โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ผู้ค้านํ้ามันที่ผันตัวมาลุย non-oil กันมากขึ้นหลังวิกฤติโควิด - เชื้อเพลิง1-01

LINE TODAY SHOWCASE

เผยแพร่ 20 ก.ย 2565 เวลา 06.55 น. • เชื้อเพลิง1-01

ในไทยเราในอุตสาหกรรมพลังงานหลายรายปรับแผนการลงทุนหลังจากวิกฤตโควิด ไม่เว้นแม้แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจค้าน้ำมัน ซึ่งหลายๆ แบรนด์เริ่มปรับตัวไม่ได้จำหน่ายแค่นํ้ามันกันมากขึ้นแล้ว ซึ่งไม่ใช่แค่ในไทยเราเท่านั้นต่างประเทศเองก็ประสบปัญหาและมีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ที่มีปัญหาเรื่องปริมาณการใช้พลังงานที่ลดลงอย่างรุนแรง รวมทั้งเทรนด์พลังงานสะอาดกำลังมาแรงและเติมโตขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้บริษัทพลังงานทั้งหลายเริ่มต้องปรับตัวหาทางพึ่งพารายได้จากนํ้ามันให้น้อยลง และเพิ่มรายได้ส่วนอื่นเข้ามาทดแทนในอนาคตกันมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น PTT Station ที่ทำธุรกิจค้าน้ำมันมาได้พักใหญ่ รวมถึงการมีแบรนด์กาแฟอย่าง คาเฟ่ อเมซอน ที่พัฒนาเองมาตั้งแต่มี 2545 และยังมีร้านอื่นๆ ที่เป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์อีกหลายเจ้า ยกตัวอย่างเช่น เท็กซัสชิกเก้น ฮั่วเซ่งฮง ติ่มซำ หรือแม้กระทั่งร้านสะดวกซื้ออย่าง Jiffy และครอบคลุมไปถึงธุรกิจโลจิสติกส์ หรือแม้กระทั่งธุรกิจซ่อมบำรุงรถยนต์ในปั๊มอย่าง FIT Auto อีกด้วย

บางจากเองก็ถือเป็นอีกบริษัทนํ้ามันที่ครบวงจรในด้านของธุรกิจพลังงานด้วยเช่นกัน ซึ่งในปัจุบัน บางจาก เองก็มีแผนเปิดสถานีบริการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เพิ่มมากกว่า 80 สาขาทั่วประเทศในปี 2565 ที่จะมีพื้นที่อำนวยความสะดวกมากขึ้น และแน่นอน ร้านกาแฟ บางจากเองก็มี inthanin เป็นของตัวเองเช่นกัน และในปัจจุบัน บางจากเองก็กำลังตั้งโรงงานผลิต SAF หรือเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืนอยู่ด้วย

มากันที่ปั๊มอีก 1 เจ้าของไทยที่มีการเติบโตเร็วมากในปีนี้ และในรอบนี้มาพร้อมแผนลุย Non-oil เพื่อดันสัดส่วนกำไรสู่ระดับ 50% ซึ่งตัว PT เองก็มีธุรกิจหลายอย่างมาก ทั้งธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม ธุรกิจ Retail ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจซ่อมบำรุง คือเอาจริง ยังมีอีกเยอะ แต่เท่านี้ก็น่าจะเห็นแล้วว่ากลุ่ม PT เองก็มีธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับนํ้ามันเยอะมากอยู่แล้วเช่นกัน

และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ในไทยที่หันมาลุยธุรกิจ non-oil กันมากขึ้น เราข้ามฟากมาดูต่างชาติกันบ้างว่ามีแบรนด์ใด เปลี่ยนแปลงบ้าง อย่าง Shell กับ BP เองก็ตั้งเป้าขยายร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้นทั่วโลกเช่นกัน เพราะในช่วงในช่วงวิกฤตโควิด ทั้ง 2 ค่ายเองก็เจอปัญหาการลดการใช้พลังงานลงไปอย่างรุนแรงเหมือนกัน (ยิ่งใหญ่มากก็ยิ่งเจ็บมากด้วย)

โดย Shell เองมีลดเงินปันผลลงถึง 2 ใน 3 และ Shell เองถึงกับเสียตำแหน่งบริษัทมูลค่าสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์อังกฤษไปให้กับบริษัทยาอย่าง Astrazeneca ที่ลุยผลิตวัคซีนโควิดนั้นเอง ส่วนทาง BP เองก็มีปลดพนักงานร่วม 10,000 คน หรือประมาณ 15% จากพนักงานทั่วโลกของเค้า รวมถึงยักษ์ใหญ่ฝั่งยุโรปทั้ง 2 หันมาลงทุนในธุรกิจ Non-Oil อย่างร้านสะดวกซื้อ จากการเห็นประโยชน์จากการเพิ่มร้านสะดวกซื้อในปั๊มมากขึ้น จากที่หลังโควิดผู้คนเริ่มแวะตามที่ต่างๆน้อยลง อย่างถ้าเติมนํ้ามันก็แวะซื้อของด้วยเลย ทำให้รายได้จากร้านสะดวกซื้อมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงหลังโควิด โดย Shell ตั้งเป้าจะขายร้านสะดวกซื้อถึง 55,000 แห่งทั่วโลก ภายในปี 2025 ทาง BP เองก็มีแผนตั้งร้านสะดวกซื้อเพิ่มถึง 29,000 แห่งทั่วโลก ภายในปี 2030 เช่นกัน

เรียกได้ว่าโควิดนี้รุนแรงจนไม่มีใครตั้งตัวและมีผลกระทบมากมายทั้งธุรกิจขนาดเล็กจนไปถึงขนาดใหญ่ ที่ใครๆ อาจคิดไม่ถึง

0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0