ข้อมูลเบื้องต้น
ในนิยายเรื่องลำนำลิขิตรักเกาเฟยเยี่ยนเป็นนางร้ายที่มีไทเฮาหนุนหลัง เพราะความอิจฉาริษยาจึงวางแผนทำให้พี่สาวต่างมารดาอย่างเกาฮุ่ยเหนียงขายหน้าในงานเลี้ยง โชคดีที่มีบุรุษรูปงามมากความสามารถอย่างคุณชายรองสกุลหยวนและซื่อจื่อจวนหย่งชางโหวช่วยให้เกาฮุ่ยเหนียงหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้าย พี่ชายทั้งสองคนอย่างเกาลู่ชางและเกาลู่ซีก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขามองเห็นธาตุแท้ของน้องสาวที่คลานตามกันมาอย่างเกาเฟยเยี่ยนออก นางร้ายจึงถูกบิดามารดาลงโทษตามกฎระเบียบจวน ความเกลียดชังที่มีต่อเกาฮุ่ยเหนียงจึงกระพือโหมขึ้นไปอีก จากที่เคยกลั่นแกล้งเล็กน้อยก็ค่อย ๆ ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แม้แต่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดยังทนมองหน้านางไม่ได้
น่าเสียดายที่นางยังอ่านนิยายเรื่องนี้ไม่จบเลยไม่รู้ว่าจุดจบของนางร้ายเป็นยังไง
แต่นางมีคำพูดมากมายอันแน่นในใจ อยากถามนักเขียนเหลือเกินว่า
ชะตาชีวิตรันทดแบบนี้ทำไมไม่อธิบายตั้งแต่ต้นเล่า ปีแรกตอนที่ยังไม่ถูกทิ้งนางยังหลงดีใจคิดว่าได้มาอยู่ในร่างนางร้ายที่มีแต่คนรัก เก้าปีที่ผ่านมานับว่าเปิดหูเปิดตาแล้วจริง ๆ
เกาเฟยเยี่ยนทอดถอนใจ นางร้ายเองก็เคยลำบากมาก่อนเหมือนกัน มิน่าถึงได้อิจฉาริษยานางเอกขนาดนั้น ที่แท้ก็เกิดจากความโกรธแค้นและน้อยใจในช่วงวัยเด็กนี่เอง
นิยายมีสามเล่มจบ มีทั้งแบบ Ebook ใน MEB และติดเหรียญในเว็บค่ะ(ในเว็บไม่ลงตอนพิเศษนะคะ)
Ebook เล่ม 1
Ebook เล่ม2
ตอนที่1
สายลมด้านนอกโหมกระหน่ำก่อให้เกิดเสียงหวีดหวิวชวนขนลุก ลมเล็ดลอดผ่านรอยแยกของกรอบหน้าต่างเข้ามาด้านใน แสงเทียนวูบไหวส่องกระทบใบหน้าของเด็กหญิงวัยสิบปีที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณ
เด็กหญิงที่ถูกทำโทษให้นั่งคุกเข่าหน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษคือคุณหนูสามเกาเฟยเยี่ยน บุตรสาวสายตรงคนเดียวของเกาฮั่วและภรรยาเอกชุยซื่อ
เก้าปีก่อนตอนเกาฮั่วได้รับบัญชาจากโอรสสวรรค์ให้ไปประจำการปกปักรักษาชายแดนสองสามีภรรยาได้หอบบุตรชายสองคนและบุตรสาวสายรองอีกคนหนึ่งไปด้วย ทิ้งเด็กน้อยอายุหนึ่งขวบให้เจินซื่อและฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนดูแล
ด้วยฐานะบุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียวของซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงนางสมควรได้รับการเอาใจจากคนรอบข้าง ทว่าหลังจากถูกครอบครัวทิ้งไว้ข้างหลังนางก็เป็นแค่คุณหนูไร้ค่าคนหนึ่ง มักจะถูกเจินซื่อและเกาเฟยหรูหาเรื่องกลั่นแกล้งทุก ๆ สามวัน เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยจนนางจับทางได้ว่าถ้าสู้กลับมีแต่จะถูกลงโทษหนักกว่าเดิม หลายปีที่ผ่านมาจึงก้มหน้ารับการลงโทษตามคำตัดสินของเจินซื่อและฮูหยินผู้เฒ่า
“นางคุกเข่าอยู่ข้างในรึ” เสียงของบุรุษฟังดูหนักแน่นและน่าเกรงขามดังมาจากประตู
นางไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่เป็นใครไม่สำคัญ ขอเพียงได้ยินเสียงนางก็จะเหยียดหลังตรงก้มหน้าทำท่าสำนึกผิดทันที
ประตูห้องเปิดออก เสียงฝีเท้าหยุดลงทางขวามือของนาง เกาเฟยเยี่ยนเหลือบมอง บุรุษที่ยืนอยู่ข้างนางสวมชุดเกราะสีเงินอายุประมาณหกสิบกว่าปี ผมสีดำแซมขาวถูกรวบไว้ไม่หลุดลุ่ยออกมา ข้างแก้มมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากการถูกอาวุธมีคมกรีด แต่สิ่งที่ทำให้คนอยากวิ่งหนีไม่ใช่รอยแผลบนใบหน้า เป็นแววตาเย็นชาน่าหวาดกลัวคู่นั้นต่างหากที่ทำให้บรรยากาศรอบข้างจับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง
เกาเฟยเยี่ยนค้อมศีรษะเรียกขานเขาด้วยความเคารพว่า “ท่านปู่” ดูจากอายุ ชุดเกราะ และการเข้านอกออกในได้อย่างง่ายดายเขาไม่อาจเป็นใครไปได้นอกจากเจิ้นกั๋วกง
ทั้งในและนอกจวนเล่าลือว่าเจิ้นกั๋วกงโจมตีทหารของแคว้นเว่ยที่มารุกรานล่าถอยออกไป ไม่รอให้แคว้นเว่ยตั้งตัวก็นำทัพบุกโจมตีเมืองของศัตรูจนแตกพ่าย ทำการรวบอาณาเขตของแคว้นเว่ยเข้ากับเยียนเฉิง ขนทรัพย์สินเงินทองและของล้ำค่าจากวังหลวงของแคว้นเว่ยถวายโอรสสวรรค์ที่อยู่ในวัง
“เหตุใดถึงมาคุกเข่าอยู่ที่นี่” เจิ้นกั๋วกงหลุบตามองหลานสาว ยามสอบถามไม่เหมือนผู้อาวุโสเอ็นดูบุตรหลานแต่ให้ความรู้สึกของผู้มีอำนาจกำลังมองประเมินคนเบื้องล่างว่าคุ้มค่าแก่การเสียเวลาหรือไม่
“พี่หญิงใหญ่ทำปิ่นปักผมหาย นางบอกว่าข้าเป็นคนเอาไป ดังนั้นอาสะใภ้รองจึงสั่งให้ข้าคุกเข่าเพื่อสำนึกผิด”
เจิ้นกั๋วกงเลิกคิ้ว “เจ้าไม่ได้เป็นคนเอาไป?”
