เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ห้องประชุม 6-200 ตึก 6 อาคารstudent center มหาวิทยาลัยรังสิต พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(dsi) เปิดเผยหลังจากเข้าร่วมเสวนาวิชาการในหัวข้อ “การฆาตกรรมอำพรางศพนายพอละจี หรือ บิลลี่ บุคคลใดต้องรับผิดชอบ” และหัวข้อปัญหาสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน กับการขึ้นทะเบียนผืนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ซึ่งมี ดร.อรรถวิท อุไรรัตน์ รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นประธานว่า การสอบสวนสืบสวนคืบหน้าไประดับหนี่งได้พยานหลักฐานที่มีอยู่ขณะนี้เกือบครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ขอตอบว่าหลักฐานการกระทำผิดเหล่านี้เชื่อมโยงถึงคนสั่งการได้หรือไม่ ส่วนการจะออกหมายเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อไหร่นั้น ขอหารือในการประชุมคณะทำงานชุดคลี่คลายคดีอาทิตย์หน้าก่อน เพราะคดีดังกล่าวจำเป็นต้องใช้เวลาและความละเอียดรอบครอบในการทำงานเพือให้สำนสนมีความแน่นหนามากพอที่จะเอาผิดกับคนร้ายได้
ขณะที่ในส่วนของกรอบเวลา 3 เดือน นั้น ตนไม่อยากให้มองว่าเป็นกรอบเวลากำหนดตายตัว เพียงแต่เขื่อว่าภายใน 3 เดือนนี้ทางเรายังมั่นใจว่าน่าจะมีคำตอบที่ดีเกี่ยวกับคดี ส่วนภาพถ่ายของนักท่องเที่ยวที่ถ่ายภาพถังที่เขือว่าน่าจะเป็นถังใบเดียวกับที่พบเศษกระดูกบิลลี่เมื่อหลายปีก่อนได้ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าใช่ถังใบเดียวกันหรือไม่
ด้าน นางพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของ บิลลี่ กล่าวว่า 5 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างลำบากเพราะต้องขาดเสาหลักของบ้านไป ตนก็ต้องพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ทั้งงานบ้านและทำไร่ทำสวน ในใจยังคงรอคอยว่าบิลลี่หายไปไหนเป็นอย่างไร ช่วงแรกที่ทราบข่าวว่าบิลลี่ถูกจับก็คิดว่าคงเป็นการถูกจับดำเนินคดีปกติ เดี๋ยวก็คงได้รับการปล่อยตัว ไม่คิดว่าจะถึงกับเสียชีวิต ตนพยายามร่องเรียนตามหน่วยงานต่างๆก็ไม่ได้มีความคืบหน้าเท่าที่ควรจนกระทั่งเมื่อเรื่องมาอยู่ในมือของดีเอสไอ จึงได้รู้ความจริง ซึ่งตนต้องขอขอบคุณดีเอสไอเป็นอย่างมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าในการเสวนาครั้งนี้มีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายแง่มุม ขณะเดียวกันยังได้มีการทำพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวกะเหรี่ยง ลักษณะเป็นการโผกอดเพื่อขอบคุณ ซึ่งนางพิณนภาเดินน้ำตาคลอเข้าไปสวมกอด พ.ต.ท.กรวัชร์ เพื่อขอบคุณเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เกาะติดและพยายามหาเบาะแสเรื่อยมา จนนำมาสู้การคืนความเป็นธรรมให้แก่สามีและชาวกระเหรี่ยงทุกคน.