นพ.สุเทพ เพชรมาก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบว่าประเทศไทยมีปัญหาด้านมลพิษทางอากาศเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ วันที่ 26 เมษายน 2560 พบว่าค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ยทั้งประเทศเท่ากับ 43 มคก./ลบ.ม. พบเกินค่ามาตรฐาน 10 จุดตรวจวัดจากทั้งหมด 61 จุดตรวจวัด สำหรับก๊าซโอโซน (O3) พบค่าเฉลี่ย 8 ชั่วโมง สูงสุดของแต่ละจุดตรวจวัด อยู่ในช่วง 48–152 พีพีบี (ค่ามาตรฐาน 70 พีพีบี) จะเห็นได้ว่ายังคงมีปัญหามลพิษทางอากาศอยู่หลายแห่ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาหมอกควันไฟป่าทางภาคเหนือและภาคใต้ ไฟไหม้บ่อขยะ มลพิษในเขตเมือง และมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น ทำให้หลายพื้นที่ถูกประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ ส่งผลให้ประชาชนเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ และโรคอื่นๆ ตามมามากมาย
สำหรับการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพจากมลพิษทางอากาศที่สำคัญนั้น หน่วยงานต่างๆ ควรมีการปฏิบัติตามมาตรการทางกฎหมายในการควบคุมป้องกันการปล่อยมลพิษสิ่งแวดล้อมจากแหล่งกำเนิด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากสิ่งแวดล้อม
“สิ่งที่สำคัญที่สามารถปฏิบัติอย่างง่ายๆ เพื่อลดมลพิษทางอากาศภายในบ้าน เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับ หรือขจัดมลพิษทางอากาศ เนื่องจากพบว่า ต้นไม้สามารถดูดสารพิษด้วยกรรมวิธีการคายน้ำ โดยจะทำการดูดก๊าซพิษที่อยู่รอบ ๆ ลงสู่ดินและจุลินทรีย์ที่อยู่รอบๆ รากจะเป็นตัวเปลี่ยนให้สารพิษเหล่านั้นกลายไปเป็นอาหารของพืช แนะนำไม้ประดับที่สามารถฟอกอากาศได้ เช่น ว่านหางจระเข้ สาวน้อยประแป้ง เดหลี ไทรใบใหญ่ เป็นต้น ส่วนไม้ประดับที่สามารถดูดสารพิษได้ เช่น วาสนา หมากเหลือง เบญจมาศ ลิ้นมังกร ปาล์มไผ่”
สำหรับ วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก” ซึ่งเป็นวันที่ทั่วโลกร่วมมือกันขจัดภัยอันตรายด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังคุกคามชาวโลก ในส่วนของประเทศไทย หน่วยงานต่างๆ ได้จัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นและสร้างจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชนชาวไทย