โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

จากท่านขุนแห่งอโยธยา สู่ซุปตาร์เรียลไรตี้

นิยาย Dek-D

อัพเดต 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา • อาโม
จากท่านขุนแห่งอโยธยา สู่ซุปตาร์เรียลไรตี้
เขาคือท่านขุนนักรบอโยธยา แต่จู่ๆก็ตื่นมาในร่างของวายุในยุคปัจจุบัน ดาราหน้าตาดีแต่ไม่มีทั้งความสามารถ ข่าวอื้อฉาวเพียบ รายการเรียลไรตี้ก็ต้องเข้าร่วม เรื่องหัวใจก็ต้องเจอกับขุนเขา…เอาหละสิ

ข้อมูลเบื้องต้น

จากอดีต

ชายหนุ่มผิวขาวใบหน้าเรียวนั่งเหม่อดวงตาจับจ้องไปทางนอกหน้าต่าง ยากที่จะรู้ว่าเจ้าของสายตาสีดำสนิทกำลังคิดอะไรอยู่

“วายุ วายุ ฟังพี่อยู่หรือเปล่า” พลวัตรหรือพล ผู้จัดการส่วนตัวขมวดคิ้วมองไปยังศิลปินในสังกัดที่นั่งเหม่อ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่หันจนต้องเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“วายุ”

นั่นทำให้วายุหลุดจากภวังค์ เขาหันกลับไปมองแล้วรีบพยักหน้า

“ฟัง ฟังอยู่” เขาตอบรับพลางยกมือขึ้นลูบขมับ รู้สึกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ช่างน่าเหลือเชื่อ

แท้จริงแล้วเขาคือทหาร คือนักรบผู้มีชีวิตในยุคอดีต เขาถูกลอบสังหาร วิญญาณที่หลุดออกจากร่างที่ตายดับ ไม่ได้เดินทางสู่สวรรค์หรือนรกอย่างที่เข้าใจ แต่กลับมาอยู่ในร่างนี้ ร่างของชายที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ร่างกายที่เขาใช้อยู่ตอนนี้ มีรูปร่างหน้าตาละม้ายกับเขาในอดีต แต่บอบบาง อ่อนแอและนุ่มนิ่มจนน่าหงุดหงิด

แม้แต่ผิวพรรณก็ขาวผ่องราวกับไม่เคยตากแดด

“ถ้าฟังอยู่ ไหนลองบอกมาสิว่าเมื่อกี้พี่พูดอะไร?” พลไม่เชื่อคำพูดของเขา

วายุเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะหนุ่มหน้าสวยไร้สมอง ไม่เพียงแต่ถูกวิจารณ์เรื่องทักษะการแสดง แต่ยังถูกนินทาเรื่องที่ไม่สามารถจำบทได้ บางครั้งผู้กำกับถึงขั้นต้องให้ครูสอนการแสดงมากำกับ ลือกันว่าวายุอาจจะเป็นนักแสดงคนเดียวที่มีคนคอยบอกบทให้ราวกับอยู่ในยุคจอขาวดำ

นั่นทำให้เขามีฉายาว่า “บอลลูน” ลูกบอลลูนสวยๆที่ลอยอยู่บนฟ้าแต่กลวงข้างใน

ด้วยเหตุนี้ ฉายาบอลลูนจึงเป็นเหมือนเงาดำติดตามตัวเขา

วายุกลอกตาพยายามคิดถึงสิ่งที่ได้ยินผ่านหูก่อนหน้านี้ แล้วพูดมันออกมา

“พี่บอกว่า ผมถูกเลือกให้ร่วมรายการ แล้วยังเป็นโปรเจคใหญ่ เป็นรายการรูปแบบใหม่ที่ให้คนดังไปใช้ชีวิตในชนบท แต่พี่กลัวว่าผมจะไม่ยอมรับมัน”

ระหว่างที่พูดดวงตาของวายุนั้นมั่นคงและพูดออกมาอย่างชัดเจนมั่นใจ พลถึงกับอึ้ง พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เขาอยู่กับวายุทุกช่วงเวลา ทั้งในตอนที่ดังสุดๆจนถึงตอนนี้ตอนที่วายุตกต่ำ มีแต่ข่าวอื้อฉาว

พลรู้ว่านอกจากหน้าตาแล้ววายุแทบไม่มีความสามารถอะไร แม้บางครั้งวายุจะหัวดื้อไปบ้าง แต่พลรู้ว่าเนื้อแท้ของน้องคนนี้เป็นเด็กดีจึงไม่เคยคิดที่จะทิ้งเขา

พลยิ้มแล้วยื่นมือไปขยี้ผมอย่างเอ็นดู “ว้าว…จู่ๆก็กลายเป็นคนความจำดีเสียอย่างนั้น” เขาไม่ได้ยอแต่ประทับใจจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรหลังๆมานี้เขามักจะรู้สึกว่าวายุมีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป

แต่เป็นไปในแง่ดี

วายุยิ้มให้เขาก่อนจะบอกว่า “ผมตกลงจะรับงานนี้”

พลเห็นว่าเขาตอบรับอย่างหนักแน่น ไม่งอแงหรือแสดงความหงุดหงิดที่ต้องไปอยู่ในชนบท เขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองอย่างชื่นชมปนประหลาดใจ

“ขอบใจที่รับงานนี้นะ คิดไม่ถึงเลยว่านายจะรับทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ประกาศว่าจะไม่ทำงานกับมิกกี้อีก”

ยิ้มได้ไม่นานพลก็ต้องหุบยิ้ม ดวงตาเบิกกว้างเมื่อคิดบางอย่างได้

“อย่าบอกนะว่าจะไปมีเรื่องกับเขาในรายการ ไม่ได้นะวายุ” แค่จินตนาการ เขาก็เหงื่อตกแล้ว

วายุและมิกกี้นั้นเข้าวงการมาพร้อมๆกัน ได้รับความสนใจและความนิยมสูสีกันมาตลอด จึงช่วยไม่ได้ที่จะกลายเป็นคู่แข่งกันไปโดยปริยาย

คู่แข่งกลายเป็นแค่อดีต เพราะตอนนี้มิกกี้ที่อยู่ในสังกัดใหญ่ ดังกว่าอย่างเห็นได้ชัด และนั่นสร้างความขมขื่นให้กับวายุ ทุกครั้งที่สองคนนี้เจอกัน ทีมงานจะต้องคอยระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น

พลพยายามมองทะลุความคิดของวายุเผื่อว่าเขาคิดที่จะไปมีเรื่องกับมิกกี้จะได้หาทางป้องกัน แต่ยังไงก็ต้องรับงานนี้ มันเป็นโปรเจคที่ดีมากๆ

“ว่าไงวายุ คิดอะไรอยู่ ทำไมไม่ตอบ เชื่อพี่เถอะนะ อย่ามีเรื่องกับมิกกี้อีกเลย ตอนนี้เราต้องโฟกัสไปที่การกลับมาดังอีกครั้งนะ”

วายุยิ้ม เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของพล เจ้าของร่างมีข่าวอื้อฉาวหลายครั้ง เขาถูกล้อเลียนและบูลลี่ในอินเทอร์เน็ตมานานนับปี หากมีปัญหาอีกครั้งอนาคตในวงการคงดับลงจริงๆ

“ไม่ต้องกังวลหรอก มีงานเข้ามาก็ต้องทำ ทำไมต้องไปมีเรื่องกับใครด้วยล่ะ”

วายุคนเดิมคงจะไม่ยอมตกลงง่ายๆ อีโก้ของเขานั้นสูงเสียดฟ้า เขายินดีจะอยู่บ้านเฉยๆมากกว่าจะไปทำงานที่เขาไม่พอใจ ส่วนเขาที่เพิ่งมาอยู่ในร่างนี้คิดว่า แทนที่จะซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน เขาควรออกไปข้างนอกและปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่ให้เร็วที่สุด

แม้ว่าก่อนที่เขาจะมาถึงเจ้าของร่างแทบจะไม่อยากทำงานนี้แล้ว แต่เขาไม่สามารถทิ้งร่างไปได้ ดังนั้นเขาต้องหาทางรอด

เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องการกลับไปสู่โลกอดีตเพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาที่นี่ได้ยังไง และเท่าที่เห็นโลกปัจจุบันก็ไม่ได้เลวร้าย ใครจะคิดว่าพวกเขาสามารถนั่งสิ่งที่เรียกว่ารถแทนม้าหรือเกวียน แล้วที่น่าปลื้มใจที่สุดก็คือในยุคนี้เขาไม่ต้องผ่าฟืนเพื่อหุงข้าว

วายุเป็นศิลปินคนเดียวในสังกัดของพล หลายเดือนแล้วที่เขาปล่อยให้วายุพักผ่อนเพื่อหลบจากแรงกดดันของข่าว แต่สายป่านของบริษัทไม่ได้ยาวขนาดนั้น พวกเขาต้องการรายได้ เมื่อเห็นว่าวายุยินยอมที่จะรับงานนี้จริงๆ พลก็โล่งใจ

อายุที่ต่างกันสิบปีทำให้พลมองวายุเสมือนน้องชายมาโดยตลอด เขาหวังจะให้วายุกลับมาโด่งดังอีกครั้ง

“วายุ…พี่ไม่ได้คาดหวังว่านายจะโตขึ้นขนาดนี้ ขอบใจนะที่รับงานนี้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่พี่ต้องเตือนเอาไว้ ขุนเขาจะเข้าร่วมโปรเจคนี้ด้วย ดังนั้นนายอาจจะต้องระวังตัวมากหน่อย ห้ามไปทะเลาะกับเขาในรายการนะ”

หนึ่งในข่าวฉาวที่สร้างแอนตี้แฟนกลุ่มใหญ่ให้วายุก็มาจากการที่เขาไปสารภาพความรู้สึกต่อขุนเขากลางสื่อ การกระทำหุนหันพลันแล่นนี้ส่งผลให้เขาเสียฐานแฟนคลับ และยังถูกแฟนคลับของขุนเขาตามด่ามาจนถึงทุกวันนี้

ถ้าทำได้พลก็ไม่อยากให้สองคนนี้มาเจอกันในรายการ แต่เขาไม่มีทางเลือก ตอนนี้บริษัทพวกเขาไม่มีรายได้ และการเข้าร่วมรายการที่มีขุนเขาอยู่ ก็เท่ากับรับประกันเรตติ้งและอาจจะช่วยเรียกกระแสให้วายุได้”

“เข้าใจแล้วครับ” วายุตอบหลังจากคิดอยู่นาน เขาพยายามค้นความทรงจำแต่ก็นึกไม่ออก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนที่ชื่อขุนเขากับเจ้าของร่าง แม้แต่หน้าตาของขุนเขาเป็นยังไง เขาก็นึกไม่ออก

เอาเถอะ…

“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม จัดบ้านให้เรียบร้อย อีกวันสองวันทีมงานจะมาถ่ายทำที่คอนโดนาย อย่าลืมนะพวกเขาจะมาถ่ายที่คอนโด ระวังเรื่องภาพลักษณ์ด้วย”

พลย้ำแล้วย้ำอีกก่อนจะแยกย้ายกัน

หลังจากอยู่คนเดียววายุก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาชื่อของใครบางคน เขาอยากจะรู้นักว่าคนที่สั่งฆ่าเขาจบชีวิตยังไง สิ่งที่ดีที่สุดของยุคนี้คือสามารถค้นหาทุกอย่างได้ผ่านทางสิ่งที่เรียกว่า โทรศัพท์มือถือ

ในระหว่างที่กำลังค้นหาก็มีข้อความส่งเข้ามาจากบัญชีไลน์ ไม่มีชื่อมีแค่เครื่องหมายคำถาม

วายุขมวดคิ้วจ้องข้อความนิ่งนาน

ใครวะ?

ยังไม่ทันได้คำตอบก็มีข้อความส่งเข้ามาอีก วายุถอนหายใจอย่างหมดความอดทน เขาคิดว่าเป็นพวกแอนตี้แฟน

“น่ารำคาญ แกล้งอยู่ได้”

วายุจัดแจงบล็อกบุคคลนั้นทันที

อีกด้านหนึ่ง ขุนเขาที่รอนานแล้ววายุไม่ตอบข้อความกลับเสียทีจึงส่งข้อความย้ำว่า

“เรากำลังจะต้องอยู่ในรายการเดียวกัน อย่าลืมว่าต้องทำเป็นไม่สนิทกัน ห้ามหลุดพูดออกมานะว่าเราเป็นอะไรกัน”

บล็อก!

“บล็อก บล็อก เขาบล็อกผม” ขุนเขาตะโกนลั่นรถตู้ สีหน้าช็อคหันไปทางภพหรือพิภพผู้จัดการส่วนตัวที่ขับรถอยู่ข้างหน้า

“เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า เขากล้าบล็อกผมไปได้ยังไง”

พิภพกระวนกระวายเล็กน้อย ด้านหน้าก็ถนนที่มีการจราจรขวักไขว่ ด้านหลังก็นักแสดงในสังกัดที่หงุดหงิด

“ถ้าเขาบล็อกนายก็ถือว่ากล้าหาญมาก” พวกเขากำลังเดินทางไปถ่ายแบบ พิภพมองสีหน้าขุนเขาผ่านทางกระจกมองหลัง เห็นถึงความผิดหวังที่ฉายชัดบนหน้า

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกันเหรอ?”

ในสายตาของแฟนๆ ขุนเขาคือนักแสดงที่มุ่งมั่นในหน้าที่การงาน ไม่สนใจเรื่องความรัก เป็นคนสุขุมและเอาจริงเอาจัง แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงภาพลักษณ์ มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าตัวจริงของขุนเขานั้นไม่ต่างอะไรจากเด็กประถม ใจร้อน ขี้หงุดหงิด ขี้โวยวาย ขี้น้อยใจ

ขุนเขาแหงนหน้าไปข้างหลัง แขนสองข้างกางออกขายืดออกไปข้างหน้าแล้วดิ้นเหมือนเด็กที่ถูกแม่ขัดใจพลางโวยวายว่า

“วายุบล็อกผม วายุบล็อกผม” เขากรีดร้องซ้ำๆอยู่สักพักก่อนจะหยุดขยับตัวนั่งตรง กอดอกมองออกไปนอกหน้าต่าง ครั้งสุดท้ายที่พิภพเห็นคนทำท่าทางแบบนี้ก็คือหลานชายวัยสองขวบ

แต่ขุนเขาไม่ได้อายุสองขวบ….

