โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เรียนต่อ ป.โท ที่ไหนดี? เทียบชัดๆ ข้อแตกต่าง ‘อังกฤษ vs อเมริกา’ พร้อมชี้เป้าทุนเรียนต่อ!

Dek-D.com

เผยแพร่ 25 ธ.ค. 2566 เวลา 08.34 น. • DEK-D.com
เรียนต่อ ป.โท ที่ไหนดี? เทียบชัดๆ ข้อแตกต่าง ‘อังกฤษ vs อเมริกา’ พร้อมชี้เป้าทุนเรียนต่อ!
เทียบกันชัดๆ ข้อแตกต่างการเรียนที่ ‘อังกฤษ vs อเมริกา’ พร้อมชี้เป้าทุนเรียนต่อ!

สวัสดีชาว Dek-D ค่ะ ถ้าพูดถึงประเทศที่หลายคนใฝ่ฝันอยากไปเรียนต่อ เชื่อว่าลิสต์อันดับต้นๆ จะต้องมี “สหราชอาณาจักร (UK)” และ “สหรัฐอเมริกา (USA)”อย่างแน่นอน เพราะอย่างที่รู้กันว่า 2 ประเทศนี้ระบบการศึกษามีคุณภาพ เป็นที่ตั้งของยูระดับท็อปโลก และเปิดกว้างให้กับชาวต่างชาติสามารถทำงานต่อได้หลังเรียนจบ เรียกว่ามีช่องทางต่อยอดได้ในระยะยาวเลยทีเดียว

แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่แน่ใจว่าควรปักหมุดเรียนต่อปริญญาโทที่ไหนดี วันนี้เราเลยสรุปข้อมูลและประเด็นสำคัญๆ ที่ควรใช้พิจารณาก่อนตัดสินใจว่าจะเป็นทีมไหนดี ทั้งเกณฑ์การสมัครเรียน, ประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น, การขอวีซ่าทำงานต่อหลังเรียนจบ รวมถึงชี้พิกัดทุนการศึกษาด้วย จะมีเรื่องอะไรที่ควรอัปเดตบ้าง เลื่อนไปอ่านกันเลยค่ะ Let’s go~

……………………….

ตัวอย่างสาขายอดฮิต

อยากเรียนต่อสาขานี้ ควรเลือกที่ไหนดี?ถือว่าเป็นประเด็นท็อปๆ ที่หลายคนมักถามกัน ดังนั้นเรามาเริ่มต้นด้วยตัวอย่างสาขาวิชาที่คนนิยมไปเรียนต่อใน UK กับ USA กันก่อนเลยค่ะ

อังกฤษ

อเมริกา

  • วิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science)

  • จิตวิทยา (Psychology)

  • การตลาด (Marketing)

  • การจัดการ (Mahagement)

  • สถาปัตยกรรมศาสตร์ (Architecture)

  • วิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science)

  • วิศวกรรมสารสนเทศ (IT Engineering)

  • การเงิน (Finance)

  • การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ (Business Analytics)

  • การตลาด (Marketing)

  • วิทยาการข้อมูล (Data Science)

  • การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics)

Note:อย่างไรก็ตาม ตารางด้านบนก็ไม่อาจสรุปเป็นข้อมูลตายตัวได้เสมอไป แนะนำว่า ถ้าอยากเรียนสาขาไหน ให้ลองเช็กอันดับจาก QS World University Rankings by Subjectซึ่งเค้าจะสรุปข้อมูลมาให้ว่าถ้าอยากเรียนต่อด้านนี้ มีมหาวิทยาลัยอะไรจากประเทศไหนที่มีชื่อเสียงบ้าง(ค้นหาได้ทั้งโลก ไม่ได้จำกัดแค่ UK กับ USA) ลองเช็กให้ชัวร์ อาจจะช่วยให้เราพบคำตอบได้ง่ายขึ้น!

จะเรียนต่อ ป.โท ต้องใช้อะไรบ้าง?

มาต่อกันที่หัวข้อเบสิกอย่าง ‘เกณฑ์การสมัครเรียน’กันค่ะ สำหรับการสมัครเรียนที่สหราชอาณาจักรมักกำหนดเกณฑ์การพิจารณาเบื้องต้น ดังนี้

  • ผลการเรียนระดับ ป.ตรี: ควรมีเกรดขั้นต่ำเทียบเท่า Upper Second-Class Honours (2:1) หรือLower Second-Class Honours (2:2) ของการเรียนในประเทศอังกฤษ ซึ่งถ้าจะเทียบกับ GPA ของมหาวิทยาลัยในไทยก็จะอยู่ที่ประมาณ 3.3-3.7 (2:1) และ2.8-3.2(2:2) นั่นเองค่ะ
  • ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ: ส่วนใหญ่ใช้ผลสอบ IELTS Academic ขั้นต่ำ band 6.5(อาจยื่นผลสอบประเภทอื่น เช่น TOEFL, PTE, CAE แทนได้) แต่หากใครไม่ชัวร์ว่าเราจะสอบได้ band ที่มหา’ลัยกำหนดไว้หรือไม่ อาจใช้ผลสอบ ‘IELTS UKVI’(แล้วแต่มหา’ลัย) ซึ่งได้รับการรับรองจาก UK Visas and Immigration (UKVI) แทนได้ โดยความพิเศษจะอยู่ที่กรณีสอบไม่ผ่านเกณฑ์ สามารถใช้ผลสอบนี้ยื่นสมัคร Pre-sessional English Course ซึ่งเป็นหลักสูตรปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษก่อนเริ่มเรียน ป.โท ที่มหาวิทยาลัยใน UK ได้เลย (ไม่ต้องสอบใหม่)

ส่วนมหาวิทยาลัยฝั่งอเมริกากำหนดเงื่อนไขการสมัครเรียนเบื้องต้นไว้ ดังนี้

  • ผลการเรียนระดับ ป.ตรี: ควรมี GPA ขั้นต่ำ 3.00
  • ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ: มักใช้ผลสอบ TOEFL ขั้นต่ำ 80 คะแนน ทั้งนี้อาจใช้ผลสอบประเภทอื่น เช่น IELTS, PTE, CAE แทนได้ (ขึ้นอยู่กับมหา’ลัย)
  • ผลสอบ GRE หรือ GMAT: หลายมหา’ลัยกำหนดให้สอบ GRE (Graduate Record Examination) ซึ่งเป็นข้อสอบวัดความสามารถสำหรับสมัครเรียนต่อ ป.โท และสำหรับใครเล็งเรียนต่อ Business School (เช่น สาขา MBA, Marketing, Finance ฯลฯ) มักต้องสอบ GMAT (Graduate Management Admission Test) ที่ใช้วัดระดับสำหรับผู้ที่จะเรียนต่อในด้านนี้โดยเฉพาะเพิ่มเติมด้วย

Note:ทั้งนี้มหาวิทยาลัยอาจกำหนดเกณฑ์การรับสมัครแตกต่างจากที่ระบุไว้ด้านบนโปรดตรวจสอบที่หน้าเว็บไซต์ของแต่ละแห่งค่ะ

หลักสูตร & ระยะเวลาเรียน

เรื่องระยะเวลาในการเรียนก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หลายคนใช้ในการตัดสินใจ ถ้าหากใครมีข้อจำกัดต้องการอัปเกรดความรู้ในระยะเวลาสั้นๆ ปักหมุดที่UK ก็น่าจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะหลักสูตรระดับ ป.โท ของใช้เวลาเรียนประมาณ 9-12 เดือนโดยจะเน้นการเรียนแบบเจาะลึกในสาขาวิชานั้นๆสำหรับโพรเจกต์จบก็มีให้เลือกหลายประเภท (แล้วแต่หลักสูตร) เช่น วิทยานิพนธ์ (Dissertation), การฝึกงาน (Internship), โพรเจกต์ให้คำปรึกษา (Consulting Plan) เป็นต้น

ทางฝั่ง USAส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 2 ปี(อาจมีบางหลักสูตรใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี ขึ้นอยู่กับหน่วยกิตของสาขานั้นๆ) ซึ่งการเรียนการสอนก็จะเน้นรอบด้าน ครอบคลุมทุกความรู้พื้นฐานแบบแน่นๆเพื่อให้นักศึกษาสามารถต่อยอดการเรียนช่วงครึ่งหลังของหลักสูตรได้ ส่วนโพรเจกต์จบก็มีหลากหลายทั้งวิทยานิพนธ์ (Thesis), Capstone Project และอื่นๆ

Note:ถ้าหากใครที่มีผลสอบวัดระดับภาษาไม่ถึงเกณฑ์ จะต้องเรียนปรับพื้นฐานก่อน จึงจะสามารถเรียนต่อ ป.โท ได้

ค่าเล่าเรียน

  • ค่าเล่าเรียนที่ UKโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 17,109 ปอนด์/ปี(ประมาณ 755,190 บาท)
  • ค่าเล่าเรียนที่ USAโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 22,000 ดอลลาร์/ปี(ประมาณ 768,000 บาท)

Note:

  • แม้ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยต่อปีจะมีอัตราใกล้เคียงกัน แต่อย่าลืมว่าหลักสูตรที่อเมริกาใช้เวลาเรียนประมาณ 2 ปีดังนั้นจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในปีการศึกษาถัดไปด้วยค่ะ
  • แต่ละหลักสูตรมีค่าเล่าเรียนแตกต่างกัน แนะนำให้เช็กที่หน้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโดยตรง
  • ส่องอัตราค่าครองชีพของเมือง
  • อ้างอิงเรตเงิน 1 ปอนด์ = 44.14บาท และ1 ดอลลาร์ = 34.94 บาท(อัปเดตเมื่อ 22 ธ.ค. 66)

เปิดรับสมัครเมื่อไหร่?

เชื่อว่าหลายคนอาจมีคำถามประมาณว่า “แล้วถ้าอยากสมัครเรียนต่อ ป.โท ที่ UK และ USAควรเตรียมตัวตอนไหนดีล่ะ?”การวางแผนเรื่องเวลานั้นก็สำคัญมากๆ ซึ่งโดยปกติแล้วควรเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี ก่อนวันเปิดรับสมัคร เพราะอย่างเรื่องขอเอกสารสำคัญบางอย่าง เช่น ใบวุฒิการศึกษา, ใบแสดงผลการเรียน, ผลสอบวัดระดับ ฯลฯ โดยเฉพาะกรณีที่ต้องแปลและนำไปรับรองที่กงสุล อาจใช้เวลานานและคาดเดาไม่ได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้เผื่อเวลาเอาไว้ และ+เริ่มดำเนินการอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนมหาวิทยาลัยเปิดรับสมัคร +

แล้วมหาวิทยาลัยจะเปิดรับสมัครเมื่อไหร่?ปกติแล้วมหาวิทยาลัยจะเปิดรับสมัครล่วงหน้า 1 ปี ก่อนปีที่เราจะไปเรียนค่ะยกตัวอย่างเช่น เมื่อมหาวิทยาลัยเปิดเทอม Fall ของปีนี้เสร็จปุ๊บ เค้าก็จะเปิดรับสมัครเทอม Fall ของปีถัดไปต่อเนื่องกันเลยค่ะ ก็คือใน 1 ปีเต็มๆ นี้เราต้องสมัครเรียน, ติดต่อมหาวิทยาลัย, ตอบรับ offer, ดำเนินการเรื่องวีซ่า, หาที่พัก, จองตั๋วเครื่องบิน พูดง่ายๆ ก็คือต้องดำเนินการให้เรียบร้อย จากนั้นจึงจะสามารถบินไปเข้าเรียนใน Intake ที่เราสมัครไปได้ // ว่าแล้วเรามาดู Timeline ของแต่ละประเทศกันว่า ในแต่ละเทอมเค้าเปิดรับสมัครช่วงไหนบ้าง?

Timeline สมัครเรียนต่อ UK

Intake

ระยะเวลารับสมัคร

September(เปิดเทอมเดือนกันยายน) เดือนกันยายน - มีนาคม January(เปิดเทอมเดือนมกราคม) เดือนกันยายน - พฤศจิกายน

Timeline สมัครเรียนต่อ USA

Intake

ระยะเวลารับสมัคร

Fall(เปิดเทอมเดือนกันยายน) เดือนสิงหาคม - ธันวาคม Spring(เปิดเทอมเดือนมกราคม) เดือนมกราคม - เมษายน Summer(เปิดเทอมเดือนมิถุนายน) เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม

Note:

  • บางหลักสูตร/มหาวิทยาลัยอาจมีกำหนดการรับสมัครแตกต่างไป โปรดตรวจสอบที่หน้าเว็บไซต์ของแต่ละแห่ง
  • บางเทอม (Intake) อาจไม่ได้เปิดรับสมัครทุกหลักสูตรดังนั้นเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย เราควรเช็กดีๆ ว่าคอร์สที่อยากเรียนนั้นเปิดรับสมัครเทอมไหน เพราะบางทีอาจมีคนสมัครเป็นจำนวนมาก และอาจรับแบบ first come, first serve (โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นเทอม Fall จะมีหลักสูตรเปิดรับสมัครเยอะกว่าเทอมอื่นๆ ค่ะ)
  • ข้อมูลในตารางด้านบนอ้างอิงจากเว็บไซต์ UCAS ระบบส่วนกลางที่ใช้สมัครเรียนต่ออังกฤษ และ Hands Onผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนต่อ UK และ USA

ทำงานพาร์ตไทม์ได้ไหม?

แน่นอนว่าการเรียนต่อต่างประเทศนั้นมีภาระค่าใช้จ่ายจิปาถะมากมายที่ต้องรับผิดชอบ ที่ผ่านมานักศึกษาไทยหลายคนจึงหาช่องทางในการทำงานหลังเลิกเรียน เพื่อเพิ่มทั้งประสบการณ์และหาเงินเพื่อช่วยซัปพอร์ตค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปในตัว ซึ่งความดีงามทั้งอังกฤษและอเมริกาก็คือ อนุญาตให้นักศึกษาในหลักสูตร ป.โท แบบเต็มเวลาสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  • UK: ช่วงเปิดเทอมสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และทำงานเต็มเวลา (สูงสุด 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ในช่วงปิดเทอม
  • USA : ช่วงเปิดเทอมสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และทำงานเต็มเวลา (สูงสุด 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ได้ในช่วงปิดเทอม แต่ขอโน้ตไว้นิดนึงว่าต้องเป็นงานที่อยู่ภายในมหา’ลัย (on campus)เท่านั้นค่ะ

Graduate Visa

โอกาสหางานต่อหลังเรียนจบ

หลายคนที่วางแผนบินไปเรียน ป.โท มักจะสนใจเรื่องการทำงานต่อในประเทศนั้นๆ เพราะเป็นโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้วัฒนธรรม และอาจเป็นลู่ทางในการขอ PR ในอนาคตได้ ซึ่งทั้ง UK และ USA ต่างมีวีซ่าให้นักเรียนต่างชาติหางานหลังเรียนจบได้ ช่วยยืดระยะเวลาออกไปช่วงนึงค่ะ โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขจะต่างกัน ดังนี้

  • UK : อนุญาตให้ผู้ถือStudent Visaระดับ ป.โท สามารถสมัคร Graduate Visaเพื่ออยู่หางานต่อได้ 2 ปี และเมื่อจบระยะวีซ่านี้แล้วสามารถสมัครวีซ่าประเภทอื่นๆ เพื่อพำนักต่อได้อีก เช่น Skilled Worker, Global Talent หรือ Innovator routes

  • USA: อนุญาตให้ผู้ถือ F Student Visaสามารถสมัครโปรแกรม Optional Practical Training (OPT)ประเภท Pre-completion OPT (ทำงานก่อนเรียนจบ) และ/หรือ Post-completion OPT (ทำงานหลังเรียนจบ) โดยแบ่งเป็น

  • กรณีเรียนจบสาขาอื่นๆ: ได้สิทธิ์ทำงานเป็นเวลา 12 เดือน

    • กรณีเรียนจบสาขา STEM(Science, Technology, Engineering, Mathematics): ได้รับสิทธ์ขยายเวลาทำงาน (STEM OPT Extension) เพิ่มอีก 24 เดือน (รวมเป็น 36 เดือน)

Note:ยกเว้นกรณีถ้าหากเป็นนักเรียนทุน Chevening จากรัฐบาล UK จะมีเงื่อนไขว่าผู้ได้รับทุนต้องเดินทางกลับประเทศไทยและพำนักอย่างน้อย 2 ปีหลังเรียนจบจะไม่สามารถอยู่ต่อและทำงานได้ค่ะ

เปิดวาร์ปแหล่งทุนเรียนต่อ

อย่างที่รู้กันว่าไม่ว่าจะอเมริกาหรืออังกฤษก็ล้วนมีค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่อย่าเพิ่งนอยด์ไปค่ะ เพราะยังมีโครงการทุนหลายประเภทที่พร้อม support นักศึกษาต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นทุนจากมหาวิทยาลัย จากองค์กรต่างๆ และจากรัฐบาล สำหรับพาร์ตนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักทุนเต็มจำนวนจากรัฐบาล UK และ USA กันค่ะ!

Chevening Scholarships

  • ทุนชีฟนิ่งมอบโดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีศักยภาพความเป็นผู้นำ ประวัติการศึกษา-การทำงานโดดเด่น และมุ่งสร้างการเปลี่ยนเชิงบวกให้กับโลก สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพใน UK ได้

  • ความปังของทุนนี้คือเป็นทุนการศึกษาแบบเต็มจำนวนเป็นระยะเวลา 1 ปีเพื่อใช้เรียนต่อในระดับปริญญาโท แบบไม่จำกัดสาขาวิชาและจะเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ใน UK

  • มูลค่าทุน & สิทธิประโยชน์

  • ค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน

    • ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ชั้นประหยัด
    • ค่าตั้งรกราก (Arrival allowance)
    • ค่าทำวีซ่าขาเข้า
    • เงินสนับสนุนหลังเรียนจบ (Departure allowance)
    • ค่าตรวจปอดเพื่อหาเชื้อวัณโรค (TB test) สูงสุด 75 ปอนด์ (ถ้ามี)
    • ค่าเดินทางแบบเติมเงิน (Travel top up allowance)
    • เบี้ยเลี้ยงรายเดือน ครอบคลุมค่าที่พักและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
    • โอกาสเข้าร่วมเครือข่ายศิษย์เก่าทุนชีฟนิ่งกว่า 55,000 คน
  • ช่วงเวลาเปิดรับสมัคร: ประมาณเดือนกันยายน - พฤศจิกายนของทุกปีอ่านรายละเอียดที่เว็บไซต์ทางการ

Fulbright Thai Graduate Scholarship (TGS)

  • ทุนฟุลไบร์ทเป็นทุนเรียนต่อระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกณ มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีโควตาให้คนไทยโดยเฉพาะ

  • เปิดรับสมัครทุกสาขาวิชา ยกเว้นแพทยศาสตร์ (Medicine), ทันตแพทยศาสตร์ (Dentistry), พยาบาลศาสตร์ (Nursing) และสัตวแพทยศาสตร์ (Veterinary Medicine)

  • มูลค่าทุน & สิทธิประโยชน์

  • ทุนเต็มจำนวนในปีการศึกษาแรก มูลค่าไม่เกิน $35,500 หากยังไม่จบหลักสูตรสามารถขอทุนต่อในปีที่สองได้ไม่เกิน $17,500

    • ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน
    • ประกันสุขภาพ
    • ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
    • ได้รับวีซ่า J-1 (Exchange Visitor) สามารถฝึกงานหรือทำงานต่อได้ 9-18 เดือนหลังเรียนจบ และสามารถขอวีซ่าทำงานได้หลังกลับมาประเทศไทยแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี
  • ช่วงเวลาเปิดรับสมัคร: ประมาณเดือนมกราคม - เมษายนของทุกปีอ่านรายละเอียดที่เว็บไซต์ทางการ

มัดรวมแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์

หากใครต้องการหาข้อมูลการเรียนต่อในประเทศอังกฤษและอเมริกาเพิ่ม ขอแนะนำช่องทางต่อไปนี้ค่ะ

แหล่งข้อมูลสำหรับเรียนต่อ UK

  • เว็บไซต์ UCAS(www.ucas.com) : เว็บไซต์ส่วนกลางที่ใช้สมัครเรียนต่อ และรวบรวมรายละเอียดการเรียนที่ UK ตั้งแต่ระดับ ป.ตรี-ป.เอก
  • เว็บไซต์ Discover Uni (https://discoveruni.gov.uk/): เว็บไซต์การศึกษาในความร่วมมือของประเทศในเครือสหราชอาณาจักร
  • FB เพจ “UK in Thailand”: เพจของสถานทูตอังกฤษ คอยอัปเดตข่าวสาร-เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ UK, รายละเอียดการขอวีซ่า และอื่นๆ
  • FB เพจ “Chevening Awards (FCDO)”: อัปเดตข่าวการรับสมัครทุนชีฟนิ่ง และข้อควรรู้ต่างๆ

แหล่งข้อมูลสำหรับเรียนต่อ USA

  • เว็บไซต์ EducationUSA (https://educationusa.state.gov/) : เว็บไซต์รวมรวมข้อมูลเพื่อการศึกษาต่อระดับปริญญาในสหรัฐอเมริกา
  • FB เพจ “EducationUSA Thailand”: แชร์ข้อมูลการเรียนต่อ, โครงการแลกเปลี่ยน, ทุนการศึกษา ฯลฯ
  • FB เพจ “Fulbright Thailand”: อัปเดตข่าวการรับสมัครทุนฟุลไบร์ทประเภทต่างๆ

อ่านรีวิวจากรุ่นพี่ #ทีมUK

  • เปิดเส้นทางพิชิตทุน Chevening จนได้เรียนป.โทฟรีที่ King’s College London (+แชร์เทคนิคเพียบ)
  • เมื่อเด็กสายภาษาบินลัดฟ้าไปอังกฤษ เริ่มชีวิต ป.โท Computer Science ใน Newcastle Univ.
  • เจาะลึกขอทุนยันเรียนจบ ฉบับ 'มิ้นท์-พรปรียา' เด็กป.โทสาขาอาชญาวิทยาแห่ง 'Cambridge' #ทีมอังกฤษ
  • Go Beyond Limits! เล่าชีวิตป.โท 1 ปีในรั้ว Warwick แห่ง UK กับหลักสูตรปั้นนักธุรกิจสุดครบเครื่อง (Innovation & Entrep.)

อ่านรีวิวจากรุ่นพี่ #ทีมUSA

  • อยากเรียนต่อ ป.โท 'อเมริกา' เริ่มยังไงดี? รีวิวการเตรียมตัวจากศิษย์เก่า ม.ดังแบบจัดเต็ม!
  • Ready Set Go! เล่าเส้นทาง ป.โท สู่การโกอินเตอร์เป็น 'นักออกแบบฉาก' ในอเมริกา
  • ชีวิตเด็กโทควบเอกสุดท้าทายที่ U. of Virginia ในสหรัฐฯ กับบทบาทผู้ช่วยสอน/ผู้ช่วยวิจัย/อาจารย์พิเศษ!
  • เล่าเส้นทางกว่าจะได้ทำงานที่ Microsoft (รีวิวกระชับ+เรียลๆ) โดย 'พี่ซอล' #ทีมอเมริกา

……………………….

เป็นยังไงบ้างคะกับข้อแตกต่างการเรียนต่อ ป.โท ที่ 2 ประเทศสุดฮิตที่เราสรุปมาให้ในวันนี้ สำหรับใครที่เลือกได้แล้วว่าจะเป็น#ทีมอังกฤษหรือ #ทีมอเมริกาขอแนะนำให้เตรียมเอกสารการสมัครไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ กันนะคะ แต่หากใครยังไม่แน่ใจก็แนะนำให้ศึกษาข้อมูลจากช่องทางต่างๆ ที่เราแปะไว้และหน้าเว็บไซต์ของหลักสูตรที่อยากเรียนค่ะ

สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า “แม้ความฝันนั้นจะไกลแค่ไหน แต่ก็เป็นไปได้เพียงแค่เราลงมือทำ”แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ~

สำหรับใครที่มองหาโอกาสโกอินเตอร์ ตอนนี้มีหลายทุนกำลังเปิดรับสมัคร
ตามไปเช็กกันต่อได้เลยที่ "โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอก by Dek-D"

ติดตามทุนต่อนอกง่ายๆ กับ Dek-D

Website: www.dek-d.com/studyabroad

X: @tornokandcourse

IG: @tornokandcourse

Facebook: Study Abroad เรียนต่อนอก by Dek-D

Facebook: Study Guide ไปเรียนต่อนอกกันเถอะ

TikTok: @tornokandcourse