บทความพิเศษ | เทวินทร์ อินทรจำนงค์
วิกฤตสมาคมฟุตบอลไทย
: การเมือง กีฬา และแนวทางสู่การปฏิรูป
วงการฟุตบอลไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงสะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย
แต่ยังแสดงให้เห็นรากเหง้าของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกมานาน จากความขัดแย้งระหว่างบุคคลสำคัญ การเมืองภายใน และผลประโยชน์ทับซ้อน ได้กลายเป็นโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งศักยภาพของกิจการฟุตบอลไทย ท่ามกลางแรงกดดันจากหนี้สินมหาศาลและความคาดหวังจากแฟนบอลที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
มุมมองต่อไปนี้จะสะท้อนถึงที่มาของปัญหา วิเคราะห์ผลกระทบ และเสนอแนวทางปฏิรูปที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
เพื่อให้สาธารณชนได้ช่วยกันขบคิดหาทางออกต่อไป
ต้นตอวิกฤต
: การเมืองและอำนาจในวงการฟุตบอลไทย
– เนวิน-สมยศ พันธมิตรที่กลายเป็นคู่ขัดแย้ง
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในสมาคมฟุตบอลไทยสามารถย้อนกลับไปดูได้จากความสัมพันธ์ระหว่างนายเนวิน ชิดชอบ กับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เนวินก้าวเข้ามามีบทบาทในวงการฟุตบอลไทยตั้งแต่ปี 2552 โดยเปลี่ยนสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้กลายเป็น “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ซึ่งกลายเป็นทีมชั้นนำของไทยลีก
ในขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งมีตำแหน่งในบอร์ดบริหารของการไฟฟ้าฯ และความสัมพันธ์อันดีกับเนวิน ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ ในปี 2559
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้เริ่มสั่นคลอนเมื่อผลประโยชน์และแนวทางการบริหารงานเริ่มขัดแย้งกัน โดยเฉพาะในยุคที่สมาคมฯ ต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและคดีความ ซึ่งจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ เข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ ในปี 2566 ด้วยการสนับสนุนจากเนวิน
– คดีสยามสปอร์ต ระเบิดเวลาทางการเงิน
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ พล.ต.อ.สมยศตัดสินใจยกเลิกสัญญากับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของสมาคมฯ ในสมัยนายวรวีร์ มะกูดี การตัดสินใจนี้กลายเป็นชนวนของคดีความที่ยืดเยื้อ โดยศาลตัดสินให้สมาคมฯ ต้องชดใช้เงินกว่า 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ส่งผลให้สมาคมฯ ตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หนี้สินจำนวนนี้ไม่เพียงกระทบต่อการบริหารงานในยุคของมาดามแป้ง แต่ยังกลายเป็นตัวอย่างของการตัดสินใจที่ขาดการประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่สะสมมานานในสมาคมฯ
วิเคราะห์ปัญหา
: โครงสร้างที่บิดเบี้ยวของฟุตบอลไทย
– อำนาจนิยมและเครือข่ายผลประโยชน์
ความขัดแย้งในสมาคมฟุตบอลฯ ไม่ได้เกิดจากตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากโครงสร้างอำนาจที่ถูกครอบงำโดยกลุ่มผลประโยชน์ การเปลี่ยนตัวนายกสมาคมฯ ไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้หมด หากเครือข่ายอำนาจเบื้องหลังยังคงมีอิทธิพล การเมืองภายในและการแทรกแซงจากบุคคลภายนอกทำให้การบริหารงานขาดความเป็นอิสระและมีการมุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าการพัฒนาวงการโดยรวม
– การบริหารที่ขาดความโปร่งใส
กรณีคดีสยามสปอร์ตฯ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาการบริหารที่แสดงให้เห็นการไร้ระบบตรวจสอบ การตัดสินใจครั้งสำคัญมักเกิดขึ้นโดยขาดการปรึกษาหารือหรือการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนวงกว้าง ถ้าหากว่าสมาคมฯ มีกลไกที่โปร่งใสและมีการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ปัญหาเหล่านี้อาจไม่บานปลายจนกลายเป็นภาระหนี้สินที่ยากจะแก้ไขจนถึงวันนี้
