ในมหามงคลการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก หลังจากพราหมณ์ทูลเกล้าฯ ถวาย เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องราชูปโภคแล้ว พระมหากษัตริย์จะพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการแก่ประชาชน เพื่อแสดงถึงพระราชปณิธานในฐานะทรงเป็นผู้รับพระราชภาระแห่งบ้านเมือง
โดยในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ เมื่อเวลา๑๒.๑๙ น. วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอดและครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป”
แต่หากย้อนดู “พระปฐมบรมราชโองการพระมหากษัตริย์ ๑๐ รัชกาลแห่งกรุงรัตนโกสินทร์”
จะพบว่า พระปฐมบรมราชโองการในรัชกาลที่ ๑ ถึง ๕ ที่พระราชทานมีเนื้อความคล้ายคลึงกัน “พรรณพฤกษ ชลธี แลสิ่งของในแผ่นดิน ทั่วเขตพระนคร ซึ่งหาผู้หวงแหนมิได้นั้น ตามแต่สมณชีพราหมณาจารย์ราษฎรปรารถนาเถิด”
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องมีพรรณพฤกษ ชลธี มีสมณชีพราหมณาจารย์ราษฎร “ประชาชาติธุรกิจ”รวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์มาไขข้อสงสัย
โดย “พลตรีหม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี” ได้กล่าวในการปาฐกถาชุด “สิรินธร” ครั้งที่ ๒๘ เรื่อง“การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยเชิงวิเคราะห์สถาบันพระมหากษัตริย์ในปริบทสังคมไทย” เมื่อวันพฤหัสที่ ๑๔ กุมภาพันธุ์ ๒๕๕๖ ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
“...ในสมัยรัตนโกสินทร์ สิ่งสำคัญคือ พระปฐมบรมราชโองการในรัชกาลที่ ๑ ความว่า “พรรณพฤกษ ชลธี แลสิ่งของในแผ่นดิน ทั่วเขตพระนคร ซึ่งหาผู้หวงแหนมิได้นั้น ตามแต่สมณชีพราหมณาจารย์ราษฎรปรารถนาเถิด” เป็นสัญญาประชาคมคือการให้เสรีภาพในทรัพย์สินว่า หากไม่มีใครหวงแหน ประชาชนก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ นี่คือพระราชกรณียกิจของพระองค์ในการอุปถัมภ์ประชาชน…“
ขณะที่ “ศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ได้อธิบายถึงความหมายในพระปฐมบรมราชโองการรัชกาลก่อนหน้านี้ ในการบรรยายพิเศษเรื่อง“สถาบันพระมหากษัตริย์ในประวัติศาสตร์ไทย” เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ ในงาน สัมมนาวิชาการเรื่อง “ประวัติศาสตร์ชาติไทย” ของกระทรวงวัฒนธรรม มีใจความตอนหนึ่งระบุว่า
“…กฎหมายยังเขียนในสมัยอยุธยาว่าที่ดินในแว่นแคว้นของนครศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน จะพระราชทานผู้อื่นหามิได้ ฟังแล้วเหมือนกับเป็นเจ้าของแผ่นดินทุกตารางนิ้ว แต่เอาเข้าจริงก็ไม่เคยได้ทรงใช้สิทธิ์ในฐานะเจ้าของแผ่นดินทุกตารางนิ้วเลย เพราะว่ามีหน้าที่มีพระคุณที่จะต้องใช้แผ่นดินนั้นเพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อตัวเอง
ดังนั้น พระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนกระทั่งถึงสมัยกรุงเทพฯ ที่เมื่อเวลาบรมราชาภิเษก คือสวมมงกุฎ พระองค์ท่านจะต้องพูดเหมือนๆ กันหมด จะยกเว้นก็แต่รัชกาลที่ ๙ นี่แหละ เพราะเป็นกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว”
แต่ถ้าไปดูตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ – ๗ เรื่อยไปจนถึงสมัยพระเจ้าปราสาททอง ปฐมบรมราชโองการ กษัตริย์ทุกพระองค์ในอดีตจะต้องมี “ดูกร พราหมณ์ทั้งหลาย บรรดาพรรณพฤกษ์ชลธี ฤๅสิ่งของใดในพระราชอาณาเขตนี้ ซึ่งมิได้มีผู้ใดหวงกัน เราให้สมณชี พราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎร ใช้สอยตามปรารถนาเถิด”
“ก็ไหนว่าทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน ก็ใช่ แต่ทรงอนุญาตตั้งแต่ในวันที่สวมมงกุฎให้ … ดูกร คือตรัสกับพราหมณ์ พรรณพฤกษ์คือต้นไม้ ชลธี คือแม่น้ำ หรือสิ่งของในพระราชอาณาเขตนี้ที่ยังไม่มีผู้ใดหวงกันคือยังไม่มีเจ้าของครอบครอง เราให้บรรดาชีพราหมณ์ สมณพราหมณาจารย์ บรรดาราษฎรทั้งปวง ใช้สอยตามปรารถนาเถิด ไปใช้เถิด ไปจับจองเถิด ไม่มีหรอก คำว่าป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ ไม่ต้องไปดูกันแล้ว ไปจับไปจอง เว้นแต่หลวงเขาหวงกันไว้ก่อน ถ้าไม่ได้หวงก็ไปเถอะ”
แต่ในรัชกาลที่ ๙ พระบรมราชโองการแรก ได้ตรัสว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ไม่ได้ตรัสว่า ดูกร พราหมณ์ พรรณพฤกษ์ชลธีสิ่งของทั้งหลายในพระราชอาณาเขต ไม่มีผู้ใดหวงกัน เราอนุญาตให้สมณพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎรใช้สอยตามปรารถนาเถิด เพราะในระบอบประชาธิปไตย พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นเจ้าของพรรณพฤกษ์ชลธีสิ่งของเหล่านั้นอีกแล้ว ก็ต้องตรัสอย่างอื่น
“และอย่างอื่นก็คือเราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม แล้วโดยมากจำแค่นี้ รู้แค่นี้ จบแค่นี้ ความจริงพิธีบรมราชาภิเษกยังเดินต่อไม่เสร็จ หลังจากได้ตรัสเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงทรงหลั่งทักษิโณทก แล้วก็ทรงตรัสสัตยาวาจา สัตยาธิษฐาน “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” นั่นคือพระปฐมบรมราชโองการ นั่นคือคำสั่ง”
แต่ประโยคที่ตรัสต่อจากนั้นไปไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นความปรารถนา หรือเป็นการปฏิญาณ หรือเป็นการสมัครใจ ผูกพันตนเอง
“คำพูด ต่อจากเราจะครองแผ่นดินโดยธรรมนั้นคือคำพูดที่พูดกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง นั่นคือตั้งสัตยาธิษฐาน หลั่งทักษิโณทก ว่า จะขอยึดและทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมจรรยา ซึ่งเป็นประโยคที่ต้องตรัส เพื่อความสบายใจของอาณาประชาราษฎร แล้วเป็นคำสัญญาที่ผูกมัดระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎร ระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง นั่นคือความสำคัญของทศพิธราชธรรม”
ภาพประกอบ:
คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก