ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราใช้ชีวิตในที่ทำงานไปเกินกว่าครึ่งหนึ่งในหนึ่งอาทิตย์ และผู้คนในออฟฟิศที่ทำงานนี่ล่ะที่เราทั้งเจอพูดคุย และมีปฏิสัมพันธ์มากที่สุด บางทีเจอบ่อยกว่าครอบครัวและเพื่อนสนิทซะอีก ในบางครั้งเพื่อนที่ทำงานอาจกลายเป็นเพื่อนสนิทซี๊ปึ้กแบบที่เราตามหามานานแต่บางครั้ง เพื่อนร่วมงานสุดรักอาจกลายเป็นเพื่อนแค้นสุดร้าย ที่อาจเกิดเหตุทะเลาะ ต่อสู้ ทั้งในเรื่องงงานและเรื่องส่วนตัวจนเป็นผลกับบรรยากาศการทำงาน และประสิทธิภาพในการทำงานที่เราอาจไม่รู้ตัว
ผิดใจกันอย่านินทา
เรื่องกอสสิปในออฟฟิศอาจส่งผลมาเร็วอย่างไม่คาดคิด จริงอยู่ว่าบุคคลที่เราเล่าให้ฟังนั้นอาจไว้ใจได้ แต่เราไม่รู็ว่าการพูดคุยนินทาในออฟฟิศนั้นมีใครได้ยินบ้าง นอกจากจะส่งผลให้เราดูแย่แล้ว ยังทำให้บรรยากาศการทำงานโดยรอบเสียอีกต่างหาก ถ้าอยากบ่นทางเลือกแรกอาจไม่ใช่ในออฟฟิศ หรือคนในออฟฟิศเดียวกัน กลับบ้านไปบ่นให้ครอบครัว หรือโทรหาเพื่อนสนิทจะดีกว่า
อย่ารอจนเป็นเรื่องใหญ่
หากเกิดเรื่องขุ่นเคืองไม่พอใจกัน อย่าลืมว่าเมื่อมาทำงานเราต้องใช้หลักเหตุผลผู้ใหญ่ในการตัดสินใจหาสาเหตุแล้วรีบคุย รีบเคลียร์ จะได้กลับมาทำงานได้เต็มที่ อย่ารอให้เรื่องเกิดขึ้นซ้ำๆ จนมีศัตรูในที่ทำงาน
คุยกันต่อหน้า
อย่างที่บอกว่าให้รีบคุยรีบทำความเข้าใจกัน ทางที่ดีควรพูดกันต่อหน้า การพิมพ์คุยกันหรือโทรศัพท์ อาจทำให้คุณตีความความรู้สึกได้ไม่ดีเท่าการคุยต่อหน้า และช่วยให้คุณเข้าใจกันมากขึ้น
หาข้อตกลงร่วมกัน
ลองคุยและถกเถียงจนกว่าจะหาตรงกลาง จุดร่วมที่จะช่วยแก้ปัญหา ถ้าหากปัญหาที่เกิดคือการทำงานของทั้งสองฝ่าย เพราะยังไงก็ตามเราก็ย่อมให้งานออกมาดีที่สุดสำหรับบริษัท และอยากมีบรรยากาศการทำงานที่ดี ลองทำความเข้าใจและหาข้อตกลงร่วมกันให้ได้เพื่อความสุขในที่ทำงาน
เปิดใจและฟัง
ตอนทำความเข้าใจกันอย่าลืมเป็นผู้ฟังที่ดีเปิดใจและยอมรับด้วย
ใจเย็นๆ
อย่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ อย่าใช้คำพูดรุนแรงเกินเรื่องหรือพลั้งปากพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ค่อยๆ คิดและปรับอารมณ์ให้เย็นลง
เรียนรู้จากข้อโต้แย้งและนำมาปรับใช้
การผิดใจกับเพื่อนร่วมงานหนึ่งคนว่าแย่แล้ว คงจะไม่ดีถ้าเกิดเหตุการณ์ซ้ำกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นอีก เมื่อเคลียร์และทำความเข้าใจกันเรียบร้อย อย่าลืมนำบทเรียนและสิ่งที่พูดคุยกันมาปรับใช้กับตัวเองเป็นประสบการณ์การทำงานที่จะไม่ก่อปัญหาอีกในคราวหน้า
ขอบคุณที่มา : Bustle