เกาเฟยเยี่ยนส่ายหน้า ไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายข่มขวัญของเจิ้นกั๋วกงแม้แต่น้อย “หลานไม่ได้เป็นคนเอาไปเจ้าค่ะ แค่ปิ่นหยกแกะสลักดอกอวี้หลันราคาไม่กี่ตำลึงทองเท่านั้น เหตุใดต้องเสี่ยงเสื่อมเสียชื่อเสียงทำตัวเป็นหัวขโมยด้วย”
“นายหญิงรองบอกว่าปิ่นอยู่ในห้องนอนของเจ้า”
“ท่านปู่” นางเงยหน้าสบตากับเขา “เรือนของข้ามีสาวใช้เข้านอกออกในหลายคน ถ้าข้าขโมยจริงเหตุใดถึงนำปิ่นซ่อนไว้ใต้หมอนไม่ยอมเก็บไว้ในที่ที่มิดชิดกว่านี้ อีกประการ อาสะใภ้รองนำคนมาค้นเรือนตอนที่ข้าออกไปข้างนอก หัวขโมยตัวจริงอาจหวาดกลัวฉวยโอกาสตอนข้าไม่อยู่นำปิ่นมาวางไว้ในห้องของข้าก็ได้”
นางไม่รู้ว่าเจิ้นกั๋วกงจะเป็นเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าที่รังเกียจเดียดฉันท์นางหรือไม่ ทว่าโอกาสดีขนาดนี้นางไม่อาจปล่อยหลุดมือ ต่อให้เขาไม่หนุนหลังนางแต่ถ้าสามารถทำให้เขาเห็นความสำคัญแค่เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นกำไรแล้ว
“เจ้ามีฐานะเป็นบุตรสาวสายตรงของจวนเจิ้นกั๋วกง” แม่ทัพไร้พ่ายของแคว้นกล่าวเสียงเย็น “แม้แต่สาวใช้ในเรือนก็ยังคุมไม่ได้ ไม่คิดว่าน่าขายหน้าบ้างหรือ”
“บุตรสาวสายตรงที่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง” เกาเฟยเยี่ยนตอบกลับเสียงเรียบ “ด้านบนไม่มีใครให้พึ่ง ด้านล่างไม่มีคนเคารพ ข้าที่เป็นเด็กหญิงอายุสิบปีทำได้แค่ลงโทษสาวใช้ในเรือน ทว่าคนอื่นในจวนสามารถลงโทษและกำหนดชะตาชีวิตของพวกนางได้มากกว่าข้า พวกนางไม่รับคำสั่งจากข้าก็เป็นเรื่องปกติ”
“ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว” เจิ้นกั๋วกงกล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้อง ไม่แม้แต่จะทำความเคารพหรือจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษด้วยซ้ำ
เกาเฟยเยี่ยนมองแผ่นหลังแข็งแกร่งดุจภูเขาไท่ซานที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ใช้มือค้ำยันพื้นลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องเห็นนางซวนเซก็รีบเข้ามาช่วยพยุง
แบบนี้ถือว่าเขาไม่เกลียดนางใช่รึเปล่า นางไม่สามารถมองทะลุสีหน้าเย็นชานั่นได้เลย
ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในโลกนี้นี่เป็นครั้งแรกที่นางพบเจอกับคนที่ไม่อาจมองทะลุอารมณ์ความรู้สึกข้างใน สัมผัสได้แค่ความเย็นเยียบและกลิ่นคาวโลหิต บุคคลเช่นนี้ไม่อาจตอแยได้เด็ดขาด
โชคดีที่เขาเป็นท่านปู่ของนาง ถ้าเป็นศัตรูล่ะก็…
เกรงว่าจะไม่มีโอกาสวางแผนโจมตีกลับด้วยซ้ำ
