โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ทะลุมิติไปเป็นสาวชาวนาผู้มั่งคั่งกับซาลาเปาตัวน้อยๆ

นิยาย Dek-D

อัพเดต 24 เม.ย. เวลา 07.00 น. • เผยแพร่ 24 เม.ย. เวลา 07.00 น. • Kawebook
ทะลุมิติไปเป็นสาวชาวนาผู้มั่งคั่งกับซาลาเปาตัวน้อยๆ
จากหมอหญิงที่จับมีดผ่าตัด สู่การเป็นภรรยาบ้านนาสุดอาภัพ! พร้อมแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ สามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายตัวน้อย จนกว่าสามีจะหาย พวกเราจะได้กลายมาเป็นครอบครัวสุขสันต์!

ข้อมูลเบื้องต้น

เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ:Beijing xiron digital-publishing alliance information techn

ประพันธ์โดย:林锦

ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย:Glory ForeverPublic Company Limited

บรรณาธิการ:ไพสิฐ ต่วนขำ

แปลและเรียบเรียงโดย:รีฮานาห์ กอแต

พิสูจน์อักษร:สิริลักษณ์ รัศมีวิทยาภรณ์

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! เมื่อนักศึกษาแพทย์ทะลุมิติมาเป็น ‘เจ้าสาวจำเป็น’

ในยุคจีนโบราณอันแสนกันดาร ท่ามกลางชนบทสุดอาภัพ!

ครานี้ จักต้องใช้ชีวิตเป็น “หลินกู๋หยู่”ในฐานะ ‘ภรรยา’ ของชายดื้อดึงที่ป่วยติดเตียง

พ่วงด้วยการเป็น ‘แม่เลี้ยง’ให้กับลูกติดตัวน้อยๆ ของสามี

แม้รู้ทั้งรู้ การแต่งงานนี้คือแผนการ หลอกให้นางแบกรับภาระแต่เพียงผู้เดียว

ครั้นจะทิ้งแล้วหนีไปให้ไกล ก็อดนึกถึงแววตาที่น่าสงสารของสองพ่อลูกเสียไม่ได้

ไหนๆ ก็ร่ำเรียนศาสตร์การแพทย์มาอย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งแนวคิดวิทยาการล้ำยุค

เอามาใช้ดูแลสามี (ปลอมๆ) คงไม่เสียหายอะไรนัก

เพราะยังไงซะ โอกาสที่โรคร้ายจะหายไปนั้นอยู่เพียงเอื้อม..

พร้อมกับที่สายสัมพันธ์แห่งความใกล้ชิดได้ก่อตัวขึ้นในหัวใจอย่างมิอาจหลบเลี่ยง

เจ้าซาลาเปาน้อยจะได้สบาย.. พวกเราอาจกลายเป็นครอบครัวสุขสันต์..

เมื่อคิดเช่นนี้ ชีวิตก็ต้องสู้!! กับบทชีวิตอันแสนหนักหนาในฐานะคุณแม่ลูกหนึ่ง!


Kawebook พร้อมเสริฟนิยายสนุก ๆ อีกมากมาย
จะสายมันส์ สายหวาน ก็มีอีกเพียบ!
อัพเดตเร็วดี ตอนฟรีมากกว่า

แต่งงานแทน

กำแพงลานบ้านสร้างจากหินและดินเหนียวสูงเพียงสามฉื่อ สภาพทั้งเก่าและทรุดโทรม เมื่อลมพัดมา วัชพืชสองสามต้นบนกำแพงพลอยแกว่งไกวไปตามแรงลม

แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางระแนงหน้าต่างเก่าสภาพโทรม เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับห้องหับที่มืดมนแห่งนี้อยู่หลายส่วน

เสียงทะเลาะโหวกเหวกโวยวาย เจือด้วยเสียงร้องไห้เสียดแทงทรวงในดังมาจากระยะใกล้และไกล หลินหรูซือรู้สึกปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด

“ขอร้องละ พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย!”

“หลีกไป ถ้าไม่มีคนพี่ แต่งงานกับคนน้องก็ไม่ต่างกัน!”

“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเอาตัวลูกสาวของข้าไป ไม่!”

หลินหรูซือรู้สึกว่าตนเองถูกกอดแน่น หยดเหงื่ออุ่นๆ อาบลงบนใบหน้าของนางทีละหยด

“อย่าเอาตัวพี่สาวของข้าไป อย่า!”

เสียงทะเลาะโหวกเหวกโวยวายเจือด้วยเสียงร้องไห้ดังขึ้นอื้ออึง

มีทั้งเสียงของบุรุษ สตรีและเด็ก

เสียงฆ้องและกลองดังก้องสนั่นฟ้า

ด้วยเสียงดังของผู้คน รวมถึงเสียงของเครื่องดนตรีเหล่านั้นดังสาละวนปะปนรวมกันทำให้เด็กสาวรู้สึกปวดศีรษะ

ทั้งแขนและขาถูกดึงอย่างตามอำเภอใจ ราวกับว่าร่างกายของนางกำลังจะถูกแยกออกเป็นชิ้นๆอย่างไรอย่างนั้น หลินหรูซือถึงกับขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้นดูเหมือนนางจะถูกใครบางคนอุ้มขึ้น ความเจ็บปวดของร่างกายค่อยๆ หายไป และดูเหมือนตัวนางจะอยู่กลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น

ชายผู้นั้นอุ้มเด็กสาวด้วยความว่องไวพลางเดินไปยังห้องด้านข้าง พร้อมเรียกคนแถวนั้น "ยังไม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางอีก!"

เสียงนั้นดังอื้ออึง ดังเสียจนแก้วหูของหลินหรูซือคล้ายกับว่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

ราวกับมีมือมากมายสัมผัสที่ร่างกายของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิ้วของหลินหรูซือขมวดแน่นมากขึ้น

นางเกลียดคนแตะต้องตัวนางที่สุด

หลังจากนั้นไม่นาน รอบด้านก็เงียบสงบลง

นิ้วมือของหลินหรูซือขยับเล็กน้อย และค่อยๆ ลืมตาขึ้น

นัยน์ตาของนางจับจ้องมุ้งสีดำ ซึ่งเต็มไปด้วยใยแมงมุมด้วยสายตาเลื่อนลอย ร่างของนางนอนราบอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ริมฝีปากเปิดเล็กน้อย ลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเบาๆ เนื่องจากกระหายน้ำ รสคาวเจือหวานแผ่ซ่านในปาก

นางอยู่ที่ไหนกัน

ทันใดนั้นก็มีสตรีสวมชุดสีแดงเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู สตรีนางนั้นรูปร่างอวบอ้วน พวงแก้มทั้งสองข้างของนางแดงมากเป็นพิเศษ บนศีรษะประดับด้วยดอกไม้สีแดงสด ราวกับว่านางจะมาแสดงละครเพลงโอเปร่าอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อแม่สื่อเห็นว่าหลินหรูซือตื่นแล้ว นางก็หมุนตัวหันกลับไปและแผดเสียงตะโกนบอกคนด้านนอกห้อง "เจ้าสาวตื่นแล้ว ทำไมพวกเจ้ายังไม่รีบเข้ามาอีก"

เจ้าสาวเหรอ?

พูดถึงใครกัน?

พูดถึงนางงั้นเหรอ?

หลินกู๋หยู่มองไปที่แม่สื่อตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ นางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งช้าๆ ก่อนจะลดศีรษะลงมองตนเองซึ่งอยู่ในชุดแต่งงานสีแดง สมองของนางยังคงอยู่ในสภาพปิดตายไม่ทำงานใดๆ

ให้ตายเถอะ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางมาที่นี่ได้ยังไง?

นางเป็นนักศึกษาแพทย์ เดิมทีนางไปว่ายน้ำริมทะเลกับเพื่อนร่วมห้อง แต่แล้วก็รู้สึกว่าขาเป็นตะคริวและจมลง หลังจากนั้นนางก็ไม่รู้อะไรอีกเลย

หรือนางอาจจะกำลังฝันอยู่?

ถ้าเกิดหลับไปแล้ว ตื่นอีกครั้ง ทุกอย่างก็เป็นเพียงความฝันเท่านั้นแหละ

แม่สื่อหรี่ตา พร้อมบิดร่างอ้วนๆ เดินเข้ามายังตรงหน้าหลินหรูซือ พูดอย่างประจบประแจงว่า "เจ้าสาว ตื่นแล้วรึ?"

หลินหรูซือแสร้งทำเป็นสงบนิ่งมองดูแม่สื่อที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางรู้สึกปั่นป่วนใจ

"เจ้าก็นะ ถ้าแต่งเข้าบ้านสกุลฉือไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าแล้ว ยังมีอะไรที่เจ้ายังคิดไม่ตกอีกหรือ?" แม่สื่อพูดพร้อมก้าวเท้าไปข้างหน้าและแหวกปอยผมของหลินหรูซือขึ้นจากหน้าผาก

เมื่อเห็นรอยแดงขนาดใหญ่บนหน้าผากของนาง แม่สื่อขมวดคิ้วแน่น เปล่งเสียงจุ๊ๆ "เจ้านี้ก็ช่างคิดไม่ตกจริงๆ ถ้าเจ้ายินยอมที่จะแต่งงานแต่โดยดีเสียตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีปัญหามากมายขนาดนี้"

ความทรงจำมากมายเหล่านั้นทะลักออกมาอย่างท่วมท้นในทันที

สาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มจากหลินลี่เซี่ย ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวของหลินกู๋หยู่

หลินลี่เซี่ย พี่สาวของหลินกู๋หยู่เป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยงดงามและขยันขันแข็งที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งตามหลักของเหตุผลแล้ว เหล่าบุรุษล้วนอยากแต่งงานกับสตรีเช่นนี้ อยากให้นางมาเป็นภรรยา

แต่อนิจจัง สกุลหลินนั้นมีฐานะยากจนเกินไปจริงๆ

จ้าวซื่อเลี้ยงลูกสามคนด้วยตัวคนเดียว ได้แก่ หลินลี่เซี่ย หลินกู๋หยู่ และหลินเสี่ยวหานคนสุดท้อง

เดิมทีพื้นเพสกุลหลินนั้นไม่แย่ เมื่อห้าปีก่อน หลินชานบิดาของหลินกู๋หยู่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ท่านย่าของนางเห็นว่าจำนวนคนในครอบครัวของหลินกู๋หยู่มีหลายคน แต่มีเพียงจ้าวซื่อคนเดียวที่สามารถทำงานได้ ด้วยสาเหตุนี้ท่านย่าของหลินกู๋หยู่จึงหาเรื่องทะเลาะ บังคับให้ครอบครัวของหลินกู๋หยู่แยกบ้านออกจากวงศ์สกุลหลิน

เมื่อสองปีที่แล้วหลินลี่เซี่ยได้เข้าพิธีปักปิ่น แม้ว่าชายหนุ่มเกือบครึ่งหนึ่งในหมู่บ้านจะชื่นชอบหลินลี่เซี่ย แต่กระนั้นก็ไม่มีใครมาขอนางแต่งงาน

สำหรับที่นี่ การที่ผู้ชายจะแต่งภรรยาเข้าบ้าน อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังคงให้ความสำคัญกับฐานะและสินสอดทองหมั้นของฝ่ายหญิง

หากสินสอดทองหมั้นของฝ่ายหญิงมากหน่อย การแต่งงานเข้าบ้านฝ่ายชายย่อมมีเกียรติมากกว่า แต่ถ้าสินสอดทองหมั้นน้อยก็ไม่ค่อยมีคนอยากจะแต่งงานด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครอยากเลี้ยงปากท้องคนเพิ่มอีกคน

เมื่อสองเดือนก่อน ฉืออู่หลางจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาสู่ขอแต่งงาน และคนที่ฉืออู่หลางมาสู่ขอคือหลินลี่เซี่ย ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวของหลินกู๋หยู่

ได้ยินมาว่าอู่หลางสกุลฉือเป็นคนดี ไม่นานมานี้เขาเลิกกับภรรยาคนก่อน ไม่ใช่เพราะสาเหตุใดอื่น แต่เป็นเพราะหลังจากภรรยาคลอดบุตร นางก็ไม่พอใจแม่สามี ถึงขั้นใช้กำลังทุบตีแม่สามีของตน

ทางด้านแม่สามีก็ไม่ใช่คนธรรมดา นางมักจะหาเรื่องทะเลาะและเป็นคนไม่ยอมใครเช่นกัน ทะเลาะกันไปมาจนเพื่อนบ้านต่างรู้ไปทั่ว

คนบ้านสกุลฉือจะทนลูกสะใภ้ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร

ด้วยสาเหตุนี้ ฉืออู่หลางได้รับคำแนะนำและโน้มน้าวจากคนจำนวนมาก เขาจึงหย่ากับภรรยาป่าเถื่อนผู้นั้น

สกุลฉือเป็นครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวย ทว่าฉือหาง ฉืออู่หลางของสกุลฉือเคยแต่งงานมาก่อนแล้ว นอกจากนี้เขายังมีลูกที่ต้องเลี้ยงอีกหนึ่งคน หากเขายังต้องการแต่งงานกับหญิงสาวบริสุทธิ์อีกครั้ง ทางฝ่ายเจ้าสาวย่อมเรียกสินสอดทองหมั้นจำนวนมากอย่างแน่นอน

แต่หากแต่งงานกับหญิงม่าย ย่อมรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีบางอย่างผิดปกติไม่มากก็น้อย

โจวซื่อผู้เป็นมารดาของฉืออู่หลางคิดพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเวลานาน ก่อนที่จะตัดสินใจสั่งให้คนไปที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อสอบถาม

ใช่แล้ว นางพบว่าหลินลี่เซี่ยเหมาะสมที่จะแต่งงานกับบุตรชายของตน

หลินลี่เซี่ยเป็นสตรีที่ดีมีคุณธรรมอีกทั้งหน้าตาสะสวย เพียงแต่อายุของนางมากกว่าเล็กน้อย หากเทียบกับบรรทัดฐานด้านอายุที่เหมาะสมของหญิงสาวออกเรือนในยุคนั้น

โจวซื่อสอบถามอย่างชัดเจนแล้ว ได้ความมาว่าสาเหตุที่หลินลี่เซี่ยยังไม่ได้ออกเรือนเสียที นั่นเป็นเพราะฐานะทางบ้านของนางยากจน

โจวซื่อจึงตัดสินใจรวบรวมสินสอดทองหมั้น โดยยึดตามจำนวนสินสอดที่ใช้แต่งงานกับฝ่ายหญิงจากครอบครัวธรรมดาในการสู่ขอหลินลี่เซี่ย สกุลหลินย่อมไม่มีการคัดค้านใดๆ เป็นแน่

เช่นนั้นสกุลหลินนอกจากจะมีเกียรติแล้ว ลูกชายของนางก็มีเกียรติด้วยเช่นกัน

การแต่งงานจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้

หลินลี่เซี่ยได้พบกับอู่หลางหลายครั้ง และนางก็พอใจในตัวอู่หลางมาก

หลังจากหมั้นหมายแล้ว อู่หลางมักจะนำเนื้อสัตว์บางส่วนที่เขาล่ามาได้ มาแบ่งปันให้ครอบครัวของพวกนางเป็นครั้งคราว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สกุลหลินได้มีโอกาสกินอาหารมื้ออร่อยบ้าง

เดิมทีนี่เป็นการแต่งงานที่สวยงาม แต่เมื่อเดือนก่อนอู่หลางออกไปล่าสัตว์บนภูเขา ทว่าขากลับ เขาถูกหามกลับมาในสภาพที่โชกไปด้วยเลือด

หมอชาวบ้านไปดูอาการมาแล้ว บอกว่าอู่หลางกำลังจะตาย ถึงมีชีวิตรอดก็จะต้องอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต

เมื่อหลินลี่เซี่ยได้ยินเรื่องนี้ นางก็ร้องไห้และปฏิเสธที่จะแต่งงานกับอู่หลาง

ลองคิดดูสิ ใครจะอยากดูแลผู้ชายที่เป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตกัน ซ้ำยังต้องเลี้ยงลูกให้ชายคนนั้นอีก?

อย่างไรก็ตาม สินสอดทองหมั้นก็รับไว้หมดแล้ว รอก็แต่วันแต่งงานมาถึง

ทางฝ่ายจ้าวซื่อซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่ของหลินกู๋หยู่ก็ไม่ต้องการให้ลูกสาวของนางต้องเป็นหญิงดูแลคนป่วยหลังจากแต่งงานเช่นกัน ดังนั้นนางจึงไปที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อหารือกับโจวซื่อเพื่อยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้

ไม่คาดคิดเลยว่า ครอบครัวฝ่ายเขยที่เดิมทีคุยง่าย จู่ๆ จะมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเสียอย่างนั้น

โจวซื่อร่ำไห้ ชี้นิ้วมือไปที่ปลายจมูกของจ้าวซื่อทั้งก่นด่าและสาปแช่ง สุดท้ายก็สบถถ้อยคำที่รุนแรงออกมา

อยากยกเลิกงานแต่งงาน ก็ได้! แต่ต้องคืนสินสอดทองหมั้นที่ให้ไว้เป็นสองเท่าตัว!

