอิสราเอล ก่อนที่จะยิงลูกสุดท้ายเมื่อเวลา 2.25 น. ของวันนี้ (8 ส.ค. 2565) ตามเวลาท้องถิ่น
ความรุนแรงในช่วง 3 วันที่ผ่านมานี้ สำนักข่าว BBC ชี้ว่า ถือเป็นการปะทะกันระหว่างอิสราเอลและฉนวนกาซาที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่การปะทะที่กินระยะเวลา 11 วันเมื่อเดือน พ.ค. 2564 ด้านกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตแล้ว 44 ราย เป็นเด็ก 15 ราย โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 30 ราย
ที่มาที่ไปของการปะทะครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพอิสราเอลประกาศการโจมตีทางอากาศภายใต้ปฏิบัติการ ‘Breaking Dawn’ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 ส.ค. 2565) เพื่อมุ่งเป้าโจมตีกลุ่มติดอาวุธญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ในพื้นที่ฉนวนกาซา ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดหลังอิสราเอลจับกุมสมาชิกกลุ่มดังกล่าวในเขตเวสต์แบงก์
หลังจากนั้น ฉนวนกาซาก็ถูกอิสราเอลถล่มอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่ฝ่ายกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ก็ยิงจรวดเป็นการตอบโต้ อย่างไรก็ดี การปะทะกันครั้งนี้ถือว่าสร้างความเสียหายหนักให้กับกลุ่มติดอาวุธทางฝั่งปาเลสไตน์ ทั้งการทำลายฐานทัพและโรงงานผลิตอาวุธหลายแห่ง รวมไปถึงการสังหารผู้นำหลักของกลุ่มจำนวน 2 รายด้วย
อ้างอิงจาก
