โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

อุ้งเชิงกรานอักเสบ มีสาเหตุมาจากอะไร?

Motherhood.co.th

เผยแพร่ 21 ธ.ค. 2562 เวลา 04.00 น. • Motherhood.co.th Blog
อุ้งเชิงกรานอักเสบ มีสาเหตุมาจากอะไร?

อุ้งเชิงกรานอักเสบ มีสาเหตุมาจากอะไร?

ในการเตรียมตัวเป็นแม่นั้น เราย่อมจะต้องรู้จักระบบสืบพันธุ์ของเราให้ดีเสียก่อน วันนี้ Motherhood เลยจะมาแนะนำเกี่ยวกับอาการ "อุ้งเชิงกรานอักเสบ" ว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร ใครมีความเสี่ยงบ้าง และจะมีวิธีการบำบัดรักษาได้อย่างไร ไปติดตามบทความกันได้เลยค่ะ

อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflamatory Disease) คือ การติดเชื้อบริเวณระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง บริเวณมดลูก ปีกมดลูก และท่อนำไข่ ซึ่งการติดเชื้อนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้หรือหนองในเทียม ซึ่งมักเกิดในบริเวณช่องคลอดและปากมดลูก หากไม่ทำการรักษาก็อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นในระบบสืบพันธุ์ได้ โดยโรคนี้มักเกิดในหญิงวัยเจริญพันธุ์ ที่อายุประมาณ 25 ปี หรือต่ำกว่านั้น

คือการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
คือการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง

อาการของอุ้งเชิงกรานอักเสบ

ในระยะแรกผู้ป่วยอาจยังไม่แสดงอาการใด ๆ แต่หากเป็นรุนแรงขึ้นจะเริ่มรู้สึกปวดในบริเวณช่องท้อง นอกจากนี้ยังสามารถพบอาการอื่นได้ ดังนี้

  • เจ็บท้องช่วงล่างหรือท้องน้อย
  • ภาวะตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นหรือสีเปลี่ยนไป
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ อาจมีเลือดออกในปริมาณมาก รอบเดือนมานานกว่าปกติ หรือมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • คลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ รู้สึกอ่อนเพลีย และไม่สบายตัว
  • ปวดมากขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ปวดแสบขณะปัสสาวะหรือปัสสาวะขัด

ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ในทันทีหากพบว่ามีอาการตรงกับที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากการติดเชื้ออาจรุนแรง จนทำให้เชื้อลามไปทำลายระบบสืบพันธุ์ได้ แม้ว่าจะติดเชื้อมาเพียงไม่กี่วันก็ตาม

มีอาการเจ็บปวดในช่วงล่างหรือท้องน้อย
มีอาการเจ็บปวดในช่วงล่างหรือท้องน้อย

สาเหตุของโรค

โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อที่พัฒนาในระบบสืบพันธุ์ของอวัยวะหญิงส่วนบน มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด โดยเชื้อเหล่านี้จะแพร่กระจายจากช่องคลอดหรือปากมดลูก เข้าไปในช่องท้อง ท่อนำไข่ และรังไข่ ในหลายกรณีแพทย์อาจไม่สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนว่าเกิดจากแบคทีเรียชนิดใด อาจจะใช้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดในการรักษาเพื่อให้ครอบคลุมในการฆ่าเชื้อที่อาจเป็นสาเหตุของโรค

สาเหตุของการเกิดโรคมีความหลากหลาย ดังนี้

1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

จากข้อมูลทางการแพทย์ พบว่าอัตราการเกิดอุ้งเชิงกรานอักเสบอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 4 รายมักมีสาเหตุมาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นโรคหนองในแท้หรือโรคหนองในเทียม โดยผู้ป่วยมักเริ่มติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณปากมดลูกก่อน ซึ่งตามปกติจะสามารถรักษาหายได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะ หากได้รับการรักษาที่ไม่เหมาะสมหรือเข้ารับการรักษาล่าช้า ก็อาจทำให้แบคทีเรียนั้นแพร่กระจายเข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์ได้

2. การติดเชื้ออื่น ๆ

ในหลายกรณีก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด โดยปกติแล้วในช่องคลอดมีแบคทีเรียที่ไม่เป็นอันตรายอาศัยอยู่ แต่แบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้หากเข้าไปในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในกรณีที่เคยเป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบมาก่อน หรือเคยทำหัตถการเกี่ยวกับปากมดลูก เช่น การตรวจภายในมดลูก การทำแท้ง หรือการใส่อุปกรณ์คุมกำเนิด

มีการติดเชื้อเพราะแบคทีเรียเข้าไปภายในระบบสืบพันธุ์
มีการติดเชื้อเพราะแบคทีเรียเข้าไปภายในระบบสืบพันธุ์

ภาวะแทรกซ้อนของโรค

โรคติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบจัดเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้ ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยมีดังนี้

  • โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยบางรายอาจประสบปัญหาเรื้อรังและสามารถกลับมาเป็นโรคได้อีก สาเหตุเกิดจากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบ หรือคู่นอนของผู้ป่วยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แต่ไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา หรืออาจเกิดในกรณีที่รังไข่หรือท่อรังไข่เคยอักเสบแล้วติดเชื้อซ้ำอีก ก็สามารถมีโอกาสที่จะเกิดโรคขึ้นอีกครั้งได้
  • ฝี โรคนี้อาจทำให้เกิดฝีได้ สามารถพบฝีได้บ่อยที่บริเวณท่อนำไข่และรังไข่ ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ในบางกรณีอาจใช้การผ่าตัดเจาะเพื่อระบายเอาหนองออกจากฝี
  • อาการปวดเชิงกรานเรื้อรัง อาการนี้ทำให้ผู้ป่วยบางรายใช้ชีวิตตามปกติได้ยากขึ้น เพราะอาการปวดและอาการข้างเคียงต่าง ๆ เช่น นอนไม่หลับ ซึมเศร้า การใช้ยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนจะช่วยบรรเทาอาการได้เบื้องต้นเท่านั้น แต่ถ้ารับประทานแล้วอาการไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์หรือสูตินรีแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก หากเกิดการติดเชื้อที่ท่อนำไข่ อาจทำให้เกิดแผลเป็นบริเวณนั้น และทำให้ไข่เคลื่อนตัวผ่านท่อนำไข่ได้ยาก หากไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วฝังตัวอยู่ในท่อนำไข่ ก็จะทำให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตผิดที่ จนอาจทำให้ท่อนำไข่ฉีกขาด มีเลือดออก และเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
  • ภาวะมีบุตรยาก การมีแผลเป็นจากการอักเสบหรือเคยเป็นฝีในท่อนำไข่ อาจทำให้ไข่ไม่สามารถผ่านเข้าไปในมดลูกได้ ส่งผลให้เป็นอุปสรรคในการตั้งครรภ์ ประมาณ 1 ใน 10 ของผู้หญิงที่เป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบจะประสบภาวะมีบุตรยาก ซึ่งความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากผู้ป่วยได้รับการรักษาล่าช้า
ตรวจวินิจฉัยอาการและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
ตรวจวินิจฉัยอาการและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

การตรวจวินิจฉัยโรค

1. สอบถามอาการและตรวจ

แพทย์จะถามประวัติการใช้ยาและการมีเพศสัมพันธ์ของผู้ป่วย ตรวจภายในและอุ้งเชิงกรานเพื่อดูภาวะตกขาวที่ผิดปกติ จากนั้นจะทำการเก็บจุลินทรีย์จากสารคัดหลั่งภายในช่องคลอดและปากมดลูก ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อระบุชนิดของแบคทีเรียที่พบ และยังมีการตรวจอื่น ๆ เช่น ปัสสาวะ เลือด ทดสอบการตั้งครรภ์

2. การผ่าตัด

ในบางกรณีอาจใช้การผ่าตัดส่องกล้องทางหน้าท้อง (Laparoscopy) โดยจะทำการสอดกล้องขนาดเล็กเข้าไปดูอวัยวะภายใน และถ้ามีความจำเป็นอาจต้องเก็บตัวอย่างเนื้อเยื้อเพิ่มด้วย

การบำบัดรักษาอาการ

โรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรรักษาเชื้อให้หายและไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้ ยาแก้อักเสบที่ใช้เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ออฟล็อกซาซิน (Ofloxacin) เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) ดอกซีไซคลิน (Doxycycline)

ยาปฏิชีวนะบางตัวไม่สามารถใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ เพราะฉะนั้นในกรณีที่ผู้ป่วยตั้งครรภ์ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนเริ่มการรักษาด้วย และแม้ว่าผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม ก็ยังจะต้องรับประทานยาต่อจนครบ 14 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าอาการติดเชื้อนั้นหายขาด ในระหว่างการรักษา ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อติดตามการรักษาและดูการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ ถ้าอาการผู้ป่วยนั้นไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน ผู้ป่วยอาจต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

นอกจากจะทำการรักษาที่ตัวผู้ป่วยแล้ว ในบางกรณีก็จำเป็นต้องรักษาคู่นอนของผู้ป่วยด้วย เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ และควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการรักษาครบตามที่แพทย์สั่ง

ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคติดต่อ
ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคติดต่อ

การป้องกันโรค

  • ใช้ถุงยางอนามัย สาเหตุของโรคส่วนใหญ่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วิธีการป้องกันโรคที่ดีที่สุดจึงเป็นการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะมันช่วยลดการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ให้เชื้อผ่านเข้าไปในยังอวัยวะสืบพันธุ์ได้
  • จำกัดปริมาณคู่นอน ความเสี่ยงของการติดเชื้อเพิ่มขึ้นนั้นแปรผันตรงตามจำนวนคู่นอนที่เพิ่มขึ้น คู่นอนของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ควรได้รับการรักษาด้วย

 

อ่านบทความสำหรับแม่และเด็กอื่นๆที่น่าสนใจได้ที่นี่ >> story.motherhood.co.th

มองหาสินค้าสำหรับแม่และเด็กในราคาสุดพิเศษได้เลยที่ >> Motherhood.co.th

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0