จ้าวซื่อก็โกรธมากเช่นกัน นางจึงไปหาผู้อาวุโสของสกุลฉือ เพราะท้ายที่สุดแล้วความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูก

ทางด้านโจวซื่อก็สุดฤทธิ์สุดเดชราวกับว่านางกำลังจะไม่เหลืออะไร นั่งร้องห่มร้องไห้บนพื้นพร้อมก่นด่าประหนึ่งแม่ค้าริมถนน ซ้ำร้ายยังข่มขู่ว่าจะฆ่าตัวตายอีกด้วย

ในเวลานั้น โจวซื่อได้ส่งเงินกว่าแปดตำลึงเป็นของขวัญหมั้น แม้ว่าจ้าวซื่อจะขายบ้านของครอบครัวหลิน นางก็ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น

นางต้องการขายที่ดิน แต่โฉนดที่ดินอยู่ในมือของแม่สามี ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับบ้านด้วยความเศร้าใจ และบอกกับหลินลี่เซี่ยทั้งน้ำตาให้รีบตัดชุดแต่งงานโดยเร็วที่สุด เตรียมตัวแต่งเข้าบ้านสกุลฉือในเดือนหน้า

วันนั้นหลินลี่เซี่ยร้องไห้จนดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ จะเป็นจะตายอย่างไรนางก็จะไม่ยอมแต่งงาน

แต่ใครจะคาดคิดว่าหลินลี่เซี่ยจะหนีไปอย่างเงียบๆ ในวันรุ่งขึ้น

วันแต่งงานกำลังจะมาถึงในอีกสิบวันข้างหน้า แต่เจ้าสาวกลับหายตัวไป ด้วยความสิ้นหวัง จ้าวซื่อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอร้องให้ญาติๆ ช่วยกันออกตามหาบุตรสาว เรื่องนี้หากสกุลฉือรู้เข้า จะต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่

หลังจากตามหาหลินลี่เซี่ยเป็นเวลาหลายวัน แต่กระนั้นก็ยังคงไม่พบตัว จ้าวซื่อกังวลอย่างมาก จึงขอร้องให้คนในหมู่บ้านช่วยกันตามหาหลินลี่เซี่ยอีกแรง

วันแต่งงานใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็ยังคงตามหาเจ้าสาวไม่เจอ สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไปถึงหูของสกุลฉือ

สมาชิกในครอบครัวสกุลฉือมาที่บ้านสกุลหลินหนึ่งวันก่อนถึงวันแต่งงาน และพบว่าหลินลี่เซี่ยได้หายตัวไปตามข่าวลือจริงๆ

ก่อนมาที่บ้านสกุลหลิน โจวซื่อได้ตัดสินใจแล้วว่า หากหลินลี่เซี่ยไม่อยู่ นางจะให้หลินกู๋หยู่แต่งงานเข้าบ้านแทน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครสามารถดูแลลูกชายของนางได้

หลังจากโจวซื่อพูดคุยกับจ้าวซื่อไม่มากนัก นางก็กลับไป

เดิมทีจ้าวซื่อคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงแล้ว แต่นางไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องนี้จะไม่มีวันจบสิ้น

ก่อนรุ่งสาง คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปที่บ้านทรุดโทรมที่กำลังจะพังอย่างมีเป้าหมาย ชายที่เป็นผู้นำดูดุร้าย จู่ๆ ประตูที่กำลังจะพังแหล่ไม่พังแหล่ถูกชายที่เป็นผู้นำเตะเปิดเข้ามา

หลินกู๋หยู่ที่กำลังหลับอยู่เป็นต้องเบิกตามองด้วยความสะลึมสะลือ เมื่อเงยหน้าขึ้น นางเห็นชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

“ท่านแม่!” หลินกู๋หยู่ตะโกนด้วยความตื่นตระหนก เอื้อมมือไปดึงผ้านวมขึ้น

เมื่อจ้าวซื่อเห็นคนเหล่านั้นมุ่งตรงเข้าไปในห้องของหลินกู๋หยู่ นางก็วิ่งไปที่ห้องของบุตรสาวทันที แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ทันได้สวม

หลินกู๋หยู่นั่งอยู่บนเตียงด้วยความตื่นตระหนก สายตามองชายผู้นั้นที่เดินเข้ามาอย่างอุกอาจ ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้

“ปล่อยให้แม่สื่อเข้าไป เจ้าออกมาเถอะ” โจวซื่อยืนอยู่อีกด้านหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ

ในระหว่างที่ชายคนนั้นเดินออกไป หลินกู๋หยู่รีบลุกจากเตียงและวิ่งออกไปข้างนอก นางพยายามซ่อนตัวด้วยการไปหาจ้าวซื่อ

ด้วยความตื่นตระหนกจึงไม่ได้สังเกตเห็นธรณีประตู นางล้มลงกับพื้น หน้าผากกระแทกกับหินบนพื้น และหมดสติลง

ความเจ็บปวดนั้นมาจากหน้าผากของนาง และหลินหรูซือก็กลับมามีสติอีกครั้ง

“เจ้าสาวควรแต่งตัวให้สวยงาม เช่นนี้จะได้ดูดีหน่อย” แม่สื่อพึมพำพลางถูแป้งและสิ่งที่คล้ายกันทั้งหมดบนใบหน้าของหลินหรูซือไปพลาง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ในห้องเต็มไปด้วยผู้คน แน่นขนัดเสียจนไม่มีที่ว่างเลยแม้แต่น้อย

วิญญาณของนางทะลุมิติมาที่นี่งั้นหรือ?

เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ หลินหรูซือก็ลดศีรษะลงและชำเลืองมองที่ข้อมือของตน ฝ่ามือของนางมีขนาดที่เล็กลง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ร่างเดิมของนาง

หลินหรูซือ ไม่สิ! ตอนนี้ควรเรียกนางว่าหลินกู๋หยู่

"เสร็จแล้ว" แม่สื่อพูดพลางหยิบผ้าคลุมศีรษะที่วางอยู่ด้านข้างมาคลุมให้หลินกู๋หยู่

ผ้าคลุมศีรษะไม่หนามาก ยังพอมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้รางๆ

เวลานี้แม้หลินกู๋หยู่อยากจะหนีมากเท่าไร อย่างไรก็ไม่สามารถหลบหนีได้

ไม่รู้ว่าบริเวณรอบบ้านมีคนยืนเฝ้าอยู่มากเท่าไร ในขณะที่ในห้องมีคนยืนเฝ้าดูตลอดเวลา ดังนั้นนางทำได้เพียงนั่งลงที่เดิมเงียบๆ

“ถึงเวลาแล้ว ได้เวลาเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว!”

แม่สื่อร้องเสียงแหลม ก่อนที่จะได้ยินเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของบานประตู ทันใดนั้นหลินกู๋หยู่เห็นคนสองคนเข้ามาจากด้านนอกอย่างเลือนราง

นางถูกสองคนนั้นพยุงตัวเดินออกไป

"กู๋หยู่… " เสียงสำลักสะอึกสะอื้นของจ้าวซื่อดังก้องเข้าหู

เดิมทีหลินกู๋หยู่ไม่อยากจะปริปากพูด แต่เมื่อคิดไตร่ตรองแล้ว นางเห็นว่าจ้าวซื่อเป็นคนที่น่าเวทนาคนหนึ่ง นางจึงพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า "ข้าไม่เป็นไร"

ในชนบท โดยปกติแล้วบ้านที่มีฐานะร่ำรวยมักจะใช้เกี้ยวหามเจ้าสาวกลับบ้าน บ้านที่มีฐานะธรรมดาทั่วไปจะใช้เกวียนลา ส่วนบ้านที่มีฐานะยากจนนั้นจะใช้วิธีเดินไปยังบ้านของฝ่ายชาย

ก่อนที่หลินกู๋หยู่จะทันได้ตอบสนอง เกวียนลาก็เริ่มขยับเคลื่อนไป หลินกู๋หยู่รีบจับแผงไม้เกวียนลาด้วยความตื่นตระหนก

เมื่อนางก้มศีรษะลงมอง แผงเกวียนเก่าทรุดโทรมนี้มีช่องว่างขนาดใหญ่ มือของนางสามารถลอดช่องและจับแผ่นไม้กระดานไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

เกวียนเคลื่อนไปอย่างโคลงเคลง บางเวลาก็กระตุก บางเวลาก็กระแทก ก้นของนางรู้สึกเจ็บปวดมาก ระหว่างนี้หลินกู๋หยู่กำลังคิดว่าให้นางเดินเท้าไปบ้านฝ่ายชายจะไม่ดีกว่าหรือ

แตรด้านนอกเป่าไม่หยุดไม่หย่อนเป็นท่วงทำนองที่รื่นเริงอย่างมาก

ทว่าในระหว่างนั้นนางได้ยินเสียงคนเดินข้างเกวียนพูดอย่างชัดแจ๋ว

“โชคร้ายจริงๆ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่พี่สาวของนางดันหนีงานแต่ง นางทำได้เพียงมาแต่งแทนพี่สาวของตัวเอง!”

“อย่าพูดถึงเลย โชคชะตาของเด็กสาวสองคนนี้ไม่ดีพอกัน เดิมทีถ้าชายคนนั้นไม่ไปล่าสัตว์บนภูเขาตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่สูญเสียชีวิตครึ่งหนึ่งเช่นนี้หรอก”

“ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของเขามีแผลพุพองขนาดใหญ่มาก หมอที่ไปดูอาการบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันแล้ว”

เป็นม่าย!

จู่ๆ คำพูดเหล่านี้ก็ปรากฏในสมองของหลินกู๋หยู่

มืออาชีพดูแลเด็กหนึ่งร้อยปี

เจ้าบ่าวสกุลฉือคนนั้นมีลูกติด ได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นอายุเพียงหนึ่งขวบกว่าเท่านั้นเอง ถ้าเช่นนั้นเธอก็จะกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กฟรี และจะต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงมืออาชีพดูแลเด็กงั้นหรือ?

แม้ว่าจะนั่งอยู่บนเกวียนลา แต่หลินกู๋หยู่ก็ยังรู้สึกได้ว่าร่างกายเริ่มมีหยาดเหงื่อซึมออกมาแล้ว

ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว อากาศก็เริ่มร้อนขึ้น

เกวียนลาเคลื่อนไปและแกว่งไกวไปมาในเวลาเดียวกัน คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วยามก่อนที่เกวียนลาจะหยุด

เกวียนลาถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มคน ขาของหลินกู๋หยู่รู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย เมื่อมองลงไปที่เสื้อผ้าของตนเอง นางก็รู้สึกว่ามันสกปรกเล็กน้อย

การแต่งงานนี่มันยากลำบากกว่าการทำงานเยอะเลย

หลินกู๋หยู่ถูกคนพยุงเข้าไปในห้อง ก้มศีรษะลงมองดูสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างระมัดระวัง และก้าวข้ามเตาอั้งโล่อย่างตัวสั่น ก่อนที่จะก้าวไปสองก้าว ฝ่าเท้าของนางก็ถูกพรมด้วยน้ำ

นางเองก็ไม่รู้เหมือนว่านี่มันเป็นธรรมเนียมอะไรกัน ตอนนี้หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนหุ่นเชิดตัวหนึ่งที่คนอื่นบอกให้ทำอะไร นางก็จะต้องทำตามที่คนอื่นบอก

หลังจากเสร็จพิธีการที่แสนจะน่าเบื่อตามธรรมเนียมมากมายเหล่านั้น หลินกู๋หยู่ก็ถูกพยุงเดินเข้าไปในบ้าน

ชายที่อยู่ตรงหน้ารูปร่างสูง หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าตนเองสูงไม่ถึงไหล่ของบุรุษผู้นั้นด้วยซ้ำ

ถ้าวัดตามความสูงในยุคปัจจุบันแล้ว นางสูงราวหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร ส่วนผู้ชายที่อยู่ด้านหน้านางดูเหมือนว่าจะสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร

ต่อไปคือการกราบไหว้ฟ้าดิน

ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว หลินกู๋หยู่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตาม

แม้ว่าใจจริงของหลินกู๋หยู่จะต้องการที่จะต่อต้านมากเพียงใดก็ตาม แต่นางก็ไม่สามารถทำได้

มือของสตรีคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ นั้นดูจะมีเรี่ยวแรงมากเป็นพิเศษ นางใช้มือกดร่างของหลินกู๋หยู่ลงเต็มแรง

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ถูกนำตัวออกจากพิธีการพร้อมเหงื่อโชกทั้งตัว

"เจ้านั่งรอที่นี่ก่อน" เสียงของสตรีคนหนึ่งดังจากด้านหน้าของนาง "ข้าจะเฝ้าเจ้าอยู่ที่หน้าประตู!"

มันไม่ใช่การเปลี่ยนวิธีคุมตัวหรอกหรือ!

เมื่อได้ยินเสียงประตูปิด หลินกู๋หยู่พลันคว้าผ้าคลุมศีรษะไปวางไว้ข้างๆ พลางกลอกตามองรอบๆ ห้อง

สภาพแวดล้อมภายในห้องนี้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้ว่าขนาดห้องจะไม่ใหญ่มาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านของสกุลหลินที่นางอาศัยอยู่แล้ว ห้องนี้ย่อมดีกว่ามาก

หน้าต่างด้านข้างเปิดออกเล็กน้อย หลินกู๋หยู่ทอดมองผ่านช่องว่าง นางเห็นสวนผักสีเขียวด้านนอก

หลังจากปัดฝุ่นออกจากเท้า หลินกู๋หยู่ก็เดินมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ห้อง

ห้องนี้อยู่ทางทิศเหนือประตูหันไปทางทิศใต้ ขนาดห้องนั้นไม่ใหญ่มากนัก เตียงอยู่ทางทิศตะวันออก หน้าต่างอยู่ทางทิศตะวันตก และมีโต๊ะสี่เหลี่ยมอยู่ใต้หน้าต่าง มีเทียนไขหนึ่งแท่งวางอยู่บนโต๊ะ และยังมีถ้วยเล็กๆ สองสามใบวางไว้ข้างๆ กาน้ำชา

หลินกู๋หยู่เดินไปแตะถ้วย เป็นถ้วยที่สมบูรณ์ปราศจากรอยร้าวหรือรอยแตกเสียหาย แปลกจริง สกุลหลินไม่มีถ้วยหรือชามที่ปราศจากรอยร้าวเลยสักชิ้น จากมุมมองนี้ สกุลฉือนับว่าเป็นสกุลที่ค่อนข้างมีฐานะอยู่บ้าง

หลินกู๋หยู่วางถ้วยลงบนโต๊ะ แล้วหันศีรษะทอดมองออกไป นางเห็นกล่องขนาดใหญ่หนึ่งกล่องวางอยู่บนพื้น

ดูเหมือนจะเป็นสินสอดที่สกุลหลินมอบให้นางสินะ หรือนี่จะเป็นสินสอดของจ้าวซื่อ ตอนนี้มันกลายเป็นสินสอดของนางแล้ว

เมื่อเดินไปทางทิศตะวันตกก็เห็นข้าวสารธัญพืชวางกองอยู่มากมาย

หรือที่นี่เดิมเป็นห้องเก็บของงั้นหรือ?

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าลอดดังมาจากข้างนอก หลินกู๋หยู่รีบไปที่ด้านข้างเตียง มือคว้าผ้าผืนแดงเพื่อคลุมศีรษะ

นางไม่ต้องการให้คนอื่นพูดถึงนางในทางลบหรอกนะ

หลังจากนั่งลงได้ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงความมืดเบื้องหน้า

ทันใดนั้นผ้าสีแดงบนศีรษะของนางก็หายไปในพริบตา

ด้านหน้าของนางเป็นสีแดง นางเห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อสีแดงยืนอยู่ตรงหน้า

ในยุคปัจจุบันนางไม่เคยมีแฟน ทว่าตอนนี้กลับต้องมาแต่งงาน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินกู๋หยู่มักจะรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่หลายส่วน

หลินกู๋หยู่ขยับตัวไปด้านข้าง เห็นชายคนนั้นถูกพยุงให้นั่งลงด้านข้างเตียง

หลินกู๋หยู่ลอบเงยหน้าขึ้นมอง ผิวของชายคนนั้นเป็นสีเหลือง ดวงตาของเขาหมองคล้ำไม่สดใส สภาพเหมือนคนนอนป่วยด้วยโรคร้ายบนเตียงเป็นเวลานานอย่างไรอย่างนั้น

การเคลื่อนไหวง่ายๆ อย่างการนั่งลง เขากลับต้องให้คนคอยช่วยพยุงให้ ใบหน้าของเขามีเหงื่อซึมจากความเจ็บปวด

เขาป่วยจริงๆ ด้วย แต่อย่างไรก็ตามนางคิดว่ามันก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นป่วยหนักเช่นคนเล่าลือเช่นนั้น

ทันทีที่หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้น นางเห็นคนสองคนที่พยุงเขา ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคลุมด้วยผ้า มือของพวกเขาก็ห่อผ้าด้วยเช่นกัน เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ก็เป็นเสื้อคลุมทั้งตัว

เมื่อชายทั้งสองประคองเจ้าบ่าวให้นอนลง พวกเขาก็ยืนขึ้น

“น้องสะใภ้ ออกมาก่อน ข้าจะบอกวิธีการดูแลน้องสาม!” ชายที่ตัวเตี้ยกว่าผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงถอดผ้าโพกหน้าออกพูดเสียงเบาก่อนจะฉีกยิ้มให้หลินกู๋หยู่

หลังจากเดินตามสองคนนั้นออกไป หลินกู๋หยู่ก็ได้รู้ว่าคนที่เตี้ยกว่าและอ้วนกว่าเล็กน้อยคือฉือซู่ มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนโตของฉือหาง

ส่วนชายที่มีรูปร่างผอมคล้ายลิงแต่สูงกว่าเล็กน้อยคนนั้นคือฉือเทา มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนรองของฉือหาง

การจัดลำดับนี้เป็นการจัดลำดับของสกุลฉือที่เป็นตระกูลใหญ่ทั้งหมด สำหรับบ้านนี้ฉือซู่เป็นพี่ชายคนโต ลูกชายคนรองคือฉือเทา ฉือหางเป็นลูกชายคนที่สาม ได้ยินมาว่ายังมีน้องชายคนสุดท้องอีกคนหนึ่งที่กำลังเรียกหนังสือ มีชื่อว่าฉือเย่

“น้องสะใภ้ เดิมทีเจ้าสามออกไปล่าสัตว์บนภูเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงกลิ้งตกลงจากภูเขา หมอบอกว่าเขาอาจจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต” ฉือซู่พูดพลางทอดถอนหายใจ “เดิมทีข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร พวกเราพี่น้องผลัดกันดูแล เพียงแต่…”

เอ่อ…

หลินกู๋หยู่ก้มศีรษะลง มือทั้งสองข้างไพล่หลัง จากที่ฉือซู่พูด ดูเหมือนว่าส่วนไหนสักแห่งของร่างกายของเจ้าสามจะโดนกระแทกอย่างรุนแรง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเขาขยับเขยื้อนไม่ได้

“ไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคอะไรกันแน่ ผิวของเจ้าสามมีตุ่มสิวผุดขึ้นเยอะมาก หมอบอกว่ามันจะแพร่เชื้อไปติดคนรอบข้าง ต่อไปถ้าเจ้าดูแลเขา เจ้าก็อย่าใช้มือแตะต้องตัวเขาโดยตรง รู้หรือไม่?” พี่ชายคนรองฉือเทาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

“พวกเจ้าสองคนทำธุระตรงนั้นเสร็จแล้วยังรีบไม่ออกมาอีก พวกเจ้าก็ไม่รู้จักสังเกตบ้างเลย ทางนี้งานเยอะเสียจนหมุนตัวแทบไม่ทันแล้ว ทางนั้นมีอะไรให้ต้องพูดให้มากหรือไง!”

ในขณะที่หลินกู๋หยู่กำลังคิดฟุ้งซ่าน นางก็ได้ยินเสียงดังลอดมาจากระยะไกล

ประตูทางมุมตะวันออกเฉียงเหนือเปิดกว้าง ดูเหมือนจะสามารถไปยังลานเรือนหลักได้

จากนั้นก็มีสตรีร่างอ้วนโผล่มา บนศีรษะปักด้วยปิ่น มือเท้าสะเอว ปากตะโกนเสียงดัง

“นั่นคือพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า นางแค่พูดเสียงดังไปหน่อย” ฉือซู่พี่ใหญ่ยิ้มอย่างเขินอาย เขารีบเดินไปทางที่มาของเสียงนั้น

“พี่สะใภ้ใหญ่ สวัสดีเจ้าค่ะ!” หลินกู๋หยู่ที่ยืนอยู่ที่เดิมเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ

เมื่อได้ยินคำทักทายของหลินกู๋หยู่ ซ่งซื่อชะงักงันเล็กน้อย นางพยักหน้าด้วยใบหน้าแข็งเกร็ง ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับและเดินจากไป

นางน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอ? น่ากลัวถึงขนาดซ่งซื่อก็ยังกลัวจนเดินจากไป

หลินกู๋หยู่ชำเลืองมองที่ประตู จากนั้นก็ย้อนมองกลับมาที่กำแพงนี้ มันสูงมาก แม้ว่านางอยากจะปีนออกไปก็คงยากมากอยู่ดี

กลิ้งตกลงมาจากภูเขา เขากระดูกหัก?

เดิมหลินกู๋หยู่เรียนแพทย์ เมื่อได้ฟังสิ่งที่พี่ใหญ่พูด นางพอจะคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว

เด็กสาวเดินไปที่เตียงโดยสัญชาตญาณ ยื่นมือเพื่อจะถอดเสื้อผ้าของฉือหาง

มือที่ยื่นออกไปหยุดอยู่กลางอากาศด้วยความงุนงง

สายตาสบเข้ากับดวงตาครึ่งหลับครึ่งตื่นเนื่องจากความเหนื่อยล้าของบุรุษผู้นั้น

“อย่าแตะต้องตัวข้า” เสียงของเขาทุ้มต่ำ มีพลังดึงดูดที่ไม่เหมือนใคร “มันจะติดต่อไปยังเจ้าได้”

หลินกู๋หยู่เปิดริมฝีปากเล็กน้อย นางนั่งลงข้างเตียงของบุรุษคนนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ นางลดศีรษะลงมองอีกฝ่าย "เจ้าตกลงมาจากภูเขาได้อย่างไร?"

ร่างกายของเขาเหนื่อยล้าสุดจะทน มองดูใบหน้าเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือของเขา หญิงตรงหน้าดูผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง นางดูเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ

พี่สาวของนางหนีไปแล้ว ทำไมนางถึงยังอยู่ที่นี่?

ชายหนุ่มหันศีรษะมองไปทางอื่น เขาไม่อยากคุยกับหลินกู๋หยู่

หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เห็นว่าเขาเป็นผู้ป่วยหรอกนะ นางจึงพูดซ้ำด้วยความอดทน "เจ้าตกลงมาจากภูเขาได้อย่างไรหรือ?"

รออยู่เนิ่นนาน กระนั้นภายในห้องก็ยังคงเงียบสงัด

ท้องของหลินกู๋หยู่ร้องโครกครากอย่างไม่รู้เวลา นางไม่ได้กินอะไรมาเลยตั้งแต่เช้า จึงลุกขึ้นไปหยิบของว่างบนโต๊ะ

ขณะที่เอาขนมยัดใส่เข้าปาก หลินกู๋หยู่ก็ได้ยินเสียงทุ้มและแหบห้าวของชายหนุ่ม "อยู่ให้ห่างจากข้า เจ้าจะได้มีชีวิตอยู่ได้นานกว่านี้!"

หลินกู๋หยู่ที่กำลังจะลุกขึ้นเป็นต้องหยุดชะงักชั่วคราว จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งลงที่เดิม มองไปที่ใบหน้าด้านข้างที่แสดงออกถึงความดื้อรั้น นางตระหนักได้ว่าชายคนนั้นไม่อยากให้นางติดเชื้อจากเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้นางเข้าใกล้

หลังจากทานของว่างเสร็จแล้ว หลินกู๋หยู่ก็เดินไปที่กล่องด้านข้าง ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่ทั้งขาดและเก่าของตัวเองออกจากข้างใน จากนั้นพันมือตัวเองด้วยผ้า แล้วเดินกลับไปที่ข้างเตียง

เด็กสาวเอื้อมมือไปปลดที่คาดเอวของบุรุษที่นอนอยู่

"อย่า อย่า!" ชายหนุ่มใช้แรงที่มีอยู่น้อยนิดยื่นมือไปจับที่คาดเอวของตัวเอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าของเขาแดงก่ำ หว่างคิ้วปรากฏรอยย่นเล็กน้อย สุดท้ายจึงไออย่างไม่อาจควบคุมได้

หลินกู๋หยู่มองไปที่ชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่านี่คือยุคโบราณ ไม่ใช่ยุคปัจจุบันของนาง

“ข้าก็แค่อยากจะดูว่าสิวบนตัวเจ้าเป็นอย่างไร” หลินกู๋หยู่พูดอย่างใจเย็น “เจ้าอย่าคิดมาก”

“ไม่มีทางหายแล้ว” น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบแห้ง “หมอบอกข้าแล้ว”

หลินกู๋หยู่เอื้อมมือไปจับมือของชายหนุ่มออกไปแล้วนั่งลงข้างเตียง นางปลดที่คาดเอวเขาออกโดยไม่ลังเล

บางทีอาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน เสื้อผ้าที่ชายหนุ่มใส่จึงมีไม่มาก การต่อต้านที่รุนแรงของเขาไม่ได้ส่งผลอะไรเลยในสายตาของหลินกู๋หยู่

หลินกู๋หยู่ถอดเสื้อผ้าส่วนบนของเขาออกแล้ว

ร่างกายของชายหนุ่มขาวมาก แตกต่างกับผิวสีเหลืองบนใบหน้าอย่างสิ้นเชิง

ในขณะที่กําลังจะเปิดปากถามก็ได้ยินเสียงเปิดประตู หลินกู๋หยู่หันไปมอง นางเห็นสตรีนางหนึ่ง อายุประมาณสี่สิบปีกำลังยืนอยู่ที่ประตู

