โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เรื่อง “ดีใจ” ของอดีตผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ “หายขาด” ครบ 10 ปี!

HealthyLiving

อัพเดต 28 พ.ค. 2560 เวลา 19.04 น. • เผยแพร่ 29 พ.ค. 2560 เวลา 08.00 น. • Healthy Living
AW_Monthly People_HL re.jpg

น้องหนู-ศศิร์ธา วิทยานนท์ ปัจจุบันเธอเป็น Senior Marketing Executive เมื่อ 10 ปีก่อน ในวัยเพียง 29 ปี เธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิด Non-Hodgkin's Lymphoma, NHL ระยะ 4 หลังผ่านการต่อสู้กับการรักษามะเร็งอยู่ 2 ปีครึ่ง
โดยได้รับยาเคมีบำบัดทั้งหมด 20 ครั้ง และฉายแสงทั้งหมด 30 แสงจนก้อนมะเร็งหยุดแอคทีฟ ต่อด้วยให้แอนติบอดี้อีก 2 ปี (ทุกๆ 3 เดือน)ปัจจุบันหายขาดจากมะเร็งมาแล้ว 10 ปี
ถ้าแค่นี้คุณคิดว่าหนักแล้ว อยากให้รู้ว่ากว่าเธอจะเอาชนะมะเร็งได้สำเร็จ น้องหนูได้รับผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งมาครบทุกอย่างที่ตำราการแพทย์ระบุไว้ ไม่ว่าจะเป็น โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และลำไส้เกือบทะลุ เธอยังเคยเจอยาตั้งแต่เข็มละแสนไปจนถึงระดับ 1 ล้าน 3 แสนบาท (ของเมื่อสิบปีก่อน) แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังยืนยันว่า
“น้องหนูรู้สึก ‘ดีใจ’ ซะอีกที่เป็นมะเร็ง”

# ดีใจไม่มองข้ามสัญญาณ
ตอนนั้นอายุ 29 ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปที่เห็นว่าตัวเองยังอายุไม่เยอะ ก็ใช้ชีวิตเต็มที่ นอนดึก กินอาหารน้อย เพราะห่วงอ้วน และไม่ค่อยออกกำลังกาย จุดพีคคือเริ่มเหนื่อย ไอเยอะ คือโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาการมันเหมือนโรคเบสิคทั่วไป เวลาไปหาหมอก็ไปด้วยอาการไอจนหลอดลมอักเสบ น้องหนูเป็นถี่จนเริ่มไม่สบายใจ หมอก็เลยเอกซเรย์ให้และพบว่าเรามีฝ้าที่บริเวณกลางปอดแถวหลอดลมค่ะ
ตอนแรกก็มองแง่ดีว่าอาจเป็นวัณโรคในต่อมน้ำเหลือง แต่พอกินยาแล้วเรารู้สึกว่ามันกลืนไม่ลง มันเหมือนเบียดอะไรสักอย่าง คือก้อนที่เรามีมันใหญ่มากจนมันเบียดหลอดลม จากนั้นไอหนักกว่าเดิม นอนราบไม่ได้เลย ต้องนั่ง นอนๆ อยู่ต้องตื่นมาเหมือนคนจะเป็นลม ก็เลยให้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เราก็เลยรู้ว่าก้อนมันไม่ใช่เนื้อธรรมดา มันเป็นมะเร็ง

#ดีใจ เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
หลังจากรอตรวจชิ้นเนื้ออยู่ 4 เดือน ผลออกมาว่าเราเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้าย ซึ่งคำว่า “มะเร็ง” สำหรับน้องหนูตอนนั้นมันเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ไม่ค่อยมีใครรอด ก็เลยทำใจไม่ได้ จำได้ว่าไปนั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่าการรักษาจะมียาตัวนู้นตัวนี้มาร่วมกับการรักษานะ ยาเข็มละแสน ส่วนแม่ก็จะเอาบ้านเข้าธนาคารเพื่อเอาเงินมาให้เราใช้รักษา
ตอนนั้นเราก็คิดว่าจะทำยังไงดี เพราะน้องหนูไม่ได้ทำประกันอะไรไว้เลย ความที่รู้สึกว่าเราแข็งแรง เราไม่เคยป่วยเลย มองมะเร็งเป็นเรื่องไกลตัวมาก ไกลสุดๆ เลย พอมาเป็นก็เลยรู้สึกว่าเราต้องกลายเป็นภาระของครอบครัวหรือเปล่า
แต่พอร้องไห้ได้สักพัก คุณหมอเจ้าของไข้ (ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล หัวหน้าสาขาวิชาโลหิตวิทยา โรงพยาบาลศิริราช) ก็เรียกให้กลับไปคุยกันอีกครั้งเพื่อบอกว่า “ถ้ารักษาไม่หาย ไม่เสียเวลาคุยด้วยหรอก” นี่คือกำลังใจแรกที่ได้น้องหนูได้รับเลย คุณหมอทำให้เราฉุกคิดได้ว่าหมอมีคนไข้ต้องดูแลเยอะมาก แต่เขายังมาคุยกับเรา หมอยังบอกว่าคุณเป็นมะเร็งชนิดนี้ยังโชคดี อย่างน้อยคุณก็เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมะเร็งชนิดนี้มียาตอบสนองค่อนข้างดี การพยากรณ์โรคค่อนข้างดี ดังนั้นคุณมีโอกาสหาย พอได้ยินคำนี้มันเหมือนโลกมันเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้างแล้ว