– ผลกระทบต่อวงการฟุตบอล
ต่อทีมชาติ การบริหารที่ไร้เสถียรภาพส่งผลต่อการเตรียมทีมและผลงานในเวทีนานาชาติ
ต่อลีกอาชีพ ความไม่แน่นอนของสมาคมฯ ทำให้สปอนเซอร์ลังเล ส่งผลต่อรายได้และความมั่นคงของไทยลีก
ต่อโอกาสทีมเยาวชน งบประมาณที่ถูกตัดไปชดใช้หนี้ทำให้โครงการพัฒนานักเตะรุ่นใหม่ขาดแคลนทรัพยากร
เปรียบเทียบกับกรณีอื่น เหตุการณ์นี้คล้ายกับวิกฤตของสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (FIGC) ในช่วงปี 2006 ที่เผชิญกับกรณีเรื่องอื้อฉาว “คัลโชโปลี” ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ แม้บริบทจะต่างกัน แต่ทั้งสองกรณีแสดงให้เห็นว่ามีความขัดแย้งภายในและการบริหารที่ล้มเหลวสามารถนำมาซึ่งการทำลายศักยภาพของวงการกีฬาได้
ทางออกและแนวทางปฏิบัติที่เป็นไปได้
– ปฏิรูปโครงสร้าง การปรับปรุงความโปร่งใสคือกุญแจสำคัญ
สนับสนุนให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบการบริหารงานและป้องกันการทุจริต
เปิดเผยข้อมูลทางการเงิน อาทิ มีการใช้ระบบออนไลน์ (e-Governance) เพื่อให้แฟนบอลและสาธารณชนเข้าถึงข้อมูลเพื่อตรวจสอบได้
กรณีตัวอย่างที่มีการนำไปใช้ได้ ได้แก่ สมาคมฟุตบอลเยอรมนี (DFB) ที่มีระบบการเงินที่โปร่งใสและได้รับความไว้วางใจจากสาธารณะ เป็นต้น
ประเมินสถานการณ์ที่เป็นไปได้ หากการปฏิรูปสำเร็จ สมาคมฯ จะได้รับการสนับสนุนจาก FIFA และ AFC มากขึ้น แต่หากล้มเหลว อาจเผชิญกับการคว่ำบาตรจากองค์กรระดับโลกได้
– การเจรจาคลี่คลายหนี้ ลดภาระเพื่อเดินหน้าต่อ
ปรับโครงสร้างหนี้ อาทิ เสนอผ่อนชำระหรือลดยอดหนี้กับสยามสปอร์ตฯ
สร้างพันธมิตรใหม่ อาทิ ดึงสยามสปอร์ตฯ กลับมาเป็นหุ้นส่วนด้านสื่อเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
ตัวอย่างที่นำไปใช้ได้ ได้แก่ กรณีสโมสรฟุตบอลอังกฤษอย่างลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เจรจาลดหนี้สำเร็จได้ในช่วงวิกฤต
ประเมินสถานการณ์ที่เป็นไปได้ หากเจรจาสำเร็จ สมาคมฯ จะมีทรัพยากรไปลงทุนพัฒนาลีกและเยาวชน แต่ถ้าหากล้มเหลว ก็อาจต้องเผชิญกับการล้มละลาย
– ดึงภาคเอกชนเข้าร่วมเพื่อสร้างพลังใหม่แก่ฟุตบอลไทย
ให้เอกชนเข้าร่วมบริหารลีก โดยเปิดโอกาสให้บริษัทมืออาชีพเข้ามาดูแลไทยลีก
สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อลดการพึ่งพางบฯ จากสมาคมฯ โดยหันไปใช้รายได้จากสปอนเซอร์และลิขสิทธิ์ถ่ายทอดมาแทน
ตัวอย่างที่มีการนำมาใช้ ได้แก่ พรีเมียร์ลีกอังกฤษที่บริหารโดยเอกชนและสร้างรายได้มหาศาล
ประเมินสถานการณ์ที่เป็นไปได้ หากสำเร็จ ไทยลีกอาจกลายเป็นลีกชั้นนำในอาเซียน แต่ต้องระวังการผูกขาดจากกลุ่มทุนใหญ่บางกลุ่ม
สรุปและข้อเสนอแนะ
วิกฤตของสมาคมฟุตบอลไทยไม่ใช่ปัญหาแค่เรื่องของตัวบุคคล แต่เป็นอาการป่วยเรื้อรังของปัญหาโครงสร้างที่เต็มไปด้วยปัจจัยการเมืองและผลประโยชน์ทับซ้อน การปฏิรูปครั้งใหญ่จึงเป็นทางออกเดียวที่จะนำพาฟุตบอลไทยให้ก้าวไปสู่ระดับสากลได้
ข้อเสนอแนะหลักคือ ปฏิรูปโครงสร้าง เพื่อสร้างระบบที่โปร่งใสและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แก้ปัญหาหนี้สินโดยการเจรจาคลี่คลายหนี้เพื่อปลดล็อกปัจจัยด้านทรัพยากร ร่วมมือกับเอกชน เพื่อดึงพลังจากภายนอกเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพและเสริมสร้างรายได้
ท้ายที่สุด ฟุตบอลไทยจะก้าวข้ามวิกฤตได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน หากยังปล่อยให้การเมืองและผลประโยชน์ครอบงำต่อไป ความฝันที่จะเห็นทีมชาติไทยยืนหยัดในเวทีโลกก็อาจกลายเป็นเพียงภาพลวงตา
https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : วิกฤตสมาคมฟุตบอลไทย : การเมือง กีฬา และแนวทางสู่การปฏิรูป
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichonweekly.com