เป็นโจวซื่อ หลินกู๋หยู่เคยเจอแล้วเมื่อวันก่อน

โจวซื่อเบิกตากว้าง อ้าปากค้างขณะมองไปที่หลินกู๋หยู่ และหลังจากสบกับสายตาของเด็กสาว นางก็ปิดประตูและเดินจากไป

สีหน้าของเด็กสาวปรากฏความกระดากอายเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปที่ฉือหางปราดหนึ่ง

"นางคือแม่ของข้า"

ใบหน้าของฉือหางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างไม่อาจควบคุมได้ ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงเมื่อเขาไอในคราวก่อน และเป็นสีแดงด้วยความเขินอายในคราวนี้ หลินกู๋หยู่ไม่ได้สังเกตเห็นแต่อย่างใด

"ข้ารู้" หลินกู๋หยู่ตอบโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก จากนั้นมือของนางก็ทำงานต่อไป

ฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างตกตะลึง เขาขยับร่างกายอย่างไม่สบายใจเจือความอายเล็กน้อยภายใต้สายตาของนาง

ทันทีที่ขยับตัว เขาก็เจ็บปวดเสียจนต้องกัดริมฝีปากล่างเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมา

บริเวณลำคอ ร่างกายส่วนบนและช่วงแขนเกิดผื่นแดงจํานวนมาก และยังมีรอยของแมลงกัดต่อยทั่วไปอยู่ด้วย

หลินกู๋หยู่ม้วนแขนเสื้อของฉือหางขึ้น นางถามด้วยความจริงจังว่า "มันเริ่มจากส่วนของร่างกายที่เปิดเผยเช่นแขนและลําคอก่อนหรือไม่?"

ร่องรอยของความประหลาดใจแวบเข้ามาในดวงตาของฉือหาง เขาพยักหน้าอย่างลังเลเล็กน้อย "อืม”

หลินกู๋หยู่ไม่พูดอะไรต่อ ตอนนี้นางเกือบจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

"ฟังที่พี่ใหญ่พูด เจ้าตกจากภูเขา ตกลงมาอย่างรุนแรงหรือไม่?" หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วมอง ถามฉือหางอย่างจริงจัง

"เอว" ดวงตาของฉือหางที่มองไปที่หลินกู๋หยู่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาไม่ต้องการพูดคุยกับนางแม้แต่น้อย เพราะนั่นจะไปสะกิดอาการบาดเจ็บของเขา แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจทนที่จะเพิกเฉยต่อนางได้ "ขยับไม่ได้แล้ว!”

หลินกู๋หยู่เอื้อมมือเปิดเสื้อผ้าบนร่างกายส่วนบนของฉือหางให้กว้างขึ้น

"เจ้าพลิกตัวไปมาได้หรือไม่?" หลินกู๋หยู่ถามอย่างไม่แน่ใจ

แม้ว่าฉือหางจะผอมลง แต่กระนั้นเขาก็ตัวใหญ่มากกว่านาง การที่นางจะพลิกตัวให้อีกฝ่ายด้วยตัวนางเองจะต้องใช้แรงมาก

ฉือหางส่ายศีรษะ ลดศีรษะลงด้วยความผิดหวัง ความเศร้าเสียใจในสายตานั้นปรากฏให้เห็นชัดเจน "อย่าพยายามให้มากเลย ข้าเหนื่อยแล้ว"

"ข้าจะช่วย เจ้าอดทนต่อความเจ็บปวดหน่อยนะ" หลินกู๋หยู่พูดพลางยืนขึ้นช่วยฉือหางพลิกตัวกลับ "ระวัง เมื่อเจ้าพลิกตัว ศีรษะ คอของเจ้าไม่พลิกตามไปด้วย เจ้ามองไปทางด้านข้างเช่นเดิมก็เพียงพอแล้ว"

เมื่อฟังหลินกู๋หยู่พูดดังนั้น ฉือหางก็ขมวดคิ้วอย่างทําอะไรไม่ถูก เหมือนกับที่หมอคนนั้นพูดไม่มีผิด

ทว่าการเคลื่อนไหวง่ายๆ สําหรับฉือหางนั้นกลับกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่ยากลำบากมาก เขายังต้องพยายามพลิกตัวอย่างยากลำบากในขณะที่ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน

หลินกู๋หยู่พยายามพลิกตัวของฉือหาง จากนั้นเอื้อมมือออกไปถอดเสื้อผ้าที่เปิดครึ่งหนึ่งของฉือหางถอดออกทั้งหมดโดยไม่ลังเล

เมื่อเห็นแผลพุพองวงใหญ่บนแผ่นหลัง คิ้วของหลินกู๋หยู่ก็ขมวดแน่น

ฉือหางนอนตะแคงบนเตียง เขารู้สึกไม่สบายใจและทำตัวไม่ถูก

หลินกู๋หยู่เหยียดนิ้วมือออก วางมือลงบนลำคอของฉือหางเบาๆ

แผ่นหลังที่น่าหวาดผวาของเขาถูกเปิดออก เดิมเขาตัวร้อนมีไข้เล็กน้อยอยู่แล้ว เมื่อรู้สึกถึงการสัมผัสของหลินกู๋หยู่ ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยอย่างไม่สามารถควบคุมได้

อดรนทนไม่ไหว ถูกแยกครอบครัวอย่างกะทันหัน

หลินกู๋หยู่ถอนมือ และถามอย่างวิตกกังวลว่า "เจ็บไหม?"

"ไม่" ฉือหางตอบเสียงเบา

"ถ้าข้าแตะส่วนที่ทำให้เจ้าเจ็บ เจ้าก็พูดออกมาสักคำ"

หลังจากหลินกู๋หยู่พูดจบ นิ้วชี้ขาวเรียวก็ลูบเบาๆ ผ่านแผ่นหลังของชายหนุ่มจากบนลงล่าง

การเคลื่อนไหวของนางเบามาก ฉือหางไม่รู้สึกไม่สบายใดๆ หัวใจของเขารู้สึกคันเหมือนถูกขนนกกวาดไปทั่ว

เขาโลภความอ่อนโยนของนิ้วมือของนาง

หลังจากที่เขากลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวเขาอีก ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นสัตว์ร้าย

ปลายนิ้วของหลินกู๋หยู่สัมผัสกับรอยช้ำ ฉือหางพลันพูดว่า "เจ็บ" จากนั้นก็เงียบไป

ในที่สุดหลินกู๋หยู่ก็เข้าใจสภาพร่างกายปัจจุบันของฉือหาง

เขาตกจากภูเขาและได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง

กระดูกสันหลังส่วนคอเกิดความเสียหายมักจะพบได้บ่อยที่สุด จากการสังเกตสภาพร่างกายของฉือหาง สถานการณ์ยังคงเป็นไปในทางที่ดี หากใช้วิธีรักษาแบบอนุรักษนิยมโดยการไม่ผ่าตัด หลินกู๋หยู่มั่นใจว่าร่างกายของฉือหางจะสามารถฟื้นตัวได้เหมือนเดิมถึงแปดส่วนในสิบส่วน

อย่างไรก็ตาม ที่นี่เป็นยุคสมัยโบราณ วิทยาการทางการแพทย์ยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่น่าแปลกใจที่คนเหล่านั้นล้วนบอกว่าเขาจะต้องอยู่นอนบนเตียงตลอดชีวิต

หลินกู๋หยู่ช่วยฉือหางพลิกตัวให้นอนราบอย่างระมัดระวัง

ฉือหางเห็นหลินกู๋หยู่มือเปล่าไร้การป้องกันใดๆ ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนทันที "เจ้าอาจจะติดเชื้อจากข้าได้"

หลินกู๋หยู่เหลือบมองมือของตนเองปราดหนึ่ง นางไม่ตอบคําพูดของฉือหาง กลับเอ่ยถามว่า "แน่นหน้าอกหรือไม่?"

เขามองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างตกตะลึงและไม่ได้เอ่ยอะไร

"เป็นไข้หรือไม่?" ไม่ต้องรอให้เขาตอบ หลินกู๋หยู่ก็เหยียดมือวางทาบไว้บนหน้าผากของฉือหาง เมื่อแน่ใจแล้ว นางก็ถามคําถามอีกสองสามคำถาม

"อืม" ฉือหางมีคําถามบางอย่างในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถาม

"เจ้าถูกแมลงกัดเช่นนี้ ประเด็นหลักเป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวเจ้ามัน…" หลินกู๋หยู่เหลือบมองไปรอบๆ พลางพิจารณาคําพูดของตน "มันไม่สะอาดเกินไปน่ะ"

หลังจากนั้นไม่นาน ฉือหางก็พูดขึ้นช้าๆ

"เจ้าไม่จําเป็นต้องสนใจข้า"

หลินกู๋หยู่ที่กำลังช่วยฉือหางผูกเสื้อผ้าหยุดชะงัก นางมองเขาด้วยความสงสัย

"ร่างกายของข้า ข้ารู้ดี" น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำเจือด้วยความเสียใจเล็กน้อย "ข้าเป็นคนใช้การไม่ได้แล้ว ข้าจะคุยกับแม่ของข้าให้เจ้าไปจากที่นี่"

มือของหลินกู๋หยู่ที่กำลังผูกสายคาดเอวหยุดชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนไหวต่อไป

หลินกู๋หยู่จัดการสิ่งตรงหน้าเสร็จแล้วก็หันออกไป

ใบหน้าของนางไม่รู้ว่าถูกทาด้วยอะไร นางรู้สึกทรมานมาก หลินกู๋หยู่มองไปที่ถังน้ำขนาดใหญ่ที่ประตูบ้าน มันยังมีน้ำอยู่ นางจึงเอากระบวยตักน้ำลงในอ่างไม้แล้วล้างหน้า

หลังจากล้างหน้าก็รู้สึกถึงรูขุมขนบนใบหน้าที่เปิดกว้าง นางสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด

ด้านหน้าเป็นทุ่งผักสีเขียวขจี ทางด้านซ้ายของห้องพวกเขาเป็นกองฟืนหนึ่งกอง

หลังจากพบไม้ฟืนสองสามท่อนที่เหมาะสม หลินกู๋หยู่ก็หยิบไม้ฟืนบางส่วนเข้าไปในบ้าน หยิบเสื้อผ้าที่ฉีกขาดออกมาและผูกไว้กับไม้ฟืนเพื่อลดอาการบาดเจ็บของฉือหาง

จากนั้นนำผ้าเช็ดหน้าเปียกน้ำมาบิดให้แห้งแล้ววางบนหน้าผากของฉือหางเพื่อให้อุณหภูมิร่างกายเย็นลง

หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉือหางก็หลับไปแล้ว

หลินกู๋หยู่เดินไปด้านข้างของเขา ไม่ได้เรียกเขาให้ตื่นแต่อย่างใด นางจัดท่าร่างกายส่วนบนของเขา

โชคดีที่นางเรียนแพทย์แผนจีนตอนเรียนมหาวิทยาลัย และรู้วิธีฝังเข็ม การฝังเข็มจะช่วยลดรอยเลือดคั่ง รอยฟกช้ำ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยนวด ยึดส่วนเอวไม่ให้เคลื่อนไหว กินอาหารที่มีวิตามินดี อาการเจ็บป่วยของคนไข้ก็จะดีขึ้น

สําหรับแผลสิวพุพองบนร่างกายของเขา ดูเหมือนจะเกิดจากสภาพแวดล้อมโดยรอบสกปรกเกินไป เป็นเหตุให้แมลงเหล่านั้นชอบที่จะกัดเขามากขึ้น

นางไม่รู้ว่าหมอวินิจฉัยอย่างไร เห็นได้ชัดว่ายังมีทางรอด แต่กลับพูดว่าไม่มีทางรอดแล้ว ช่างทำร้ายคนจริงๆ

หลินกู๋หยู่เห็นว่าฉือหางยังคงหลับสนิท แต่นางรู้ว่าเขารู้สึกไม่สบาย ดังนั้นนางจึงพลิกผ้าปูที่นอนและผ้าคลุมทั้งหมดอย่างเงียบๆ เพื่อนําออกไปซัก

มีโอ่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านข้างสวนผัก หลินกู๋หยู่ยัดสิ่งของในมือลงในอ่างไม้ ในขณะที่นางกําลังจะเริ่มซักสิ่งเหล่านั้นด้วยมือ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากระยะไกล

โจวซื่อเดินเข้ามาใกล้ นางเห็นหลินกู๋หยู่กำลังซักผ้า

เมื่อหลินกู๋หยู่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว นางก็ลุกขึ้นยืนอย่างลังเล

"กู๋หยู่ไม่ต้องรีบร้อนซักผ้า เจ้ามากินข้าวก่อนเถอะ" โจวซื่อยกอาหารเข้าบ้าน วางไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่าง

หลินกู๋หยู่ก้มศีรษะลงพลางเดินตามโจวซื่อเข้าไปข้างในบ้าน

ดวงตาของโจวซื่อมองไปที่ร่างกายของฉือหางบนเตียง เมื่อเห็นสิ่งที่ผูกและห่อกับร่างกายของลูกชาย นางก็มองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยความประหลาดใจอยู่หลายส่วน

อย่างไรก็ตามนางก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งข้างโต๊ะกับหลินกู๋หยู่

"ข้าเป็นแม่ของหางเอ๋อ เจ้าก็รู้" ดวงตาของโจวซื่อแดงก่ำ อาจเป็นเพราะกลัวว่าจะรบกวนฉือหางทำให้เขาตื่น นางจึงลดเสียงว่า "เจ้าอย่าเกรงใจเลย กินเถอะ"

"ขอบคุณท่านแม่" หลินกู๋หยู่เอ่ยด้วยเสียงเบา จากนั้นก็หยิบชามและกินอย่างเงียบๆ

ตอนนี้นางไม่รู้ว่าคนในครอบครัวนี้ใครมีนิสัยอย่างไรกันบ้าง ดังนั้นนางจึงนิ่งไว้ก่อน

ในระหว่างกินบะหมี่ในชามอย่างเงียบๆ นางคิดอะไรบางอย่าง เมื่ออยู่ในบ้านสกุลหลิน นางได้ดื่มน้ำต้มข้าวทุกวัน บางครั้งก็เพิ่มข้าวอีกสองสามเม็ดลงในน้ำแกง ชามที่มีข้าวจำนวนมากส่วนใหญ่จะเป็นของหลินเสี่ยวหาน

สายตาของโจวซื่อมองสำรวจหลินกู๋หยู่ หว่างคิ้วของนางขมวด ความไม่พอใจในดวงตาของนางปรากฏอย่างชัดเจน

เมื่อเทียบกับหลินลี่เซี่ย หลินกู๋หยู่ดูแย่กว่ามาก

หลินกู๋หยู่นอกจากหน้าตาไม่ดีเท่าหลินลี่เซี่ยแล้ว ร่างกายของนางยังผอมแห้ง หุ่นเช่นนี้จะมีลูกมากได้หรือ?

โจวซื่อรีบลบความคิดนี้ออกไป ในใจคิดว่าตอนนี้ลูกชายของนางเป็นเช่นนี้ เขาไม่สามารถทำเรื่องบนเตียงเช่นสามีภรรยาได้

หลินกู๋หยู่เคี้ยวช้าๆ หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว นางยังคงนั่งในที่เดิม ลดศีรษะและพูดอย่างสุภาพว่า "ขอบคุณท่านแม่"

โจวซื่อลุกขึ้นจะหยิบชามออกไป สายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างด้านข้าง นางหมุนตัวหันกลับไปหาหลินกู๋หยู่ "ตามข้ามา”

หลินกู๋หยู่เดินตามหลังโจวซื่อ

หลังจากวางของกระจุกกระจิก โจวซื่อก็เปิดตู้เล็กๆ และชี้ไปที่ขวดยา จานชามและตะเกียบข้างใน พร้อมพูดว่า "นี่เป็นของๆ หางเอ๋อ เวลาทานข้าว เจ้าต้องป้อนข้าวให้เขากิน”

"ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" ตอนนี้หลินกู๋หยู่เข้าใจแล้วว่าโจวซื่อกำลังจะมอบงานดูแลฉือหางทั้งหมดให้กับนาง

โจวซื่อมองไปที่กล่องไม้ในบ้าน "สิ่งของที่อยู่ในกล่องนั้นเจ้าเอามาจากบ้านสกุลหลิน พวกเราไม่ได้แตะต้องของด้านในแต่อย่างใด”

"เจ้าค่ะ" หลินกู๋หยู่ตอบเบาๆ

โจวซื่อชี้นิ้วไปที่กล่องเก็บของที่ยังไม่ได้เปิด "ด้านในเป็นเสื้อผ้าของหางเอ๋อทั้งหมด รวมถึงผ้าปูที่พวกเจ้าต้องใช้ ฤดูหนาวอากาศจะหนาวมาก พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวจนแข็ง”

"เจ้าค่ะ" หลินกู๋หยู่ดูเหมือนจะติดตามโจวซื่ออย่างเชื่อฟัง นางไม่มีการโต้แย้งใดๆ เลย