นิยายเรื่องลำนำลิขิตรักเริ่มบทแรกด้วยฉากกลับเมืองหลวงของนางเอก แต่เจิ้นกั๋วกงในตอนนั้นคือเกาฮั่วไม่ใช่แม่ทัพไร้พ่ายอย่างท่านปู่ที่นางเดาทางไม่ออก คาดว่านายท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่ดูข่มขวัญน่าจะสิ้นบุญไปก่อนเกาฮั่วจึงสืบทอดบรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกงแทน
นางเอกในนิยายไม่ใช่คุณหนูสามที่ถูกเจินซื่อและเกาเฟยหรูรังแก อย่าได้เข้าใจผิด ตอนเปิดเรื่องเกาเฟยเยี่ยนเป็นนางร้ายที่มีไทเฮาหนุนหลัง เพราะความอิจฉาริษยาจึงวางแผนทำให้พี่สาวต่างมารดาอย่างเกาฮุ่ยเหนียงขายหน้าในงานเลี้ยง โชคดีที่มีบุรุษรูปงามมากความสามารถอย่างคุณชายรองสกุลหยวนและซื่อจื่อจวนหย่งชางโหวช่วยให้เกาฮุ่ยเหนียงหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้าย พี่ชายทั้งสองคนอย่างเกาลู่ชางและเกาลู่ซีก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขามองเห็นธาตุแท้ของน้องสาวที่คลานตามกันมาอย่างเกาเฟยเยี่ยนออก นางร้ายจึงถูกบิดามารดาลงโทษตามกฎระเบียบจวน ความเกลียดชังที่มีต่อเกาฮุ่ยเหนียงจึงกระพือโหมขึ้นไปอีก จากที่เคยกลั่นแกล้งเล็กน้อยก็ค่อย ๆ ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แม้แต่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดยังทนมองหน้านางไม่ได้
น่าเสียดายที่นางยังอ่านนิยายเรื่องนี้ไม่จบเลยไม่รู้ว่าจุดจบของนางร้ายเป็นยังไง
แต่นางมีคำพูดมากมายอันแน่นในใจ อยากถามนักเขียนเหลือเกินว่า
นางร้ายมีชะตาชีวิตรันทดแบบนี้ทำไมไม่อธิบายตั้งแต่ต้นเล่า ปีแรกตอนที่ยังไม่ถูกทิ้งนางยังหลงดีใจคิดว่าได้มาอยู่ในร่างนางร้ายที่มีแต่คนรัก เก้าปีที่ผ่านมานับว่าเปิดหูเปิดตาแล้วจริง ๆ
เกาเฟยเยี่ยนทอดถอนใจ นางร้ายเองก็เคยลำบากมาก่อนเหมือนกัน มิน่าถึงได้อิจฉาริษยานางเอกขนาดนั้น ที่แท้ก็เกิดจากความโกรธแค้นและน้อยใจในช่วงวัยเด็กนี่เอง
ตอนที่2
ถึงแม้เข่าจะบวมช้ำแต่เกาเฟยเยี่ยนก็ยังเดินไปคารวะเช้าที่เรือนตะวันออกเหมือนเช่นทุกวัน
เจ้าของเรือนอย่างฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าอึมครึมไม่ต่างจากเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้าอยู่ข้างนอก บ่าวรับใช้ในเรือนระแวดระวังเหมือนอีกไม่นานจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น
สมาชิกของบ้านรองอย่างเกาเฟยหรูยังคงแสดงท่าทีอวดดีเหมือนเดิม ต่างจากเจินซื่อที่หวาดกลัวจนนั่งไม่ติดที่
ดูท่าท่านปู่ที่หายตัวไปรบนับสิบปีจะมีอานุภาพข่มขวัญอย่างยิ่ง เกาเฟยเยี่ยนเองก็ไม่คิดจะกระตุกหนวดเสือ รักษาท่าทางเรียบร้อยเชื่อฟังไม่รื้อฟื้นเรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งขึ้นมาพูดเนื่องจากยังเดาทิศทางลมไม่ออก
ความสงบนี้ดำรงอยู่จนถึงตอนเย็น เมื่อเจิ้นกั๋วกงกลับถึงจวนเขาก็ส่งคนมาเรียกนางไปที่ห้องรับรองของเรือนตะวันออก