#ดีใจยังได้ใช้ชีวิตปกติ
ช่วงที่ให้ยาคอร์สแรกที่บ้านก็จะให้ออกจากงาน เขาดูแลเราเหมือนคนป่วยหนักจริงๆ คือให้อยู่แต่ในห้อง ตอนนั้นสุขภาพจิตแย่มาก แต่ละวันผ่านไปช้ามาก รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าที่ต้องนอนให้แม่ดูแล แล้ววันหนึ่งคุณหมอก็แนะนำคุณแม่ว่าการที่เขารักษาคนไข้ เพราะอยากให้คนไข้ได้ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพื่อให้คนไข้ได้มีคุณภาพชีวิตท่ี่ดี ไม่ต้องจมอยู่กับอาการป่วยของเขา หนูก็เลยขอคุณแม่กลับไปทำงานเหมือนเดิม
คือถามว่าทำงานได้ปกติมั้ย ก็อาจจะไม่เท่าคนปกติ เราอาจจะมีช่วงที่ลาหยุดบ่อย แต่ว่าโชคดีที่มีองค์กรและนายที่เข้าใจว่าเราไม่สบาย แต่ยังอยากทำงานอยู่ คือคนป่วยมะเร็งก็คือคนปกติคนหนึ่งที่แค่ป่วย แค่ไม่สบาย แต่เราก็ยังทำอะไรได้เหมือนคนปกติ ซึ่งพอได้กลับไปทำงาน ก็จะใช้ชีวิตค่อนข้างปกตินะคะ บางคนเขาจะค่อนข้างเป็นห่วงเรามากกว่าซะอีก ไซเคิลน้องหนูก็จะเป็นแบบนี้อ่ะค่ะ ทุกเดือนจะหนึ่งก็จะแอดมิด 2-3 อาทิตย์แล้วแต่ความรุนแรงของโรค มันทำให้เรารู้สึกว่าคุณภาพชีวิตเราดีขึ้น เราแฮปปี้ เพราะเรามีเพื่อนที่ดี มีคุณหมอคอยอยู่ข้างๆ ทำให้แต่ละคอร์สของการรักษามันผ่านไปเร็วมาก

#ดีใจได้รับน้ำใจจากทุกคน
หลังจากรักษาคอร์สแรก ก้อนมะเร็งก็ยังไม่ถือว่าตอบสนองมาก หมอเลยเปลี่ยนไปใช้ยาสูตรที่สอง จากนั้นไม่นานผลข้างเคียงจากยาสูตรแรกก็ปรากฏขึ้น คือน้องหนูกลายเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงเนื่องจากยาเคมมีบำบัด ซึ่งปกติจะไม่เจอในคนอายุเท่านี้ ตอนนั้นคุณหมอก็เลยต้องปรับยารักษามะเร็งใหม่เพื่อไม่ให้กระทบโรคหัวใจ และเขาก็บอกว่ายาเซ็ตต่อไปอาจจะมีผลข้างเคียงทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปรากฏว่าเราก็เป็นตามตำราอีกเช่นกัน แล้วพอหมอจะส่องกล้องเข้าไปดูก็กลัวจะเสี่ยงที่เลือดจะออกไม่หยุด เพราะตอนนั้นน้องหนูมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำมาก คนปกติ 2 แสน น้องหนูเหลือหลักพัน จนต้องทำเรื่องรับบริจาคเกล็ดเลือดเพื่อให้น้องหนูมีเกล็ดเลือดมากพอที่จะเข้าไปส่อง
ซึ่งการขอรับบริจาคไปตามสภากาชาดไทยปกติต้องเข้าคิวรอ ตอนนั้นก็เปิดรับบริจาคแบบประกาศผ่านทางเว็บและเน้นหนักไปทางบล็อกที่เป็นชุมชนในการขอรับบริจาคเกล็ดเลือด เพราะตอนนั้นยังไม่มีโซเชียลมีเดีย ปรากฏว่าเพื่อนๆ ที่ออฟฟิศและคนที่เราไม่รู้จักอีกมากพร้อมใจไปบริจาคที่สภากาชาดไทยโดยระบุเป็นชื่อเราจนเจ้าหน้าที่ถามว่าคนนี้เป็นใคร วันนี้มีแต่คนมาบริจาคให้ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เราเป็นผู้รับ เรารู้สึกอิ่มมากในการที่ทุกคนมีน้ำใจกับเราขนาดนี้ ทั้งที่เราเป็นแค่ผู้ป่วยคนหนึ่งในสังคมที่ก็แค่ไม่สบายเป็นมะเร็ง
 
#ดีใจสร้างกำลังใจได้เอง

หลังจากได้ส่องกล้องก็เลยรู้ว่าข้างในมันพุพอง ซึ่งการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเราต้องรอให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งตอนนั้นน้องหนูมีความรู้สึกว่ามันทรมานกว่าเป็นมะเร็งซะอีก คือเข้าใจแล้วที่หมอบอกว่าคนเสียชีวิตเพราะการติดเชื้อในกระแสเลือดและผลข้างเคียงจากการรักษาเยอะ
ตอนนั้นน้องหนูท้อมาก มีความรู้สึกว่าทำไมต้องทรมานเราขนาดนี้ แต่พอเราร้องไห้เสร็จแล้วเห็นแม่ร้องไห้ตาม โห มันจุกอยู่ที่คอ น้ำตามันไม่ออกแล้วอ่ะ มีความรู้สึกว่าเราแย่มากเลย แม่ดูแลเราขนาดนี้เรายังมาทำให้แม่ร้องไห้ ตอนนั้นก็เลยมีความรู้สึกว่าเราจะไม่ทำให้ใครเสียใจกับโรคนี้อีกแล้ว ณ วันนั้นฉุกคิดได้เลยว่า กำลังใจที่ดีที่สุดมันเริ่มจากตัวเอง เราต่างหากที่ต้องเป็นคนให้กำลังใจคนรอบข้าง จริงๆ แล้วคนรอบข้างเหนื่อยกว่าเรา ต้องเข้มแข็ง อะไรก็ตามที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้เราก็ต้องทำ เพราะพอคนรอบข้างมีความสุข มันเป็นเหมือนโดมิโนกลับมาทำให้เรามีความสุขไปด้วย
พอตัวน้องหนูเองเริ่มรู้สึกว่าจะไม่ทำให้คนรอบข้างเครียดไปกับเราแล้ว เราก็จะสดชื่นแข็งแรง ร่าเริงปกติมากเลย จนตอนนี้ทุกคนรอบข้างพูดว่าได้กำลังใจจากเรา คือชีวิตเรายากมากแล้ว แต่เราก็ยังทำทุกอย่างได้ปกติดี เรารู้สึกว่าตรงนี้คือสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นมะเร็ง มันทำให้เราได้ปรับคิดอะไรมากมาย ได้ลดระดับความสุขของเราลง อย่างเมื่อก่อนความสุขของเราจะเกิดขึ้นเมื่อเราได้อะไรใหญ่ๆ เช่น เราได้แต่งงาน ได้โบนัส แต่พอเราป่วย ระดับความสุขเราลดลงมากๆ เลย เช่นบอกแม่ว่าอยากกินแกงส้ม แล้วมื้อหน้าแม่ทำแกงส้มมาให้กิน เราก็รู้สึกมีความสุขแล้ว คือมันมีความรู้สึกว่ามันจับต้องได้ง่ายกว่าก่อนป่วยเยอะ