“เขากดผิดหรือเปล่า วายุคลั่งนายจะตาย ยากเย็นแค่ไหนกว่าจะได้ไลน์นายไป แล้วจู่ๆจะมาบล็อกกันอย่างนี้เหรอ ไม่น่า…”

ขุนเขาสะบัดหน้ากลับมา สบตากันผ่านกระจกมองหลัง “แต่เขาก็บล็อกกผมแล้ว ตอนแรกทำเป็นดีใจนักหนาที่ได้ไลน์ผมไป แล้วดูสิ” เขาทำท่าคิดเหมือนอารมณ์จะสงบลงก่อนจะโวยวายขึ้นอีกครั้ง

“ด้ายยยย ในเมื่อเขาบล็อกแบบนี้ ผมก็เข้าใจแล้วว่าหมายความว่ายังไง ถ้าเขาไม่ไปสนใจคนอื่นก็โกรธอะไรผมสักอย่าง หรือไม่ก็แค่เล่นตัว ชิ” ขุนเขาสะบัดหน้าหนีไปทางหน้าต่างอีกรอบ

“โอเค…ในเมื่อเขาทำแบบนี้ นายก็อย่าไปหงุดหงิดเลยนะ นายคือขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่ คนอื่นต้องมาอ้อนวอนขอความรักจากนาย อย่าให้ใครมาเล่นกับความรู้สึกของนาย” พิภพพยายามทำให้ขุนเขาใจเย็น แต่ผลกลับตรงข้าม

“เล่น? ใครเล่น? ใครเป็นของเล่นของใคร ให้ตายเหอะ…คนอุตส่าห์จะส่งข้อความไปเตือนแท้ๆ”

พิภพได้แต่ลอบถอนหายใจ ขุนเขาคนเท่ก็แค่ภาพลักษณ์ ตัวจริงไม่เกินสามขวบ ถึงจะเหนื่อยแต่เขาก็ยังต้องปลอบใจขุนเขาอยู่ดี

“ใจเย็นๆ หลังจากนี้ถ้าเจอกันค่อยคุยว่าจะเอายังไงต่อ ทำจิตใจให้มั่นคงไว้ นายต้องเป็นผุ้คุมเกมส์ รักษาความเยือกเย็นเอาไว้เข้าใจไหม?”

“จะให้ใจเย็นอยู่ได้ยังไง กล้ามาบล็อกไลน์ผม คนอื่นเขาแทบจะกราบกรานเพื่อให้ได้มันไป ชิ…วายุ สมองเสื่อมไปแล้วมั้ง” เขาดึงฮุ้ดขึ้นคลุมหัว ดึงจนปลายฮู้ดปิดใบหน้า เอนเก้าอี้ลงแล้วกอดอก

“ช่างแมร่ง…ไม่สนใจแล้ว ผมจะนอนพัก”

พิภพได้แต่มองแล้วถอนหายใจ ทำไมจะไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่ทำเป็นพูดไปอย่างนั้น ขุนเขาไม่มีทางนอนหลับลงหรอก

เพจอย่างเป็นทางการของรายการ Law of outing ประกาศรูปแบบรายการพร้อมรายชื่อแขกรับเชิญทั้งหกคน แน่นอนว่าทั้งหกคนคือดาราและคนดังที่ต่างก็เป็นที่นิยม แต่สามรายชื่อที่ทำให้เพจรายการแทบระเบิด วายุ มิกกี้ และขุนเขา สามคนที่มีข่าวพัวพันทำให้แฟนคลับกรีดร้อง

[ นี่มันรายการอะไรกัน ถึงได้เอาสามคนนี้มารวมกันได้ ]

[ ใช่…วายุไม่น่าแปลกใจหรอก เขาแทบไม่มีงาน คงรีบตอบรับแทบไม่ทันเลยล่ะ แต่มิกกี้กับขุนเขานี่สิ ]

[ ท่านขุนเขาของพวกเราจะออกรายการวาไรตี้เหรอเนี่ย ฉันต้องรอดูแล้ว ]

[ Law of outing เห็นได้ชัดว่าโปรดิวเซอร์รายการนี้ แม่งก็อปเกาหลีมา เอา Family outing กับ Law of jungle มายำรวมกัน สมแล้วที่เป็นทีมงานไทย ไม่อายที่จะลอก ]

ในขณะที่แฟนๆของดาราคนอื่นตื่นเต้น แอนตี้แฟนของวายุก็เริ่มทำงาน พวกเขาเริ่มจากการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการตัดสินใจรับงานนี้ และคาดเดาถึงภาพลักษณ์ที่วายุจะแสดงในรายการ ยิ่งคอมเม้นต์กันมากเท่าไหร่ รายการก็ยิ่งได้รับความสนใจมากเท่านั้น

ไม่ถึงชั่วโมง ชื่อของรายการก็ขึ้นสู่คำค้นหาอันดับหนึ่ง และครองหน้าฟีดทวิตเตอร์หรือเอ๊กซ์ในทันที

เสียงกรีดร้อง เสียงปรบมือของทีมงานดังก้องสตูดิโอ ยังไม่ทันเริ่มก็ได้รับการสนใจแล้ว คิดถูกจริงๆที่พยายามจนเอาสามคนนี้มาได้

Law of outing กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

วายุคนจริง

ลอว์ออฟเอ้าติ้ง ได้เริ่มขึ้นแล้ว

รายการเรียลไรตี้ตามที่โปรดิวเซอร์ได้บอกว่าเป็นรายการรูปแบบใหม่ แท้จริงแล้วก็คือรายการที่รวมเอาข้อดีของ รายการเรียลลิตี้และวาไรตี้เอาไว้ด้วยกัน

แค่ชื่อผู้ร่วมรายการก็เรียกความสนใจอย่างมากมาย แล้วยังมีรูปแบบรายการที่แปลกใหม่มีการไลฟ์สด คอมเม้นต์เรียลไทม์ จึงมีผู้ชมมากมายตั้งแต่เริ่มรายการ

การถ่ายทำเริ่มต้นจากการเตรียมตัวก่อนเดินทาง พวกเขาถึงขั้นแบ่งทีมงานออกเป็นสี่ทีม สำหรับแขกรับเชิญสี่คนแรก ส่วนสองคนที่จะมาสมทบทีหลังจะมีการถ่ายทำแยกต่างหาก

เพื่อให้ได้ความเรียลตามที่ผู้กำกับต้องการ พวกเขาไม่ได้บอกแขกรับเชิญล่วงหน้าว่าจะมากี่โมง พวกเขาเริ่มถ่ายทอดสดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แค่เปิดรายการจำนวนผู้ชมก็ทะลุหลักหมื่นไปเรียบร้อยแล้ว

“คุณผู้ชมครับ เดาสิว่าพวกเราอยู่ที่บ้านของดาราคนไหน?” โปรดิวเซอร์ที่อยู่หลังกล้องเริ่มต้นด้วยการทักทายจากหน้าประตู พวกเขาอยู่ในคอนโดแห่งหนึ่ง ทีมงานทำการปิดเลขที่ห้องเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของคนดัง

“อีกสิบนาทีจะเจ็ดโมง มาดูกันว่าคนดังของเราจะตกใจแค่ไหนที่ได้เห็นทีมงานแต่เช้า และสภาพของเขาจะเป็นยังไง”

นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริง ธรรมชาติของคนดังที่ไม่ทันตั้งตัว ทีมงานคนหนึ่งก้าวไปกดกริ่ง ประตูทั้งสี่บานในสถานที่ที่แตกต่างกันไปถูกกดพร้อมๆกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน

เงียบ..ไม่มีเสียงตอบรับ

ทีมงานยังคงสงบนิ่ง แต่หลังจากกดกริ่งรออีกหลายนาทีก็ยังไร้การตอบรับ ทีมงานหลังกล้องก็เริ่มกระวนกระวาย

ทำไงดี…คนเขียนบท ขยับปากถามผู้กำกับที่เริ่มเครียด แต่ยังคงพูดเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ เขาก็พูดกับผู้ชมไปพลางๆ

“ทุกคนเดาสิครับว่าแขกคนนี้คือใคร?” เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจที่ได้ผล ผู้ชมเริ่มคาดเดาว่าเป็นใคร

[ ไม่ใช่เซนต์แน่รายนั้นนอนดึก หกโมงเช้าบางทียังไม่นอนเลย ]

[ เช้าขนาดนี้ไม่น่ามีใครตื่น พวกดาราตื่นสายจะตาย ]

[ ถ้าเป็นบ้านของวายุ แล้วเปิดประตูเราคงได้เห็นหน้าสด จะเป็นยังไงนะ? ]

[ ฉันว่าหน้าสดของวายุคงไม่น่าดูเท่าไหร่หรอก ]

[ ที่ไม่ยอมเปิดน่าจะเพราะไม่อยากโชว์หน้าสดกันมากกว่า กดขนาดนี้ใครจะไม่ตื่น ]

[ ผิดที่ทีมงานนั่นแหล่ะ จะมาโผล่อะไรตอนเช้า ดาราเลิกงานดึกจะตายใครจะตื่น ]

[ แห้วแล้วล่ะ ไม่มีใครตื่นมาเปิดหรอก ]

[ แต่ว่าก็ว่านะ พวกดารานี่รวยกันทุกคน อยู่คอนโดหรูกันทั้งนั้น ]

[ นี่เรากำลังเปย์ใครอยู่? ]

[ หลังไหนเป็นของขุนเขากันนะ? ]

รอนานแล้วก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู ความคิดเห็นจึงเป็นไปในทางเดียวกันว่า ทีมงานมาเช้าเกินไป

ทีมงานไม่ยอมแพ้ จะถ่ายแค่หน้าประตูไม่ได้ พวกเขาเริ่มแผนสองทันที

“คุณผู้ชมไม่ต้องห่วงนะครับ เรากำลังจะโทรไปปลุกพวกเขากัน”

สถานที่ที่โปรดิวเซอร์ยืนอยู่และเป็นดาราคนแรกที่จะถูกโทรหาก็คือของวายุ

ก่อนที่โปรดิวเซอร์จะมีโอกาสได้โทรหา ลิฟต์ด้านหลังพวกเขาก็ส่งเสียง “ติ๊ง”

ทุกสายตารวมถึงกล้องหันไปในทันที ประตูลิฟต์ค่อยๆเปิดออก ร่างสูงในชุดออกกำลังกายสีดำสนิท ก้าวออกมาจากลิฟต์

ราวกับโลกหยุดหมุน รูปลักษณ์ของคนที่เพิ่งปรากฏตัวทำให้พวกเขาตะลึงจนพูดไม่ออก ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชมที่ดูไลฟ์อยู่

[ นั่นใครน่ะ? ]

[ หน้าสดอย่างเว่อร์ ]

[ ใครวะ ดูดีโคตร ]

คอมเม้นต์อื้ออึ้งไปทางเดียวกัน ก่อนที่จะมีเสียงของทีมงานที่ได้สติก่อนคนอื่น

“วายุ สวัสดีครับ”

[ หานั่นวายุเหรอ? ]

[ หน้าใสมาก ]

[ วายุโนเมคอัพ หล่อโคตร ]

[ เบ้าหน้าฟ้าประทานชัดๆ ]

วายุที่มัดผมครึ่งหัว ปล่อยผมครึ่งหนึ่งที่ชื้นเหงื่อเคลียไหล่ ดูเหมือนเขาจะเพิ่งกลับมาจากการออกกำลังกาย แก้มขาวมีเลือดฝาดเล็กน้อย ไรผมที่ชื้นเหงื่อกับหางม้าเล็กๆทำให้ดูเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่งดงาม ตาคู่เดิมให้ความรู้สึกต่างออกไป

ตาของวายุให้ความรู้สึกซื่อตรงและมั่นคงซึ่งต่างจากภาพลักษณ์ที่เคยเห็นมาตลอดหลายปี วายุมักจะดูเย่อหยิ่งหัวสูงชวนให้หมั่นไส้

เมื่อเห็นว่ามีกลุ่มคนกำลังขวางทาง วายุก็ก้าวถอยไปหนึ่งก้าว อยู่ในท่าตั้งรับแต่เมื่อตระหนักได้ว่าวันนี้ต้องถ่ายงานและเห็นกล้องในมือทีมงาน เขาก็ผ่อนคลายแล้วทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม

“อรุณสวัสดิ์ครับ มาแต่เช้าทานอะไรกันมาหรือยังครับ?”

นี่ก็แปลก…

วายุไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ก็ไม่ได้เป็นมิตรขนาดจะถามไถ่ความเป็นไปของทีมงาน

เจอเข้าแบบนี้ทีมงานก็อึ้งจนตอบไม่ถูก ยังดีที่โปรดิวเซอร์ดึงสติได้เร็ว รีบทักทายกลับไปว่า “พวกเรารีบมาแต่เช้าเลยยังไม่ได้ทานอะไรครับ”

วายุพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปข้างในเถอะ ผมจะชงกาแฟให้”

ท่าทางของวายุดูจริงใจจนทีมงานตะลึงไม่มีใครคิดว่าวายุจะตื่นเช้าขนาดนี้ แล้วยิ่งไม่มีใครคิดว่าเขาจะต้อนรับอย่างเป็นมิตร พวกเขาคาดว่าจะได้เจอกับวายุที่หงุดหงิดและอาจจะถึงขั้นด่าทีมงาน

ถ้าเป็นแบบนั้นเรตติ้งคงกระฉูดตั้งแต่นาทีแรก

ความมีน้ำใจของวายุทำให้แม้แต่ผู้ชมก็พลอยแปลกใจไปด้วย

[ วายุตัวจริงเป็นมิตรขนาดนี้เลยเหรอ? ]

[ หูไม่ฝาดใช่ไหม ฉันได้ยินวายุบอกว่าจะชงกาแฟให้ทีมงาน ]

[ ตื่นไปออกกำลังกายแต่เช้า สร้างภาพหรือเปล่า? ]

[ ทำตัวเป็นคนตื่นเช้ารักสุขภาพ ปลอมไปหรือเปล่า? ]

[ คงไม่ได้ไปออกกำลังกายหรอก เหงื่อที่เห็นก็น่าจะพรมน้ำเอา แก้มคนเราจะแดงธรรมชาติได้แบบนั้นเหรอ? ]

[ วงการบันเทิงอ่ะเนอะ ]

[ แต่พูดก็พูดนะ หน้าสดของวายุนี่ชวนตะลึงจริงๆ ไม่แปลกที่จะได้เป็นดารา หนังหน้าดีเว่อร์ ]

คอมเม้นต์ชมพอจะมี แต่คอมเม้นต่อว่านั้นมากกว่า นั่นเป็นเพราะจำนวนแอนตี้แฟนของวายุนั้นมีมากมาย หลายเดือนที่เขาไม่ออกสื่อ คนพวกนี้จึงคันมือคันไม้มานาน ถือโอกาสนี้ปลดปล่อยความเกลียดผ่านตัวอักษร

วายุยังไม่ได้ทำอะไรแย่ๆแต่กลับถูกต่อว่า นั่นทำให้แฟนคลับและผู้ชมทั่วไปอดไม่ได้ที่จะแก้ต่างแทนเขา ก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งบนช่องคอมเม้นต์

วายุไม่ได้รู้เลย แค่ไม่กี่นาทีที่ปรากฏตัวหน้ากล้อง ก่อให้เกิดความวุ่นวายแค่ไหน

เขาเชิญทีมงานเข้าบ้าน เทเครื่องดื่มให้ทุกคนและนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมปัง เท่าที่จะหาได้มาให้พวกเขาทาน ระหว่างที่กินโปรดิวเซอร์ก็ถามคำถามสั้นๆ เพื่อให้ตากล้องได้มีโอกาสก็แพลนกล้องให้เห็นคอนโดของวายุ

โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ต้องรีบถ่ายก่อนที่จะถูกห้าม

“วายุ คุณเพิ่งกลับมาจากฟิตเนสเหรอครับ?”

ฟิตเนส ข้ารู้จักคำนั้น วายุยิ้มก่อนจะส่ายหัว “ผมไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้ๆนี่มาครับ จะมีพวกคุณลุงคุณป้ามารวมตัวกันรำไทเก๊กตอนช้า ผมไปเรียนมาหลายครั้งแล้ว”

“เพิ่งไปวันนี้หรือเคยไปมาหลายครั้งแล้ว?” ทีมงานที่ดูหน้าจอคอมเม้นต์ ถามในสิ่งที่ผู้ชมอยากจะรู้มากที่สุด แต่นั่นก็หมายถึงการจับผิดวายุ

วายุตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆว่า “ปกติไปวิ่งทุกวันครับ แต่รำไทเก๊กเพิ่งลองแค่สามสี่ครั้ง ยังไม่คล่องเท่าไหร่ แค่พอตามได้”

เบื้องหน้าทีมงานทำเป็นพยักหน้าราวกับเชื่อที่เขาพูด แต่อีกด้านหนึ่งก็รีบค้นหาความจริง ถ้าวายุเคยไปที่นั่นก็ต้องมีคนเคยเห็นบ้าง

พลังของโลกอินเทอร์เน็ตนั้นช่างน่าทึ่ง แค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็มีคนหาคลิปของคุณป้าคนหนึ่งที่ทำการไลฟ์สด ระหว่างออกกำลังกายทุกเช้า เธอบังเอิญถ่ายติดวายุโดยไม่ได้ตั้งใจ

ด้านหลังของคุณป้าวัยประมาณห้าสิบปีที่กำลังเต้นแอโรบิกในชุดสีสดใส คือกลุ่มคนรุ่นตายายกำลังรำไทเก๊ก แต่มีหนึ่งคนที่โดดเด่นกว่าใคร คือวายุที่ตัวสูงและผิวขาวสะดุดตา ร่างสูงที่อยู่ในชุดออกกำลังกายพยายามรำไทเก๊กตามคุณตาคุณยาย แม้จะถูกถ่ายจากระยะไกล ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นวายุ ใบหน้าอันโดดเด่นของเขานั้นไม่ยากที่จะจำได้

คลิปแรกถูกค้นพบ ตามด้วยคลิปที่สองและสาม รวมๆแล้วมีมากกว่าสิบคลิป บางคลิปจะเห็นวายุรำไทเก๊ก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคลิปวายุวิ่งออกกำลังกายไปรอบๆสวน

[ ของจริงว่ะ เขาไปออกกำลังกายจริงๆด้วย ]

[ ดาราน้อยคนนะที่จะไปออกกำลังกายแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเข้าฟิตเนสแพงๆกันทั้งนั้น ]

[ บ้าแล้ว คนที่รำไทเก๊กอยู่ข้างๆวายุคืออากงฉันเอง แต้มบุญนี้ ]

[ ใครจะคิดว่าจะมีดาราไปรำไทเก๊กอยู่กลางสวน ]

[ ไหนใครที่เม้นว่าเขาปลอมก่อนหน้านี้ สไลด์หน้ามาขอโทษด้วยนะจ๊ะ ]

[ วายุแม่งคนจริงว่ะ ]

ภาพลักษณ์ดีๆถูกพิสูจน์ให้เห็น ทำให้แฟนคลับของวายุเริ่มกลับมามีกำลังใจ หลายคนที่ดูรายการอยู่เงียบๆเริ่มมีส่วนร่วมในการคอมเม้นต์มากขึ้น ข้อความชื่นชมวายุจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

วายุถูกขอให้พาชมรอบๆบ้าน เขาก็ทำตามและเผยให้เห็นคอนโดที่สะอาดและเรียบง่าย

การให้ความร่วมมือและความสุภาพทั้งหมดนี้ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้กับทีมงาน พวกเขาถึงกับต้องมาทบทวนทัศนคติที่ตนมีต่อวายุก่อนหน้านี้

อีกด้านหนึ่งการไลฟ์สดของทีมที่สองก็เริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างเริ่มต้นเหมือนๆกันแต่ครั้งนี้หลังจากกดกริ่งแค่ไม่นานก็มีเสียงคนตอบรับ

มิกกี้ก็เปิดประตูด้วยสีหน้างัวเงีย เมื่อเห็นกล้องเขาก็ทำเป็นหลบและบ่นพึมพำว่าอายหน้าสด มิกกี้ใช้มือข้างหนึ่งปิดหน้าแสดงออกว่าไม่อยากโชว์ใบหน้าให้กล้องเห็น

มิกกี้กังวลทั้งที่ใบหน้าเขาไม่ได้เปลือยเปล่า ก่อนนอนเขาลุกขึ้นมาแต่งหน้าบางๆให้ดูเหมือนไม่ได้แต่ง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขามั่นใจขึ้น มิกกี้ยังคงหงุดหงิดแต่ทำได้แค่ฝืนยิ้มเพราะมีกล้องจ่ออยู่

เขาก้าวถอยแล้วเปิดประตูกว้างให้ทีมงาน แค่สองวัน คอนโดที่รกไปด้วยถุงช็อปปิ้งกับกล่องพัสดุก็กลายสภาพเป็นสถานที่ที่สะอาดและหรูหราสมฐานะดาราดัง

ทีมงานกำลังจะก้าวเข้าห้องแต่เสียงของมิกกี้หยุดเขาไว้ “อย่าลืมใส่สลิปเปอร์ด้วย”

หลังจากเห็นแล้วว่าทีมงานเปลี่ยนไปใส่สลิปเปอร์เรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินพาทุกคนเข้าไปในบ้าน ตรงไปยังห้องนอน

ความอึดอัดที่ลอยวนอยู่ในอากาศเห็นได้ชัดผ่านเลนส์ ทีมงานไม่กล้าส่งเสียงดัง พวกเขาขยับตัวอย่างระมัดระวัง และแทบไม่มีใครกล้าถามมิกกี้

[ พนันด้วยเงินที่มีว่าทีมงานกำลังกลั้นหายใจอยู่ ]

[ เหมือนมีคำว่า อึดอัด เขียนอยู่กลางบ้านอ่ะ ]