เจิ้นกั๋วกงกับฮูหยินผู้เฒ่านั่งตรงตำแหน่งประธาน เจินซื่อนั่งฝั่งเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่า เกาเฟยเยี่ยนคารวะทุกคนในห้องรอบหนึ่งจากนั้นค่อยเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทางฝั่งเจิ้นกั๋วกง
“เมื่อคืนข้ากลับมาเจอเยี่ยนเจียเอ๋อร์คุกเข่าในศาลบรรพชน” เจิ้นกั๋วกงพุ่งเป้าไปที่เจินซื่อ “สอบถามได้ความว่านางขโมยปิ่นปักผมของหรูเจียเอ๋อร์”
เจินซื่อลุกขึ้นยืนตอบคำถาม “ท่านพ่อ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงเจ้าค่ะ หรูเจียเอ๋อร์แจ้งว่าปิ่นของเยี่ยนเจียเอ๋อร์เหมือนปิ่นที่ท่านน้าของนางมอบให้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ข้าไม่อยากให้คุณหนูสามถูกปรักปรำจึงค้นเรือนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้นาง ลูกสะใภ้เองไม่คิดว่าจะค้นเจอปิ่นของหรูเจียเอ๋อร์เข้าจริง ๆ”
เจิ้นกั๋วกงมองเกาเฟยเยี่ยน “เจ้ามีสิ่งใดอยากพูดหรือไม่”
เกาเฟยเยี่ยนลุกขึ้นทำความเคารพผู้อาวุโสทั้งหมดอีกครั้ง “ท่านปู่ ปิ่นหยกถึงแม้จะล้ำค่าเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถเทียบกับชื่อเสียงได้ ข้าชี้แจงอาสะใภ้รองแล้วว่าอาจมีสาวใช้เก็บปิ่นของพี่หญิงใหญ่ได้และเกิดความละโมบไม่ยอมนำไปคืน เมื่อเห็นพี่หญิงใหญ่โวยวายขึ้นมาจึงคิดแผนชั่วอย่างการนำมาวางไว้ใต้หมอนของข้า”
เจิ้นกั๋วกงสอบถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “หรูเจียเอ๋อร์เห็นเจ้าปักปิ่นดอกอวี้หลัน เจ้าจะแก้ตัวว่าอย่างไร”
“ปิ่นหยกดอกอวี้หลันข้ามีทั้งหมดสามอัน พี่หญิงใหญ่อาจจะมองผิดก็ได้เจ้าค่ะ” เกาเฟยเยี่ยนสบตากับเจินซื่อ “หรือไม่ก็อาจจะเป็นตัวพี่หญิงใหญ่เองที่ทำหายในเรือนข้า ทุกครั้งที่ข้าออกไปไหว้พระสวดมนต์ข้างนอกนางมักจะมาที่เรือนของข้าเสมอ เครื่องประดับของข้าถูกนางรื้อค้นเอาไปไม่น้อย นางเคยพูดว่าของของข้าก็เหมือนของของนาง บางทีตอนนางเห็นข้าปักปิ่นดอกอวี้หลันด้วยความสับสนจึงจำผิดคิดว่าเป็นของตัวเอง”
“คุณหนูสามคิดจะใส่ร้ายหรูเจียเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ” เจินซื่อดวงตาวาวโรจน์
“เครื่องประดับของน้องสาวหยิบฉวยตามอำเภอใจ เครื่องประดับของตัวเองหายไปชิ้นเดียวก็โวยวายจนเป็นเรื่องใหญ่” ดวงตาของเจิ้นกั๋วกงเจือกลิ่นอายสังหาร “หลานสาวสายตรงในจวนมีแค่สองคน คนหนึ่งถูกเจ้าตามใจจนไม่เห็นหัวผู้ใด อีกคนถูกเจ้าทำลายชื่อเสียงเพราะปิ่นราคาไม่กี่สิบตำลึง เจินซื่อ เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถทำลายชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นรึ”