#ดีใจ กับ “โอกาส” ที่ได้รับ
พอน้องหนูให้ยาจบคอร์สที่ 2 ปุ๊บ หลังจากติดเชื้อแล้ว หมอก็ให้ยาตัวเดิมไม่ได้แล้ว เพราะว่าถ้าให้อีกกระเพาะปัสสาวะพังแน่นอน ก็เลยต้องเปลี่ยนยา พอเปลี่ยนยาครั้งที่ 3 คุณหมอบอกว่าสูตรนี้ถ้าให้ผลข้างเคียงอะไรเขาไม่อยากพูด เพราะว่าน้องหนูเป็นตามตำรา ปรากฏว่าพอมาอ่านอีกที ผลข้างเคียงของยาจะทำให้เกล็ดเลือดต่ำมากขนาดที่อาจทำให้เกิดเลือดออกในสมอง หรือถ้ากระแทกอะไรนิดเดียวก็อาจจะมีภาวะเลือดออกได้ หรือมีเลือดออกในกระเพาะโดยที่เราไม่รู้ตัว คือมันเป็นเรื่องที่เราคิดในใจว่าตายแน่ๆ เลย ฉันจะรอดมั้ยเนี่ย เพราะเราเป็นตามตำราหมดเลย
แล้วคุณหมอก็แจ้งว่ามียาตัวหนึ่งที่เข้ามาเพิ่มการรักษา มีการตอบสนองต่อการรักษาประมาณ 40% ซึ่งถือว่าเป็น “โอกาสหาย” ที่ค่อนข้างเยอะมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง แต่คุณหมอบอกว่าข้อเสียของยานี้มีอยู่อย่างเดียวคือราคาแพงมาก ราคา 1,300,000 บาท ตอนนั้นเราก็บอกหมอว่ายาเข็มละ 100,000 เรายังจ่ายได้บ้างไม่ได้บ้าง ตอนนั้นก็เลยตอบว่าไม่ใช้ พอกลับจากหาหมอน้องหนูก็ไปอัพเดตอาการให้เจ้านายฟังแบบขำๆ ปรากฏวันรุ่งขึ้นนายก็เรียกประชุมในกลุ่มมาร์เก็ตติ้งว่าจะทำโปรเจ็กต์ขายริสแบนด์ 1 หมื่นชิ้น ขายชิ้นละ 100 ซึ่งถ้าคิดว่าเดี๋ยวก็มีคนให้เงินเกินบ้าง ก็อาจจะหาเงินได้ครบไม่ยาก ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเราเป็นแค่ผู้ป่วยตัวเล็กๆ คนหนึี่ง คนจะอยากช่วยเหรอ นายก็บอกว่าคนไทยเขาก็อยากช่วยคนนะ แต่ไม่รู้จะช่วยตรงไหน ช่วยใคร หรืออย่างน้อยเราก็ช่วยกันเอง ขายกันเองได้
แต่ปรากฏว่าภายในเดือนเดียวน้องหนูก็ได้รับเงินบริจาคจากโปรเจ็กต์ริสแบนด์ 1,300,000 บาท และผลจากยาตัวนี้ช่วยทำให้ก้อนมะเร็งหยุดแอคทีฟในที่สุด ซึ่งปัจจุบันน้องหนูหายขาดจากโรคมะเร็งมาเป็นเวลา 10 ปีพอดี

#ดีใจ ที่เป็นมะเร็ง
จากเหตุการณ์ขอบริจาคเกล็ดเลือดและการระดมเงินบริจาคที่ทำให้เราได้เห็นว่าทุกคนมีน้ำใจอยากช่วยเรา อยากให้เราหาย คุณพ่อของนายยังช่วยเอาเรื่องของเราไปลงในเว็บผู้จัดการ จากนั้นน้องหนูก็มีโอกาสได้ออกรายการเจาะใจ และคุณพ่อที่แยกทางจากแม่ ไม่เคยติดต่อมาเกือบสิบปีก็กลับมาเยี่ยมตอนน้องหนูป่วย ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่เราเป็นมะเร็งจนเราไม่รู้สึกว่ามะเร็งเป็นเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเราเลย เรามองว่าพอเป็นมะเร็งแล้วเจอแต่เรื่องดีๆ มีแต่กัลยาณมิตรเข้ามา มีแต่คนที่มีน้ำใจกับเรา มีแต่คนห่วงเรา เรามีความรู้สึกว่ามะเร็งมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนอื่นคิด น้องหนูรู้สึกดีใจซะอีกที่เป็นมะเร็ง เพราะน้องหนูมองว่ามะเร็งให้โอกาสดีๆ กับเราเยอะ
 …มะเร็งมันเป็นโรคที่เขาเลือกเรา เมื่อเขาเลือกเรามาแล้วเราจะทำยังไงให้อยู่กับเขาอย่างมีความสุข เมื่อเป็นได้ก็หายได้ สู้กับมัน พยายามหาความสุขจากการเป็นมะเร็งให้เจอ แล้วคุณจะแฮปปี้ที่อยู่กับมัน

…………………….

ปัจจุบันน้องหนูกลายเป็นหนึ่งในทีมผู้จัดงานให้ความรู้ประชาชนในวันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองโลก สำหรับผู้ป่วยและผู้ที่สนใจ สามารถติดตามงานครั้งต่อไปและรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ทาง www.facebook.com/thailymphoma

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0