[ มิกกี้จะแต่งตัวเสร็จก่อน ทีมงานตะคริวกินไหม เกร็งไปหมด ]

[ ไหนใครบอกว่ามิกกี้เฟรนด์ลี่นะ มาเบิกตาดูสิ ]

[ ทาบีบีครีมชัดๆกล้าพูดว่าหน้าสด ]

[ ต้องตาบอดเท่านั้นถึงจะมองไม่เห็นเครื่องสำอาง ]

[ จริง ปากเงาขนาดนี้บอกไม่ได้แต่งหน้า ]

[ หน้าสดต้องบ้านที่แล้วโน่น หน้าสดของจริง ]

[ มองในทางที่ดี เขาอาจจะทาลิปมันก่อนนอนก็ได้ ]

[ ต้องนอนท่าคลีโอพัตราเท่านั้นล่ะ ลิปถึงจะอยู่ทนขนาดนั้น บ้าบอ ]

[ สนุกตรงที่มันเป็นไลฟ์สดนี่ล่ะ ได้เห็นธาตุแท้พวกดารา ]

[ งานนี้ใครปลอมคงได้ถูกแฉหมดแน่ ]

[ ไอ้พวกที่คอมเม้นต์แซะมิกกี้นี่เป็นแฟนคลับวายุใช่ไหม ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องดู กลับไปดูดาราตกกระป๋องของแกไป ]

การถกเถียงในช่องคอมเม้นต์ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมิกกี้ที่ปลีกตัวมาแต่งหน้าในห้องนอนต้องหันมาสนใจ เขาขมวดคิ้วแล้วก้มลงมองคอมเม้นต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเห็นชื่อของวายุมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งหงุดหงิดมากเท่านั้น

ตอนนี้ไลฟ์สดถูกแบ่งเป็นสองหน้าจอ แสดงภาพเปรียบเทียบระหว่างมิกกี้ที่ยังคงแต่งหน้าไม่เสร็จ กับวายุที่ลากกระเป๋าเดินทางออกจากลิฟต์

ช่วยไม่ได้ที่มิกกี้จะเปรียบเทียบจำนวนผู้ชมระหว่างสองช่องแล้วต้องกำพัฟในมือแน่นเมื่อเห็นว่าจำนวนผู้ชมของเขาน้อยกว่าวายุ แค่ลากกระเป๋าขึ้นรถมันมีอะไรให้ดูนักหนา

“ไอ้บ้านั่นมันต้องจ้างไอโอแน่ๆ” เขาแอบปรามาสเสียงต่ำไม่ให้ใครได้ยิน

ใบหน้าที่ดูน่ารักใสซื่อบูดบึ้ง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรทันที จะยอมให้มันชนะไม่ได้

มิกกี้รีบโทรหาใครบางคน ทันทีที่ปลายสายกดรับ เขาก็รีบทำเสียงสะอื้น

“พวกเขาบูลลี่ผม” มิกกี้เรียกร้องความเห็นใจที่ฟังดูโอเว่อร์อย่างเห็นได้ชัด แต่ปลายสายกลับบ้าตาม

“ใครกล้ารังแกมิกกี้ของผม”ออดอ้อนขอความเห็นใจสักพัก เขาก็วางสายพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากนี้การถ่ายทำคงไม่ง่ายสำหรับไอ้วายุ…

เขาฉลาดมาก

วายุที่ไม่รู้ว่ากำลังเป็นที่จับตามอง เขายกกระเป๋าเก็บที่ท้ายรถตู้ทีมงานด้วยตัวเอง นั่นเป็นอีกครั้งที่เขาบังเอิญสร้างความประทับใจ หลังจากขึ้นรถแล้วเขาก็พูดว่า

“ผมยังไม่รู้เลยว่าเราจะไปที่ไหน บอกผมได้ไหมครับ”

คำตอบคือการส่ายหัวของโปรดิวเซอร์

“เราบอกปลายทางไม่ได้ แต่บอกได้ว่าคุณกำลังจะไปรับแขกคนอื่น”

วายุกำลังจะอ้าปากถามว่าคนคนนั้นคือใคร แต่โปรดิวเซอร์ที่รู้ทันรีบดักคอ “บอกไม่ได้นะครับว่าใคร?”

วายุยิ้มก่อนจะหยิบไอแพดขึ้นมา ตั้งแต่รู้จักสิ่งนี้ ชีวิตของเขาก็ง่ายขึ้น วายุโหยหาอินเทอร์เน็ตเสียยิ่งกว่าอาหารที่กินเข้าไป พลวัตรส่งหลายข้อความติดกันจนเขาต้องรีบเปิดดู

“เยี่ยมมาก ตอนนี้ชื่อนายกลายเป็นคำค้นหาอันดับหนึ่งไปแล้ว”

“ไปแอบรำไทเก๊กตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“ถ้ารู้ว่านายกลายเป็นคนตื่นเช้า พี่คงชวนทำคอนเทนต์นานแล้ว”

“แม้แต่ในคอมเม้นต์ออฟฟิตเชี่ยลของสังกัดก็มีคนมาถามถึงนาย เดี๋ยวพี่จะไปตอบให้นะ”

เขาเปิดสิ่งที่เรียกว่าทวิตเตอร์หรือเอ็กซ์ขึ้นมา ไอดีของวายุถูกล็อกอินไว้อยู่แล้ว เขาค้นหาชื่อวายุก็พบคลิปสั้นๆและสิ่งที่เรียกว่ามีม คนในยุคนี้ช่างรวดเร็วไปเสียทุกอย่าง ผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีก็ทำสิ่งพวกนี้ออกมาเกลื่อนแล้ว

ด้านล่างคลิปและมีมเต็มไปด้วยความคิดเห็นมากมาย แต่วายุไม่ได้สนใจ เขาหันไปค้นหาจุดจบของศัตรู อยากรู้นักว่าไอ้พวกที่คิดร้ายกับเขาตายยังไง

ระหว่างนั้นการไลฟ์สดก็ยังดำเนินต่อไป ส่วนใหญ่จะคาดเดาว่าใครคือคนที่จะมานั่งรถคันเดียวกับวายุ

[ ใครก็ได้ แต่อย่าเป็นพี่ขุนของฉันเลยนะ เดี๋ยววายุอ่อยเขา ]

[ น่าจะไม่ใช่มิกกี้นะ รายนั้นยังแต่งตัวไม่เสร็จเลย ]

[ ทีมงานคงไม่เอาวายุกับมิกกี้มานั่งรถคันเดียวกันหรอก เพราะมันจะไม่ถึงปลายทาง ]

[ จะมีคนอยากนั่งไปกับวายุเหรอ เขาตกกระป๋องไปแล้วนะ ]

[ ไอ้พวกแอนตี้แฟนของวายุ น่ารำคาญชะมัด ไม่ชอบก็ดูเงียบๆไม่ได้หรือไง ]

[ แฟนคลับวายุรับไม่ได้เหรอ? ก็ปีก่อนวายุไม่ใช่เหรอที่แกล้งสาดไวน์ใส่เสื้อมิกกี้ ป่านนี้ยังไม่เคยออกมาขอโทษเลย]

[ เออใช่ แล้วการแสดงก็ง่อยขนาดนั้น ยังกล้าเรียกตัวเองว่านักแสดงอยู่อีกเหรอ? ]

[ เอาวายุมารวมเพื่อเรียกกระแสชัดๆ เทียบกับคนอื่นเขาอยู่คนละชั้นชัดๆ ]

[ ถ้ามีโหวตออก เขาคงต้องออกเป็นคนแรก มีวายุอยู่ในรายการมันดาวน์เกรดเกินไป ]

จู่ๆคอมเม้นต์เสียๆเกี่ยวกับวายุก็ถาโถม พลที่นั่งอ่านคอมเม้นต์อยู่รู้ได้ทันทีว่านั่นคือพวกไอโอ พวกมันพยายามยกข่าวเสียๆเกี่ยวกับพฤติกรรมในอดีตของวายุ มากดดันให้ทีมงานถอดเขาออกจากรายการ

มึงมีไอโอ…กูก็มี พลเหยียดริมฝีปาก เอเจนซี่มืออาชีพอย่างเขาเตรียมพร้อมตั้งแต่วันแรกที่วายุตกลงจะร่วมรายการแล้ว เขารีบติดต่อทีมที่เตรียมไว้ให้เข้ามาดันความคิดเห็นแย่ๆลงไป

วายุนั่งสงบนิ่งค้นหาข้อมูลตามประวัติศาสตร์ โดยไม่รับรู้ถึงสงครามคอมเม้นต์ที่กำลังเกิดขึ้น หลังจากอ่านจนพอในแล้วเขาก็วางไอแพดลง พักสายตาด้วยการหันไปมองนอกหน้าต่าง

คนที่วางแผนฆ่าเขา เสี้ยนหนามที่จะขัดขวางแผนกบฏของพวกมัน มันยิ่งกว่าสะใจที่ได้รู้ว่าไม่เพียงแผนกบฏจะไม่สำเร็จแต่ศัตรูของเขาต้องจบชีวิตอย่างอนาถ

น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นจุดจบของมันด้วยตาของเขาเอง

ไม่นานรถตู้ก็แล่นลงจอดหน้าคอนโดหรูที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทีมงานที่อยู่ด้านหน้ารีบลงจากรถตู้ กระตือรือร้นที่จะทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

ทีมงานยืนบังอยู่ทำให้วายุมองไม่เห็นว่าใครคือเพื่อนร่วมทาง หลังจากนั้นทีมงานก็แหวกกันเป็นทาง

ประตูรถตู้ถูกเปิดออก แล้ววายุก็สบตาเข้ากับดวงตาสีเข้มคู่หนึ่ง มันดำสนิทเหมือนคืนไร้ดาว ความลึกล้ำของดวงตาคู่นั้นทำให้เขาถึงกับอึ้งไปหลายวินาที

เสียงโปรดิวเซอร์ที่พูดอยู่ด้านนอกทำให้วายุรู้ว่า นี่ล่ะ…ขุนเขา

ขุนเขาดาราระดับท็อปที่วายุไม่สามารถเทียบเคียงได้ เบื้องหลังขุนเขาที่ยืนนิ่งหน้าประตู แสงอาทิตย์ที่ส่องอยู่ด้านหลัง ทำให้เขาดูไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป

นี่สินะ ออร่าของดาราระดับท็อป…

ขุนเขาอยู่ในเสื้อยืดสีขาว ทับด้วยเสื้อฮู้ดสีดำ กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าผ้าใบสีขาว ออร่าของเขาทำให้เสื้อผ้าเรียบง่ายกลายเป็นที่ต้องการ แค่ไม่ถึงนาที เสื้อผ้าที่ขุนเขาใส่ก็ขายหมดในทุกเว็บไซต์

วายุมองไปที่ขุนเขาอย่างสงบ แต่ดวงตาสีดำคู่นั้นทำให้ไม่กล้าเคลื่อนไหว

ใบหน้าของขุนเขา นี่สินะ…ใบหน้าฟ้าประทาน

โครงหน้าของเขาคมชัด จมูกโด่งเรียว สันกรามคมแก้มตอบ ขนตาตรงล้อมรอบดวงตาสีดำสนิท ริมฝีปากบนเป็นรูปกระจับชัดเจน ส่วนริมฝีปากล่างก็อิ่มราวกับกินน้ำวันละสิบลิตร

ขุนเขาที่มองตรงหน้าไม่ยิ้มทำให้ดูดุนิดหน่อย ความเงียบของเขาสร้างความกังวลให้กับทีมงานด้านหลัง

คิ้วหนาข้างขวายกขึ้น แล้วเขาก็เปล่งเสียงทุ้มๆออกมา

“ไหนบอกว่าจะส่งรถมารับผมคนเดียว”

ขุนเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนอื่นในรถ นับประสาอะไรกับวายุ เขาปรายตาไปทางทีมงานที่ขยับตัวอย่างอึดอัด

คำพูดของเขาทำให้วายุต้องกลืนคำทักทายกลับลงไป

ทีมงานคงไม่คิดว่าเขาจะกล้าถามต่อหน้ากล้อง คิดไปเองว่าขุนเขาจะยอมตามน้ำ

หรือว่าสองคนนี้จะมองหน้ากันไม่ติดจริงๆ…คอมเม้นต์ในช่องไลฟ์สดระเบิดขึ้นอีกครั้ง

ขุนเขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่เดินลากกระเป๋าไปไว้ท้ายรถ เขาขึ้นมานั่งเลือกที่นั่งที่ไกลจากวายุที่สุด เขาทำเหมือนอีกคนไม่มีตัวตน

ความเย็นชาของเขาไม่ได้ทำวายุสะทกสะท้าน เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบาย ๆ และไม่คิดจะทักทายหรือรับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายซึ่งผิดวิสัยของวายุ

เมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาสได้พบกัน วายุไม่เคยรีรอที่จะไล่ตามขุนเขาผู้เฉยชา

ดังนั้นทั้งทีมงานและผู้ชมจึงแปลกใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนคาดหวังไว้ พวกเขาอยากจะเห็นว่าวายุจะฟินแค่ไหนที่ได้นั่งรถคันเดียวกัน

อย่าว่าแต่คนอื่นแปลกใจเลย แม้แต่ขุนเขาเองก็ทั้งแปลกใจและตกใจ คิดไม่ถึงว่าวายุจะควบคุมตัวเองได้ดีขนาดนี้

หรือว่าต้นสังกัดจะสั่งห้ามไว้?

คงจะคิดได้แล้วสินะว่าไม่ควรทำรุ่มร่ามต่อหน้าสื่อ

รถตู้เริ่มออกเดินทาง ขุนเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความถึงผู้จัดการ

“ทีมงานนี่ร้ายกาจจริงๆ เอาฉันมานั่งรถคันเดียวกับวายุ”

พิภพที่สแตนด์บายอยู่แล้วรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“อาจจะเป็นการเอาคืนเล็กๆที่นายไม่ยอมให้ถ่ายบ้าน ระวังตัวด้วย อย่าให้วายุทำให้หัวเสียได้”

ขุนเขาตอบกลับด้วยใบหน้าที่เย็นชา “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก แม้แต่หางตาเขายังไม่แลผมเลย”

ระหว่างที่ขุนเขากับคุยกับผู้จัดการอย่างเมามัน ช่องคอมเม้นต์ก็แทบระเบิด

[ ทีมงานยอมขายวิญญาณเพื่อเรตติ้งเลยสินะ เอาสองคนนี้มาอยู่บนรถคันเดียวกัน ]

[ ฉันหายใจไม่ทั่วท้อง ตอนที่ขุนเขาถาม คนบ้าอะไรแม้แต่ตอนโมโหยังเท่เลย ]

[ บีบหัวใจ แต่สนุกมาก ]

[ เกิดอะไรขึ้นกับวายุ ทำไมทำเหมือนไม่สนใจขุนเขาเลยล่ะ ]

[ วายุคิดได้แล้วมั้งว่าไม่เหมาะสมกับเขา ดีมาก คิดได้สักที ]

[ อย่ามาทำให้พี่ขุนเขาแปดเปื้อน ห้ามยุ่งกับเขานะ ]

[ แกล้งเล่นตัวให้ผู้ชายสนใจมากกว่า ขุนเขาอย่าตกหลุมนะ ]

ท่าทีของทีมงานกระตุ้นความอยากรู้ วายุรีบค้นหาว่าพวกเขาทั้งคู่เกี่ยวข้องกันยังไง มีความแค้นอะไรหนักหนา อีกฝ่ายถึงได้รังเกียจไม่อยากจะนั่งรถคันเดียวกัน

วายุเข้าทวิตเตอร์ทันที แม้จะเชื่องช้าไปบ้างแต่เขาก็สามารถพิมพ์ชื่อของตนและขุนเขาลงในช่องค้นหาได้

ข้านั้นฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร วายุรู้สึกภูมิใจที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่ได้เป็นอย่างดี แต่ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอ สิ่งแรกที่ปะทะสายตาก็คือ

[ หน้าแหก! คำสารภาพรักของวายุถูกขุนเขาปฏิเสธทันควัน ]

[ ช่างกล้า วายุบอกรักขุนเขาต่อหน้าสื่อ แต่ถูกปฏิเสธ ]

[ สายลมแห่งความรักพัดไปไม่ถึงใจขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่ ]

ยิ่งอ่านเขาก็ยิ่งรู้สึกคลื่นไส้ เจ้าของร่างทำแต่เรื่องน่าอาย วายุแทบไม่กล้าเหลือบตาไปมองคนที่นั่งข้างหน้าด้วยซ้ำ เขาเลื่อนอ่านคอมเม้นต์ไปเรื่อยๆจนเจอเข้ากับคลิปวิดีโอซึ่งชวนให้อยากรู้ว่ามันคืออะไร

หน้าปกคลิปเป็นวายุในชุดสีขาวยิ้มอยู่หน้าไมโครโฟน

นิ้วเผลอกดคลิกโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดเสียงดังออกมาจากไอแพดที่ถืออยู่

“ขุนเขาผมชอบคุณ”

ทุกสายตาในรถหันมามองเขาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะขุนเขาที่มองเหมือนอยากจะถามว่า

มึงบ้าหรือเปล่า?

ข้าพลาดแล้ว…

วายุตกใจลนลานปิดคลิปแต่ก็กดผิดกดถูก กว่าคลิปจะหยุดทุกคนก็ได้ยินกันหมดแล้ว

นอกจากคู่กรณีที่มองเหมือนอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ทีมงานก็มองเหมือนเหมือนเขาบ้าไปแล้ว

เกิดภาวะสุญญากาศโดยสมบูรณ์ ทุกคนที่อยู่ในรถไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าทุกอย่างถูกไลฟ์สดออกไปทั่วประเทศ ช่องคอมเม้นต์ไหลเร็วยิ่งกว่าน้ำก๊อก

อย่ากลัว…รบกับข้าศึกนับร้อยข้ายังผ่านมาได้ ปัญหาแค่นี้ข้าแก้ได้อยู่แล้ว

วายุซึ่งกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยการอธิบายอย่างใจเย็น เขาหันไปฉีกยิ้มให้ขุนเขาพยายามทำสีหน้าให้ดูเป็นมิตรที่สุด

“ผมขอโทษที่เคยทำให้คุณลำบากใจ และขอรับรองว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

ง่ายๆแค่นั้น…

ขุนเขาถึงกับอึ้ง เมื่อกี้เขาหูฟาดไปหรือเปล่า วายุบอกว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีกอย่างนั้นเหรอ?

ขุนเขาทนไม่ไหวถึงกับต้องหันไปมองหน้า

วายุเปลี่ยนไป…แม้จะไม่รู้ว่าอะไรที่เปลี่ยน แต่เขาก็รู้สึกถึงมันได้

มีสายตาทีมงานและกล้องจ่อแบบนี้ ขุนเขาจึงทำเป็นพยักหน้ารับรู้ เขาชี้ไปที่กล้องแล้วย้ำว่า

“มีพยานอยู่ตรงนี้ อย่าลืมทำตามที่พูดด้วยนะ”

วายุต้องการแสดงออกว่าหมายความอย่างที่พูดจริงๆ จึงหันไปหากล้องชูสองนิ้วเหมือนที่เคยเห็นคนอื่นทำ แล้วยิ้มกว้าง

“สัญญา” เขาพูดพร้อมกับยิ้มสดใสเผยให้เห็นลักยิ้มข้างแก้ม

เท่านี้ก็น่าจะพอแก้ปัญหาได้สินะ?

วายุพยายามซ่อนความตื่นตระหนก หยิบไอแพดมาเล่นแก้เก้อ แต่ระมัดระวังที่จะไม่คลิกอะไรมั่วซั่ว ฟากขุนเขาก็ซ่อนความรู้สึกไว้หลังใบหน้าเรียบเฉย แต่นิ้วส่งข้อความหาผู้จัดการไม่หยุด

“วายุ…เอาผมมาเชือดชัดๆ พูดขนาดนี้ผมจะว่าอะไรได้”

“ใช่…เขาเดินเกมฉลาดมาก ตอนนี้ชื่ออยู่อันดับหนึ่งแล้ว”

พิภพที่คอยเช็กสถานการณ์เห็นทุกอย่าง ตั้งแต่วินาทีแรกที่ปรากฏตัว ชื่อของขุนเขาก็ทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่ง และค้างอยู่บนนั้นจวบจนวายุเปิดคลิปบ้าๆนั่นแหละ

“เขาฉลาดมาก เคลียร์เรื่องโง่ๆที่เคยทำแล้วยังผลักดันให้นายพูดยกโทษต่อหน้ากล้องอีกด้วย เหนือเมฆสุด”

โทรศัพท์ของวายุสั่น เป็นพลนั่นเองที่ส่งข้อความมา

“ทีมงานจงใจเอาขุนเขามาเรียกเรตติ้ง แล้วลากนายมาฆ่าหน้ากล้องชัดๆ ดีนะที่แก้ปัญหาไปได้”

ข้าทำได้ดีสินะ วายุถอนหายใจรู้สึกโล่งอกและมั่นใจมากขึ้น

“แต่มันก็ทำให้พวกเขาเม้นเรื่องนายกันไม่หยุด แต่ไม่ต้องห่วงนะ นายยังมีแฟนคลับที่คอยปกป้องอยู่”

“ผมสามารถตอบข้อความพวกเขาได้ไหมครับ”

วายุหมายถึงข้อความต่างๆ แต่พลคิดถึงข้อความจากแฟนคลับจึงรีบตกลง “ดีมาก นายต้องดึงฐานแฟนคลับไว้”

ฐานแฟนคลับนี่มันเป็นเยี่ยงไรนะ จะเหมือนฐานพระประธานหรือเปล่า?

วายุครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเข้าไปอ่านคอมเม้นต์และตอบด้วยตัวเอง

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0