“ท่านพ่อ ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น ข้าแค่อยากคืนความเป็นธรรมให้หรูเจียเอ๋อร์ถึงได้…” เจินซื่อคุกเข่าเนื้อตัวสั่นเทา “สาวใช้ของคุณหนูสามบอกว่าคุณหนูสามขโมยปิ่นของหรูเจียเอ๋อร์และซ่อนไว้ในเรือน ถ้าไม่มีพยานหลักฐานมัดตัวข้าจะกล้าลงโทษคุณหนูสามได้อย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเบือนหน้าหนี ไม่เอ่ยปากช่วยเจินซื่อเหมือนที่แล้วมา
“สาวใช้ในเรือนคุณหนูสามไม่เคารพผู้เป็นนาย ลดขั้นเป็นสาวใช้ขั้นต่ำไม่อนุญาตให้กลับมาปรนนิบัติคุณหนูสามอีก ส่วนสาวใช้ที่ยืนยันเสียงแข็งว่าเยี่ยนเจียเอ๋อร์ขโมยกำหนดโทษโบยยี่สิบไม้และขายออกไปทันที” เจิ้นกั๋วกงปรายตามองเจินซื่อ “คุณหนูทั้งสองสมควรแยกเรือนออกมาได้แล้ว วันพรุ่งนี้ให้พวกนางเลือกเรือนพักที่ยังว่างอยู่ สาวใช้ที่จะปรนนิบัติในเรือนให้พวกนางเลือกเอง”
เจินซื่อก้มหน้ารับคำ “ข้าจะจัดการตามที่ท่านพ่อรับสั่งเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อข้ากลับมารับตำแหน่งที่เมืองหลวงแล้วเรื่องการเรียนของเด็ก ๆ ก็ไม่อาจตามใจให้พวกนางเล่นสนุกเหมือนเมื่อก่อน” เจิ้นกั๋วกงเหลือบมองภรรยา ต่อให้โมโหที่นางปล่อยปละละเลยหลานสาวทั้งสองจนมีสภาพเช่นนี้ก็ไม่คิดหักหน้ากล่าววาจารุนแรงต่อหน้าเด็กรุ่นหลัง “ข้าจะส่งพวกนางไปเรียนที่สำนักศึกษาของสกุลเกา คุณหนูทั้งสองร่วมรับฟังอาจารย์สอนตำราช่วงเช้า พอถึงยามบ่ายให้พวกนางเข้ารับการอบรมจากหมัวมัวที่ฮองเฮาส่งมา”
“เช่นนั้นธรรมเนียมคารวะเช้าก็งดเว้นไปเถอะ วันใดหยุดเรียนค่อยให้พวกนางมาคารวะ จะได้ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป” ฮูหยินผู้เฒ่าแทรกขึ้นมาอย่างพอเหมาะพอดี
เจินซื่อท้วงเสียงเบา “ร่วมเรียนกับญาติห่าง ๆ จะกระทบกับชื่อเสียงของคุณหนูทั้งสองหรือไม่” สำนักศึกษาสกุลเกาที่เจิ้นกั๋วกงจัดตั้งมีเด็กร่ำเรียนอยู่ไม่น้อย ญาติสกุลเกาพวกนั้นบางสายก็ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีความสามารถอันใด เปิดโอกาสเช่นนี้ถ้ามีคนคิดร้ายฉวยโอกาสตีสนิทกับบุตรสาวของนางเพื่อผลประโยชน์เล่า
“ข้าส่งจดหมายเรียกตัวชางเกอเอ๋อร์ตั้งแต่ได้รับราชโองการกลับเมืองหลวง อีกไม่เกินครึ่งเดือนเขาน่าจะมาถึงพอดี” เจิ้นกั๋วกงคิดอ่านรอบคอบ เดิมทีที่อนุญาตให้หลานชายติดตามบุตรชายคนโตกับลูกสะใภ้เพราะคิดว่าเทียบกับโตในจวนที่เต็มไปด้วยสตรีและถูกประคบประหงมจนเสียคนไม่สู้ปล่อยให้เขาเผชิญความลำบากสักหน่อยจะดีกว่า แต่ในเมื่อตอนนี้เขากลับมาแล้วจะให้หลานชายคนโตอยู่ชายแดนต่อไปก็ใช่ที่
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าทราบข่าวนี้แล้วจึงทำเพียงอมยิ้ม ดวงตาของนางอ่อนโยนลงสี่ส่วนเมื่อนึกถึงหลานชายที่เติบโตในสถานที่ห่างไกล เทียบไปแล้วยังดูจริงใจและเปี่ยมไปด้วยความรักมากกว่าที่มอบให้เกาเฟยหรูด้วยซ้ำ
เกาเฟยเยี่ยนหลุบตามองฝ่ามือบนตัก นางไม่สามารถสัมผัสความรักของท่านปู่ที่มีต่อหลานสาวจากเจิ้นกั๋วกงสักกระผีก วิธีการพูดของเขาเหมือนต้องการจะสื่อว่านางและเกาเฟยหรูเป็นเครื่องมือชั้นยอดในการรักษาความรุ่งเรืองของตระกูล เมื่อครู่จึงด่าเจินซื่อว่าหมากชั้นดีที่ชื่อว่าบุตรสาวสายตรงจะปล่อยให้สูญเสียชื่อเสียงและโง่เง่าจนทำตระกูลล่มจมไม่ได้เด็ดขาด วันหน้าอย่าคิดยื่นมือเข้ามาสั่งสอนนางและเกาเฟยหรูอีก
ระหว่างความห่างเหินเย็นชาที่ได้รับจากฮูหยินผู้เฒ่ากับสายตาประเมินคุณค่าจากเจิ้นกั๋วกง ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงหวาดกลัวสายตาแบบหลังมากกว่า
เกาเฟยเยี่ยนลอบถอนหายใจ จวนเจิ้นกั๋วกงมีอำนาจบารมีถึงขั้นเทียบเคียงเชื้อพระวงศ์สกุลเซียวได้น่าจะเป็นเพราะเจิ้นกั๋วกงคนนี้นี่เอง
เพราะเขากลับมาสถานะของนางจึงสูงขึ้น ในจวนหลังนี้ไม่มีใครกล้ารังแกนางตามอำเภอใจอีกแล้ว
แต่สิ่งที่ต้องแลกกลับไปก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ผู้คนชอบพูดอยู่เสมอว่าได้รับบางอย่างมาก็ต้องสูญเสียบางสิ่งไป สวรรค์เบื้องบนช่างเต็มไปด้วยความยุติธรรมเหลือเกิน
ตอนที่3
เกาเฟยเยี่ยนได้ยินเสียงซุบซิบนินทาดังมาตามสายลมว่าช่วงเย็นของเมื่อวานเกาเฟยหรูปะทะเข้ากับเจิ้นกั๋วกงตรงทางเดิน สองปู่หลานสนทนาเรื่องใดก็ไม่ทราบ ทุกคนรู้แค่ว่าเกาเฟยหรูวิ่งน้ำตานองหน้าออกจากจุดเกิดเหตุ
มิน่า นางเองก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดตอนสอบถามและชี้แจงเรื่องราวในเรือนตะวันออกถึงไม่เห็นเงาคุณหนูใหญ่ท่านนั้น ที่แท้คำพูดว่าไม่เห็นหัวผู้ใดของเจิ้นกั๋วกงก็มีที่มาที่ไปอย่างนี้เอง
ย่างเข้ายามซื่อ [1] เจินซื่อพานางกับเกาเฟยหรูเดินดูเรือนว่างในจวน
ดวงตาบวมโตและแดงช้ำของเกาเฟยหรูดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง เด็กสาวมีท่าทางไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โวยวายหรือกล่าววาจาไม่น่าฟังตามแรงอารมณ์เหมือนเมื่อก่อน ออกจะหวาดกลัวด้วยซ้ำ
เกาเฟยหรูเลือกเรือนขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากสวนดอกกล้วยไม้ของฮูหยินผู้เฒ่า เกาเฟยเยี่ยนเลือกเรือนที่อยู่คนละฝั่งกับเกาเฟยหรู เป็นเรือนขนาดกลางล้อมรอบด้วยป่าไผ่ มีระยะห่างจากเรือนอื่นค่อนข้างมาก ถึงแม้ตอนไปคารวะเช้าจะต้องเดินไกลสักหน่อยแต่มีดีตรงที่ไม่ถูกผู้อื่นรบกวนได้ง่าย
ถัดจากนั้นก็เป็นการเลือกสาวใช้ เจินซื่อไม่กล้าขัดคำสั่งของพ่อสามี ให้คุณหนูทั้งสองสอบถามสาวใช้ที่ยืนเรียงแถวคนละหนึ่งรอบจากนั้นให้พวกนางผลัดกันเลือกคนจนครบ
สาวใช้เก่าของเกาเฟยเยี่ยนถูกเจิ้นกั๋วกงล้างไพ่ทิ้งหมด จำนวนคนที่นางต้องเลือกจึงมากกว่าเกาเฟยหรูถึงสองเท่า ในจำนวนคนที่นางเลือกมีทั้งสาวใช้เดิมในจวนเจิ้นกั๋วกงและสาวใช้ที่นายหน้าจัดหามา
