อย่างที่เราทราบกันดี ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมลพิษที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง และมลพิษทางดิน แต่นอกเหนือจากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีมลพิษอีกรูปแบบหนึ่งที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวัน แต่อาจไม่ทราบผลกระทบของมันสักเท่าไหร่ นั่นคือ Light Pollution หรือ มลพิษทางแสง
แน่นอนว่าแสงจากสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์นั้นมีความสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์อย่างมาก แต่การที่ในเมืองนั้นมีแสงสว่างมากเกินความจำเป็น หรือถูกนำไปใช้งานอย่างผิดวัตถุประสงค์ ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เราด้วยเช่นกัน ซึ่งมลภาวะประเภทดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานแล้ว แต่กลายเป็นที่พูดถึงอย่างจริงจังในช่วงปี ค.ศ.1970 เมื่อกลุ่มนักดาราศาสตร์เริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากแสงสว่างในเมืองที่ทำให้การมองเห็นดวงดาวได้ยากขึ้น และต้องพึ่งพาอุปกรณ์มากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากการมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้ยากขึ้นแล้ว ในแง่ของระบบนิเวศเองก็ได้รับผลกระทบจากแสงสว่างที่มากเกินไปเช่นกัน และมีสัตว์หลายชนิดที่เกิดการหลงเวลา เพราะไม่อาจแยกแยะความสว่างที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนได้ นอกจากนี้ยังกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์หากินกลางคืน ที่ไม่เพียงจะสับสนกับแสงสว่างที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่สามารถหาอาหารจากดอกไม้บางชนิดที่บานและส่งกลิ่นเฉพาะในเวลาที่ไม่มีแสดงสว่างเท่านั้น
อาจจะฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของผู้คนทั่วไปโดยตรง แต่การที่ในเมืองนั้นมีแสงสว่างมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นแสงในที่สาธารณะหรือแสงภายในบ้าน ก็สามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายคนเราได้ เช่นกรณีที่มีแสงในห้องนอนมากเกินไป ก็อาจทำให้ร่างกายไม่พร้อมที่จะพักผ่อน นอนหลับยาก และทำให้การผลิตฮอร์โมนในร่างกายไม่ปกติ
ฟังมาถึงตรงหลายคนอาจตั้งข้อสังเกตว่า คงเป็นไปได้ยากที่เราจะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหามลพิษทางแสง เพราะโลกใบนี้ยังมีธุรกิจอีกมาที่ต้องพึ่งพาแสงสว่างเกือบตลอดเวลาในการทำงาน ฉะนั้นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดในการใช้พลังงาน และควบคุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม คืออีกหนึ่งความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม