คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่าสมาธินั้นสำคัญกับชีวิตของเราอย่างไรบ้าง และเมื่อพูดถึงสมาธิ หลายคนอาจจะนึกถึงการนั่งสมาธิ หายใจเข้าและหายใจออกช้าๆ และจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานๆ
แต่ความจริงแล้ว เราสามารถมีสมาธิได้แม้จะไม่ได้กำลังนั่งสมาธิ และสามารถมีสมาธิได้ในขณะทำกิจกรรมต่างๆ โดยคนที่มีสมาธินั้นนอกจากจะทำให้ใจเย็นแล้ว ยังช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวลต่างๆ มีอารมณ์และจิตใจที่แจ่มใสยิ่งขึ้น และที่สำคัญก็คือสมาธินั้น ไม่ได้มีประโยชน์แค่กับผู้ใหญ่อย่างเราเท่านั้น แต่เด็กๆ เองก็ควรได้รับการฝึกให้มีสมาธิเช่นกันค่ะ
และการฝึกให้ลูกมีสมาธิ ก็ไม่ใช่แค่การสอนให้ลูกนั่งสมาธิเท่านั้นนะคะ เรามีวิธีอื่นๆ ที่จะช่วยฝึกให้ลูกเป็นเด็กมีสมาธิได้มาแนะนำคุณพ่อคุณแม่ค่ะ
1. ลองบอกลูกให้สังเกตร่างกาย ความคิด และอารมณ์ตัวเอง
เวลาที่ลูกเริ่มรู้สึกเครียด กดดัน หรือตื่นเต้น ลองบอกให้ลูกได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ความคิด รวมไปถึงอารมณ์ของตัวเอง เช่น เวลาที่หนูโกรธเพราะโดนแย่งของเล่น หนูรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ หนูรู้สึกร้อนที่หน้าหรือเปล่า หรือหายใจเร็วขึ้นไหม
การเปิดโอกาสให้ลูกได้สังเกตปฏิกิริยาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะทำให้ลูกรู้ทันสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง และมีสติพอที่จะรับมือกับตัวเองต่อไป
2. กอดลูกไปพร้อมกับหายใจเข้าออกช้าๆ
ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ให้คุณพ่อคุณแม่เข้าไปกอดลูก และสอนให้ลูกหายใจเข้าจนสุดลมหายใจ และหายใจออกช้าๆ ค่อยๆ ทำอย่างนี้ประมาณสามครั้ง เพื่อเป็นการรวบรวมสติและเตรียมความพร้อมสำหรับการออกไปทำกิจวัตรต่างๆ ต่อไป
3. ลองให้ลูกนับลมหายใจของตัวเอง
การนับลมหายใจตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำในขณะที่นั่งสมาธิเสมอไป แต่ไม่ว่าลูกจะกำลังนอนหรือนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกลองสังเกตและนับลมหายใจเข้าออกของตัวเองช้าๆ
วิธีการนี้จะช่วยให้เด็กโฟกัสและจดจ่ออยู่กับตัวเองมากขึ้น ผ่อนคลายจากความวิตกกังวลต่างๆ และสุดท้ายคือทำให้เขามีสมาธิมากขึ้นได้ในที่สุด
4. ให้ลูกฝึกฟังเสียงต่างๆ อย่างตั้งใจ
นอกจากการนับลมหายใจเข้าออกช้าๆ แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่จะทำให้ลูกมีสมาธิมากขึ้นได้ก็คือการตั้งใจฟังค่ะ การฝึกฟังเสียงต่างๆ ที่ได้ยิน สังเกตและบอกว่าเสียงนั้นคืออะไร เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ลูกมีสมาธิจดจ่อ และมีสติในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น เพราะเด็กจะเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสงบและใจเย็น เพื่อจดจ่อกับเสียงที่ได้ยิน
อ้างอิง