โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

อย่าปล่อยลูกอยู่กับ 'พี่เลี้ยงยูทูป' แนะพ่อแม่อ่านออกเสียงให้ลูกฟัง

กรุงเทพธุรกิจ

เผยแพร่ 01 ธ.ค. 2562 เวลา 00.45 น.

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)ร่วมกับ สำนักพิมพ์bookscapeจัดกิจกรรมRead-Aloud Workshop:พลังแห่งการอ่านออกเสียงในโครงการขับเคลื่อนความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาวะเด็กและครอบครัวและการพัฒนาศักยภาพเยาวชนเมื่อวันที่30พ.ย. ณ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพร้อมเปิดตัวหนังสือ"Jim Trelease's Read-Aloud Handbook" (8th Edition)ฉบับภาษาไทยหนังสือสุดคลาสสิกที่ว่าด้วยการอ่านออกเสียงให้เด็กซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก

นางสาวณัฐยาบุญภักดีผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็กเยาวชนและครอบครัวสสส.กล่าวว่าจากการลงพื้นที่ของสสส.พบว่าพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าในกลุ่มเด็กปฐมวัยเป็นปัญหาที่เริ่มขยายวงกว้างข้อมูลจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก(ศพด.)ระบุว่าครอบครัวในยุคนี้ให้เด็กใช้สื่อดิจิทัลตั้งแต่อายุน้อยเพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีโดยเด็กมักจะดูรายการต่างๆทางช่องยูทูปและพูดเป็นภาษายูทูปแต่ไม่สามารถสื่อสารกับครูและเพื่อนได้อย่างเข้าใจและมักมีปัญหาสมาธิสั้น

เพราะการเสพสื่อดิจิทัลมีลักษณะของการเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วหรือบางครั้งดูหลายแพลตฟอร์มในเวลาเดียวกันสอดคล้องกับผลการวิจัย"ยุวชนนิเวศน์ของประชากรเจเนอเรชันซี-อัลฟ่าในประเทศไทย(Child Ecology of Thai Generation Z-Alpha)"ที่ระบุว่า"ยูทูป"เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการเรียนรู้ของเด็กยุคใหม่โดยคลิปที่เด็กนิยมมากที่สุดอันดับ1เป็นแคสเกมและคลิปเกมกว่า27%ถัดมาคือการ์ตูน20%ฟังเพลง14.3%และวาไรตี้9%รวมถึงสารคดีเกมโชว์รีวิวกีฬาและอื่นๆ

"ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะสมองซึ่งวัยแรกเกิดถึงสามขวบเป็นช่วงที่สมองมีการพัฒนาสูงสุดซึ่งเราไม่ควรให้เด็กเล็กใช้สื่อดิจิทัลหรือสื่อจอใสหรือปล่อยเด็กไว้กับสื่อเหล่านี้โดยสหรัฐอเมริกามีไกด์ไลน์เป็นแนวปฏิบัติเกี่ยวกับจอใสทุกประเภทเด็กไม่ถึง2ขวบพ่อแม่ต้องดูแลไม่ให้เด็กเล่นโทรศัพท์มือถือและเด็ก2ขวบเล่นมือถือได้ไม่เกิน15นาทีให้เพียงการสัมผัสสิ่งสำคัญคือควรเน้นให้เด็กดูหนังสือภาพการอ่านหรือเล่าหนังสือนิทานให้ฟังการเล่นอย่างอิสระเป็นต้น"

"กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยสร้างเสริมพัฒนาการให้เด็กปฐมวัยได้ดีเปรียบเสมือนการลงเสาเข็มที่แข็งแรงและเมื่อเริ่มโตขึ้นจึงเริ่มใช้สื่อดิจิทัลเพื่อต่อยอดการเรียนรู้ถ้าทุกบ้านทำได้แบบนี้เราจะกลุ้มใจน้อยลงกับปัญหาต่างๆที่จะทยอยตามมาเมื่อเด็กโตขึ้นตามวัยแต่หากจำเป็นต้องให้เด็กเล็กใช้สื่อสื่อจอใสก็ควรจำกัดเวลาการใช้แต่ละครั้งเลือกสิ่งที่ให้ดูโดยเน้นรายการด้านการศึกษาและไม่ควรดูตามลำพังแต่ดูกับคนเลี้ยงเพื่อให้เด็กดูและพูดคุยกับผู้ใหญ่ไปด้วย"นางสาวณัฐยากล่าว

นางสุดใจพรหมเกิดผู้อำนวยการโครงการหนังสือ'ฝึกอ่าน'ตามระดับชุด'อ่านอานอ๊าน'และผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านสสส.กล่าวว่าการแก้ไขวิกฤติพัฒนาการด้านภาษาที่ล่าช้าในเด็กปฐมวัยของไทยโดยเฉพาะเด็กอายุ2-3ปียังพูดและสื่อสารไม่ได้ต้องใช้ยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อสร้างปัจจัยบวกด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนในชุมชนและสังคมเข้าถึงสุขภาวะโดยเน้นไปที่กลุ่มปฐมวัยเพื่อให้คนที่เลี้ยงดูเด็กเข้าใจกระบวนการอ่านเพื่อพัฒนาเด็กเช่นแนะนำให้คุณครูและแกนนำชุมชนอ่านหนังสือให้เด็กฟังโดยออกเสียงซ้ำๆเหมือนเป็นการย้ำร่องรอยการจดจำชุดคำและพัฒนาต่อเนื่องจากการอ่าน

โดยมีหนังสือเป็นเส้นกลางบูรณาการกับชีวิตประจำวันเช่นการกินการกอดการนอนการร้องเพลงหรือออกแบบท่าทางรวมทั้งทักษะชีวิตพื้นฐานของเด็กๆซึ่งพบว่าคุณครูแกนนำใช้วิธีอ่านกับเด็ก3ขวบที่สื่อสารไม่ได้เพียง7-8เดือนทำให้เด็กอ่านหนังสือได้เอง

"การอ่านออกเสียงให้เด็กฟังแล้วค่อยๆชี้ตามตัวอักษรให้เด็กเห็นใช้เวลาไม่นานก็พัฒนาทักษะเขาได้เราเชียร์ให้แม่ทำเรื่องนี้ตั้งแต่อยู่ในท้องเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนของแม่เด็กได้ยินแล้วจะเข้าถึงหนังสือได้ง่ายไม่ต้องใช้เวลามากแค่อ่านออกเสียงให้ฟังอุ้มกอดลูกวันละ10-15นาที"นางสุดใจกล่าว

ด้านพ.ญ.ปุษยบรรพ์สุวรรณคีรีกุมารแพทย์สาขาโรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติในเด็กเจ้าของเพจ'หมอแพมชวนอ่าน'กล่าวว่าการอ่านหนังสือให้ลูกฟังต้องเริ่มจากมุมมองของพ่อแม่ที่ต้องรู้สึกว่าการอ่านหนังสือให้ลูกฟังคือกิจวัตรที่ต้องทำไม่ใช่ภาระเมื่อมองเห็นเรื่องพื้นฐานแล้วก็ทำการเซ็ตเวลาเพราะความสม่ำเสมอสำคัญที่สุดซึ่งช่วงเวลาก่อนนอนนับเป็นช่วงเวลาที่ดีเพราะเป็นสัญญาณของการพักผ่อนพ่อแม่ผ่อนคลายคลื่นสมองเด็กช้าลงและได้ฝึกเรื่องการหลับลึกเป็นการฝึกฝนการทำอะไรเป็นเวลา

"การอ่านหนังสือเป็นเหมือนเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์เป็นสื่ออย่างหนึ่งทำได้ทุกเวลาที่เราสะดวกแต่อย่างน้อยที่สุดต้องมีเวลาที่สม่ำเสมอทุกวันเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตรเวลาอ่านออกเสียงพ่อแม่ไม่ต้องคาดหวังว่าลูกจะนอนฟังนั่งนิ่งเพราะเด็กต้องเป็นไปตามพัฒนาการค่อยๆสั่งสมทักษะดังนั้นยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดีในช่วงแรกเกิดถึง3เดือนสายตาของเด็กยังไม่โฟกัสแต่ทักษะที่เด่นมากคือการฟังการอ่านออกเสียงทำให้เด็กได้เรียนรู้เสียงแม่รู้จังหวะภาษาซึ่งแม่จะเลือกหนังสืออะไรหรือภาษาใดก็ได้ที่ตนเองชื่นชอบในช่วงที่เด็กอายุ4-6เดือนสายตาของเด็กเริ่มมองเห็นชัดขึ้นคอเริ่มแข็งและชอบจับของเข้าปาก"

"หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ต้องเป็นภาพที่มีสีสันมีขนาดใหญ่อาจจะเป็นบอร์ดบุ๊คหรือหนังสือผ้าที่มีคำบรรยายสั้นๆหมวดแรกที่เด็กมักสนใจคือสัตว์ซึ่งกระตุ้นความสนใจได้ดีและแม่ต้องอ่านหนังสือออกเสียงและชี้ตามตัวอักษรให้เด็กกวาดตาตามจากซ้ายไปขวาพร้อมกับการฟังเป็นการเก็บข้อมูลและคลังภาษาของเด็กจากนั้นจะเป็นไปตามพัฒนาการโดยเด็ก1-2ขวบจะเริ่มมีความสนใจพิเศษช่วงนี้เด็กจะขอร้องให้พ่อแม่อ่านหนังสือเรื่องเดิมให้ฟังซ้ำๆมากกว่าหนึ่งรอบเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมดังนั้นพ่อแม่หรือคนที่อ่านหนังสือให้เด็กฟังต้องไม่เบื่อที่จะอ่าน"พ.ญ.ปุษยบรรพ์กล่าว

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น