ด้านหลังประตูบ้านทางทิศตะวันตกมีม่านอยู่ เมื่อโจวซื่อเปิดม่าน หลินกู๋หยู่จึงเห็นว่ามีเตา หม้อ และมีดสำหรับทำครัวด้วย

"ในวันข้างหน้า ถ้าเจ้าสามคนจะกินข้าว พวกเจ้าก็ทํากันเอง พวกเราจะไม่นําอาหารมาให้แล้ว" โจวซื่อพูดช้าๆ

หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองโจวซื่ออย่างเงียบๆ

โจวซื่อสบตากับเด็กสาว จากนั้นก็หลบสายตามองไปทางอื่น "ตามข้ามา ข้ามีบางสิ่งบางอย่างจะต้องอธิบายให้ชัดเจน”

เมื่อหลินกู๋หยู่เดินตามโจวซื่อออกจากบ้าน ชายหนุ่มบนเตียงก็ลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บปวด

"ท่านแม่" หลินกู๋หยู่ก้มศีรษะยืนอยู่ตรงหน้าโจวซื่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา

"ข้าได้ปรึกษาหารือกับคนในตระกูลแล้วว่าให้ครอบครัวของพวกเจ้าแยกออกไป" โจวซื่อพูดตรงๆ "เจ้าแค่ดูแลหางเอ๋อและลูกก็เพียงพอแล้ว”

หว่างคิ้วของหลินกู๋หยู่ขมวดแน่นขึ้น

นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามารดาของฉือหางจะพูดแบบนี้

แม่แบบนี้… หลินกู๋หยู่ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน

ในขณะที่ฉือหางป่วยหนัก คนเป็นแม่อย่างโจวซื่อกลับพูดกับนางเกี่ยวกับการแยกครอบครัว

"เรื่องนี้…" หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองโจวซื่ออย่างลังเล ดวงตาหรี่เล็กน้อยแสร้งทําเป็นกังวล "ท่านจะไม่พูดคุยกับท่านพี่หางหน่อยเหรอเจ้าคะ?”

"พูดกับเจ้าก็เหมือนๆ กัน!" โจวซื่อพูดด้วยสีหน้าเย็นชา "อีกสักพักข้าจะส่งลูกของหางเอ๋อให้เจ้า เงินสิบตำลึง ข้าวสองร้อยจิน[1] บะหมี่หนึ่งร้อยจิน ไข่ห้าสิบฟอง และผักที่อยู่ในลานนี้ทั้งหมดเป็นของพวกเจ้าแล้ว”

"ที่ดินของครอบครัวของพวกเรามีทั้งหมดจำนวนสิบเหมียว[2] จะแบ่งที่ดินให้พวกเจ้าหนึ่งเหมียว พวกเจ้าจำนวนคนน้อย ย่อมไม่สามารถทํางานมากเกินไปได้หรอก"

หลินกู๋หยู่ยืนอยู่ที่เดิม สมองของนางประมวลผลอย่างรวดเร็ว

เงินสิบตำลึง ถ้าเป็นคนปกติปราศจากโรคภัยย่อมสามารถใช้ได้เป็นเวลานาน แต่สภาพของฉือหางในตอนนี้จำเป็นต้องใช้เงินจํานวนมากเพื่อซื้อยา

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หว่างคิ้วของหลินกู๋หยู่ก็ขมวดเข้าหากัน

"หม้อและกระทะ ข้าวของทำครัว สิ่งเหล่านี้เตรียมไว้สําหรับพวกเจ้าแล้ว" โจวซื่อพูดด้วยใบหน้าเย็นชา "ในช่วงสองปีนี้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ทําอะไรเลย เจ้าก็ยังมีอาหารกิน”

หลินกู๋หยู่กัดริมฝีปากล่าง มุมปากของนางยกขึ้นโค้งอย่างไม่แยแส

"ท่านแม่!" ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งลอดดังมาจากทางประตูห้อง

โจวซื่อรีบเดินไปต้องการช่วยพยุงเขา แต่กระนั้นก็ต้องหยุดเล็กน้อย ถอนมือกลับ สุดท้ายเพียงแค่ยืนอยู่ด้านข้าง

ฉือหางก้มศีรษะลง ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใด หว่างคิ้วย่นเล็กน้อย ใบหน้าด้านข้างของเขาดูสวยงามผิดปกติทว่าดูโดดเดี่ยวและน่าสงสารเล็กน้อย

หลินกู๋หยู่เดินมายังด้านหน้าฉือหาง ยื่นมือเพื่อพยุงเขา

"เรื่องการแยกครอบครัว" ริมฝีปากของฉือหางขาวซีด ทั้งยังแตกเป็นขุยและมีเลือดออก ทันทีที่เปิดปาก รสหวานคาวพลันกระจายทั่วในปาก "ท่านแม่ควรจะบอกข้า”

โจวซื่อหยิบหนังสือแยกครอบครัวในมือยื่นให้ฉือหาง นางเอ่ยเสียงเบา "คิดอยากจะแยกครอบครัวมานานแล้ว ให้ข้าวของกับภรรยาของเจ้าตั้งมากมาย ภรรยาของเจ้าจะต้องดูแลเจ้าได้ดีอย่างแน่นอน”

มือทั้งสองของฉือหางจับกรอบประตูแน่น หลินกู๋หยู่รับหนังสือแยกครอบครัวมา

แววตาของชายหนุ่มสั่นเครือ สายตาทอดมองไปบนหนังสือในมือของหลินกู๋หยู่ เบ้าตาของเขาแดงก่ำด้วยความทรมานใจ

โจวซื่อไม่อาจทนเห็นฉือหางที่เป็นแบบนี้ นางชี้นิ้วมือไปที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือ "พรุ่งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าจะมาช่วยเจ้าเปิดประตูไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและปิดมัน… วันข้างหน้าจะไม่เปิดมันแล้ว"

โจวซื่ออึกอัก ริมฝีปากของนางสั่นเล็กน้อย ดวงตาคลอด้วยหยาดน้ำใส นางหันไปพูดกับหลินกู๋หยู่ที่อยู่ด้านข้างว่า "กู๋หยู่ ทางที่ดีเจ้าอย่าได้คิดไม่ซื่อ เจ้าต้องคิดให้ได้ว่าเจ้ายังมีแม่และน้องชายวัยสิบขวบ!”

โจวซื่อพูดจบจึงหันหลังกลับและเดินจากไปอย่างเฉยเมย ไม่มองลูกชายและลูกสะใภ้เลยแม้แต่น้อย

โจวซื่อกําลังข่มขู่นางหรือ? หลินกู๋หยู่จ้องมองด้านหลังของโจวซื่อด้วยความไม่พอใจ

รู้สึกได้ว่าคนด้านข้างกำลังตัวสั่นเทิ้ม นางเงยหน้าขึ้นมอง เบ้าตาของเขาเป็นสีแดง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

"เข้าไปนอนเถอะ ข้าจะไปซักผ้านวม" หลินกู๋หยู่ครุ่นคิดสักพักก่อนจะบอกเขา

"เฮอะ" ฉือหางมองหลินกู๋หยู่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง เสียงของเขาเจือความเศร้าโศก "เป็นเช่นนี้ก็ดี ตอนนี้ข้าสามารถให้อิสระแก่เจ้าได้แล้ว”

ดวงตาของหลินกู๋หยู่ก็สว่างวาบ นางเงยหน้าขึ้นมองฉือหาง

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เพียงแค่มองดวงตาของเขา นางก็พลอยรู้สึกเศร้าโศกไปกับเขา ความเจ็บปวดถึงขั้นหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดจากการถูกญาติทอดทิ้ง นาง… รู้สึกเห็นอกเห็นใจ

เขายังป่วยอยู่ และหมอก็ได้ยืนยันแล้วว่าเขาจะเสียชีวิตในอีกไม่นาน

คำพูดของแม่สามีเมื่อครู่นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการไล่ฉือหางซึ่งเป็นภาระออกจากตระกูลโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ในที่สุดหลินกู๋หยู่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมแม้พี่สาวของนางจะหนีงานแต่ง แต่กระนั้นโจวซื่อก็ยังร้องไห้และโวยวายต้องการให้นางแต่งงานเข้าบ้านให้ได้

เพราะว่าคนในครอบครัวของพวกเขาได้ตัดสินใจตั้งแต่ก่อนหน้าแล้วว่าจะตัดฉือหางออกจากตระกูล

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับนาง หลินกู๋หยู่รู้สึกว่านางไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ

นางไม่เคยลิ้มรสชาติของการถูกทอดทิ้งโดยญาติมาก่อน และนางก็ไม่อยากจะลิ้มรสชาตินี้ตลอดไปด้วย

……………………………………………….

[1] จิน มีค่าเท่ากันครึ่งกิโลกรัม

[2] เหมียว หนึ่งเหมียวมีค่าเท่ากับสองไร่ครึ่ง

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0