การทำอาชีพเกษตรเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ทำให้หลายๆ ครอบครัวได้มาทำกิจกรรมรวมกัน โดยที่ไม่ต้องออกไปทำงานยังเมืองใหญ่เพื่อหารายได้ ซึ่งการยึดอาชีพการเป็นเกษตรกรอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เมื่อมีประสบการณ์ได้ลองผิดลองถูก พร้อมทั้งมีกำลังใจจากคนในครอบครัวที่ให้การสนับสนุนกันอยู่ตลอด สิ่งนี้เองจึงทำให้เกษตรกรผู้ประสบผลสำเร็จต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นอกจากจะมีความสุขที่ได้มาทำเกษตรแล้ว ความสุขแท้ที่ได้รับคือทุกคนในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา และรักษาสิ่งที่กำลังทำเป็นมรดกส่งต่อไปให้ลูกหลานต่อไป
คุณอิษฏ์ฐะ ทองเจิม หรือคุณเบส ได้หันหลังให้กับเมืองใหญ่มากำหนดชีวิตในสายอาชีพใหม่ โดยปรับการทำเกษตรของครอบครัวสมัยคุณพ่อคุณแม่ แบ่งมาทำเป็นเกษตรผสมผสานในพื้นที่ 2 ไร่ แต่สามารถสร้างรายได้ทุกวัน จากจุดเริ่มต้นนี้เองสวนเกษตรผสมผสานของเขา จึงไม่ได้จำหน่ายสินค้าทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนในด้านแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้สนใจท่านอื่นๆ ได้เข้ามาศึกษาองค์ความรู้นำไปพัฒนาในที่ดินของตัวเอง
คุณเบส เล่ามุมมองของอาชีพสมัยก่อนให้ฟังว่า เมื่อจบการศึกษาแล้วได้ทำตามความฝันของครอบครัว คือการทำงานประจำรับราชการ ซึ่งช่วงที่ทำงานประจำอยู่นั้น ได้หาเวลาว่างมา ทดลองทำเกษตร เพราะอยากปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรผสมผสานที่ฉีกแนวไปจากการทำเกษตรของครอบครัวคือการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ในขณะนั้นจึงมองว่าการทำเกษตรประณีตน่าจะตอบโจทย์ของการสร้างรายได้แบบครบวงจร
“พอมีเวลาจากงาน ผมได้กลับบ้าน ผมก็จะใช้เวลาช่วงนี้มาปลูกนั่น ทดลองนี่ไปเรื่อยๆ พอทุกอย่างลงตัวและผลผลิตเห็นเป็นประจักพยาน เหมือนผมเตรียมตัวทุกอย่างไว้หมดแล้ว ทีนี้ผมก็เลยลาออกจากงานประจำมาตอนปี 2558 มาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัว โดยมาทำในสิ่งที่ผมเตรียมการไว้หมดแล้วในพื้นที่ 2 ไร่ เป็นการจัดสรรที่ดินออกมาจากการทำพืชเชิงเดี่ยวของครอบครัว คือสวนปาล์มน้ำมัน เพราะราคาบางช่วงก็ตกต่ำลงมามาก ผมจึงมองว่าการทำเกษตรผสมผสานของผมน่าจะตอบโจทย์ในเรื่องของการมีรายได้ทุกวัน นำเงินมาหมุนเวียนได้” คุณ เบส บอก
การจัดสรรพื้นที่ 2 ไร่ มีแบ่งพื้นที่สำหรับการเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผักสวนครัวหลายๆ ชนิด และเนื้อที่ตรงไหนที่สภาพดินไม่ดี ถ้าปลูกพืชไปแล้วอาจจะไม่ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ จึงได้ทำการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินเข้ามาช่วย เพราะนอกจากจะควบคุมในเรื่องของคุณภาพได้แล้ว ยังสามารถวางแผนการผลิตให้มีผักจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี
พืชผักที่ปลูกในระบบไม่ใช้ดินหรือไฮโดรโปนิกส์นั้น ได้วางแผนนำผักสลัดเข้ามาปลูกทั้งหมด เพราะในพื้นที่ลูกค้านิยมบริโภค จึงทำให้เห็นช่องทางการสร้างรายได้จากการปลูกผักสลัดในระบบไฮโดรโปนิกส์
“ผมได้ไปศึกษาตลาดมาว่า ลูกค้าส่วนมากเขาไปซื้อผักสลัดจากที่ไหนกัน ก็ได้คำตอบว่านอกจังหวัดพังงา พอสวนผมมาปลูก ก็มีร้านอาหารเข้ามาสั่งจอง และบางส่วนก็เป็นลูกค้าที่เป็นบุคคลทั่วไป โดยผักสลัด 1 โต๊ะปลูก ขนาดแปลง 2×7 เมตร จะให้ผลผลิตต่อแปลงเฉลี่ยอยู่ที่ 30 กิโลกรัม ขายอยู่ที่กิโลกรัม 150 บาท จะเก็บส่งขายทุกสัปดาห์ให้กับร้านค้าและลูกค้าทั่วไป หมุนเวียนแบบนี้ตลอดทั้งปี” คุณเบส บอก
นอกจากนี้ ยังมีไก่ไข่และเป็ดไข่ที่เลี้ยงไว้ภายในสวน ก็ทำรายได้ให้กับเขาได้ด้วยเช่นกัน เพราะสามารถเก็บไข่ส่งขายได้ทุกวัน ซึ่งการเลี้ยงสัตว์ปีกเหล่านี้จะเน้นใช้อาหารลดต้นทุนเข้ามาช่วยเลี้ยง โดยหาพืชและผลไม้ตามฤดูกาลเข้ามาช่วย จึงทำให้ไข่ที่ได้มีรสชาติแตกต่างไปจากการเลี้ยงด้วยอาหารทั่วไป ซึ่งราคาไข่ที่จำหน่ายคละไซซ์อยู่ที่ฟองละ 6 บาท
ในพื้นที่ 2 ไร่ แต่สามารถทำรายได้ทุกวัน คุณเบส บอกว่า รู้สึกภูมิใจที่ได้ตัดสินใจในครั้งนั้นผันตัวมาทำเกษตรผสมผสาน ทำให้การใช้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปจากที่เคยอยู่ในเมือง ได้มาสร้างประสบการณ์ชีวิตทางการเกษตรด้วยตัวเอง จนเกิดความชำนาญและสามารถบอกสอนให้กับ ผู้สนใจท่านอื่นๆ นำไปประกอบอาชีพจนเกิดรายได้
“สำหรับผมตอนนี้ การทำเกษตรทำให้ชีวิตผมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ต้องอยากอยู่แต่ในเมืองใหญ่เพื่อไปหาเงิน แต่ได้กลับมาอยู่บ้านได้มาทำเกษตรแล้ว ทำให้เรามีชีวิตแบบใหม่ ชีวิตที่เราสามารถเลือกได้ มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น เพราะถ้าไม่ได้มาทำการเกษตร เราก็คงไม่ได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวแบบนี้ เพราะสิ่งที่เราทำมันช่วยส่งเสริมให้เราช่วยเหลือ ทำในสิ่งที่เป็นอาชีพของเรา และแต่ละคนไม่ต้องแยกกันอยู่ แต่ทุกคนมาอยู่รวมกัน ได้ดูแลซึ่งกันและกัน เป็นอีกหนึ่งความสุขมากครับ หลังจากที่ผมมาทำเกษตร” คุณเบส บอก
สำหรับท่านใดที่สนใจการทำเกษตรผสมผสานหรือต้องการเข้าไปศึกษาดูงาน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณอิษฏ์ฐะ ทองเจิม หรือ คุณเบส ณ บ้านเลขที่ 5/2 หมู่ที่ 2 ตำบลถ้ำน้ำผุด อำเภอเมือง จังหวัดพังงา หมายเลขโทรศัพท์ 080-228-9166
ความเห็น 0