นางจริงจังกับการเลือกคนมาก กว่าจะเลือกเสร็จดวงอาทิตย์ก็แขวนอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว นางลอบสังเกตเจินซื่อ ดวงตาของอีกฝ่ายเจือความหงุดหงิดแต่ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม ดูเมตตาราวกับนางเป็นบุตรสาวอีกคน
เกาเฟยเยี่ยนลอบขบขันในใจ “ข้าคร่ำเคร่งจนลืมเวลา ทำให้อาสะใภ้รองรอนานจนคอแห้งแล้วกระมัง ข้ารินน้ำชาให้ท่านเจ้าค่ะ”
เจินซื่อฝืนกลืนคำด่าลงท้อง ยิ้มรับน้ำชาจากเกาเฟยเยี่ยน “เลือกคนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียด ข้าไม่ถือสาเรื่องเวลาหรอก”
เกาเฟยหรูเบ้ปาก ทำท่าจะสอดขึ้นมาแต่ถูกมารดาส่งสายตาปรามเข้าเสียก่อน
นึกถึงท่านปู่ที่น่ากลัวคนนั้นแล้วคุณหนูใหญ่ผู้เอาแต่ใจก็ห่อไหล่กลืนคำพูดเดิมกลับไป “ท่านแม่พูดถูก คนของน้องหญิงสามถูกไล่ออกทั้งหมด เจ้าใช้เวลาเลือกนานเป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
เกาเฟยเยี่ยนส่งยิ้มให้ศัตรูที่รบรากันมานาน ที่ผ่านมาคุณหนูใหญ่ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ไม่เคยเห็นหัวใครนอกจากเจินซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่า แต่หลังจากเผชิญหน้ากับเจิ้นกั๋วกงและรู้ว่าวันคืนที่เหลือไม่อาจใช้นิสัยเดิมได้อีกแล้วเด็กสาวก็รู้จักฝืนกลั้นอารมณ์สงบปากสงบคำ นับว่าเป็นคนรู้จักอ่านสถานการณ์คนหนึ่ง “ขอบคุณพี่สาวที่เข้าใจ”
“ท่านย่าของพวกเจ้าอนุญาตให้เลือกของในคลังตกแต่งเรือนได้ตามใจชอบ ทว่าต้องอยู่ในงบประมาณที่กำหนดเอาไว้ เรือนพวกนี้ข้าจะสั่งให้คนเก็บกวาดภายในสองวัน หลังปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อยแล้วพวกเจ้าก็เข้ามาดูว่าอยากประดับตกแต่งแบบไหน” เจินซื่อคิดแล้วคิดอีกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้เด็กทั้งสองเลือกของประดับตกแต่งเรือนเองด้วย
คำสั่งพิลึกพวกนี้ถึงฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นคนพูดแต่คนต้นคิดย่อมเป็นเจิ้นกั๋วกงอย่างไม่ต้องสงสัย
“หรูเอ๋อร์ จินมามาจะเป็นคนดูแลเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากเลือกสิ่งใดมาประดับตกแต่งก็บอกนาง” เจินซื่อหันไปหาเกาเฟยเยี่ยน “คุณหนูสาม ฝูมามาจะคอยรับใช้เจ้า เจ้าเองก็ทำเหมือนหรูเอ๋อร์ อยากเลือกสิ่งใดประดับตกแต่งเรือนก็บอกฝูมามา นางจะจดบันทึกและคำนวณงบประมาณให้”
เกาเฟยเยี่ยนพยักหน้า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” แค่เรื่องย้ายเรือนของหลานสาวก็วางแผนการมากมายเพียงเพราะอยากดูนิสัยใจคอและการตัดสินใจของพวกนาง
สมกับเป็นจิ้งจอกเฒ่าจริง ๆ
[1] 09.00 น.
ความเห็น 0