"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงฤดูร้อน ของหลายปีที่แล้ว ประมาณช่วงเดือนเมษายน
ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าเราทำงานบริษัท เวลาที่เลิกงานแล้ว บางวันก็ไปนั่งดื่มต่อ บางวันก็แวะไปหาพี่สาวก่อนที่จะกลับบ้านด้วยกัน ซึ่งวันที่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นครั้งนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดแผกไป เรากลับบ้านพร้อมกับพี่ ทำธุระปะปังต่าง ๆ จนเสร็จอาบน้ำแล้วเข้านอนเป็นปกติ
วันนั้นกลางดึก ระหว่างที่เรานอนของเราอยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ปลุกให้เราตื่นขึ้นมา คือตาอะลืมขึ้นมานะแต่ตัวยังนอนอยู่กับที่
ทีนี้ลักษณะของห้องนอนเรา เรานอนกับพี่สาว ด้านที่เรานอนจะเป็นด้านที่หันเท้าไปตรงประตูห้องพอดี เตียงตรงกับประตูและบานประตูเปิดค้างเอาไว้อยู่
พอเราลืมตาขึ้นมาปุ๊บก็จะเห็นข้างสิ่งที่อยู่ด้านนอกห้อง หลังกรอบประตู เรารู้สึกว่ามันมีอะไรที่ทำให้เราต้องจ้องไป
เราได้ยินเสียงดนตรีไทยแว่วขึ้นมาในหู..
บ้านนี้พวกเราอยู่กันมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว และมีแค่เรากับพี่สาวที่อยู่กันสองคน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเป็นคนเปิดเพลงไทยโบราณอย่างแน่นอน
เราก็ยังคงได้ยินเสียงดนตรีนั้นชัดขึ้น ๆ ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ และจังหวะที่มันดังขึ้นสุดนั้น เราจ้องไปที่ประตูอย่างเขม็ง…
มีแขนท่อนหนึ่งโผล่ออกมาจากกรอบประตูฝั่งขวา
แขนท่อนนั้นขยับไปมาอยู่ในตำแหน่งเหมือนการตั้งวงแล้วรำ รำไปเรื่อย ๆ
ณ ตอนนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวเองที่ฝันหรือสะลึมสะลืออยู่หรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจลุกขึ้นมานั่งดู
คราวนี้มั่นใจแล้วว่าไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอนเพราะแขนก็ยังคงบิดไปบิดมารำอยู่ตรงนั้น
เราตัดสินใจข่มตานอนไปด้วยความกลัวและพยายามหลับให้ได้จนถึงเช้า
วันต่อมา เราก็ไม่ได้เล่าอะไรให้พี่สาวฟังเพราะกลัวว่าเขาจะหลอนตามเราไปด้วยและเราเองก็ยัง 50 50 กับสิ่งที่เห็นจากเมื่อคืน ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ วันนั้นก็ไปทำงานที่ออฟฟิศ ตกเย็นกลับบ้าน ทำงานจนถึงดึกแล้วเข้านอน
เหตุการณ์ของคืนที่ 2 ก็ปกติจนถึงช่วงกลางดึก ประมาณตี 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดิมกับคืนแรก…
เสียงดนตรีไทยค่อย ๆ ลอยมาอีกครั้ง คราวนี้ก้องอยู่ในหูเรา ในใจเราก็คิดว่า เฮ้ย มาอีกแล้วหรอวะ แต่ตอนนั้นก็ยังสงสัยนะว่าหรือตัวเองฝันซ้ำฝันซ้อน
เสียงดังขึ้น ๆ เหมือนคืนก่อนหน้า จนพอถึงจุดที่มันดังชัดมาก ๆ เราก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
ภาพที่เราเห็นก็คือวงแขนกำลังตั้งวงอยู่ที่กรอบประตูฝั่งขวาเหมือนเดิม แขนแกว่งไปมาในท่ารำเหมือนคืนแรก แต่คราวนี้พอผ่านไปสักพักนึง เราเห็นยอดของชฎาโผล่ออกมาด้วย เป็นภาพของคนที่กำลังรำอยู่แต่ยังไม่ได้เห็นตัว
เราลุกขึ้นมานั่งดูอีกเหมือนเดิม จ้องไปกี่ครั้งก็ยังคงเห็นภาพแขนกับชฎาที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้า
ตอนนั้นในใจคิดแต่ว่า เอาวะ ไม่มึงก็กูนี่แหละที่ต้องจ้องกันคืนนี้ ถ้าไม่ใช่มึงก็ต้องเป็นกูเนี่ยแหละที่เหนื่อยหลับไป และก็เป็นเราที่ผลอยหลับไปก่อน
.
.
.
คืนที่ 3 ทุกอย่างเริ่มต้นเหมือนเดิมเป๊ะ กลางดึกประมาณตี 2 ตี 3 เสียงดนตรีลอยมาก่อน จากตัวเราที่ตอนแรกที่คิดว่าจะรอฟังเสียงให้ชัดก่อนเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา เราลุกขึ้นมานั่งทันทีที่เสียงเพลงไทยเดิมนั้นเริ่มขึ้นมาเลย
เราลุกขึ้นนั่งแล้วตั้งใจมองไปที่ประตู ครั้งนี้ไม่ได้มาแค่แขน ไม่ได้มีแค่ยอดชฎา แต่สิ่งที่เราเห็นคือนางรำ 1 นางที่มาปรากฏให้เราเห็นทั้งตัว ภาพคือผู้หญิงที่ใส่ชุดไทยมีสไบ สวมชฎา ทาหน้าขาว เขียนคิ้วเป็นเส้น และทาปากสีแดง หน้ายิ้ม รำวนไปเรื่อย ๆ จากขวาผ่านประตูไปทางซ้าย รำสไลด์สลับไปมา
.
.
ซ้ายไปขวา ขวามาซ้าย
ซ้ายไปขวา ขวามาซ้าย
.
.
ทุกอย่างค่อย ๆ ดำเนินไปอย่างช้า ๆ ตามจังหวะของดนตรี
เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นจริงหรือหลอนเอง แต่ในใจตอนนั้นก็คือไม่ไหวละเพราะมันติดต่อกันมาหลายคืน หันไปมองพี่สาวที่นอนข้างกัน เขาก็ยังคงหลับปุ๋ย
เรามองนาฬิกาเพื่อเช็กเวลาตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 เรานั่งอยู่อย่างนั้นอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงได้โดยที่ไม่รู้สึกตัวอะไรเลย พอเข้าตี 5 ภาพที่เห็นและเสียงทั้งหมดก็หายไป…
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่ 3 นี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราจะอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้ายังมีอีกหนึ่งคืน เขาคงเข้ามาในห้องอย่างแน่นอน มันต้องมีขั้นที่แอดวานซ์แน่นอน จะหนีไปนอนที่อื่นก็ไม่ได้เพราะที่นี่คือบ้านเรา
สุดท้ายเราเลยตัดสินใจเล่าให้พี่ฟังในเช้าวันที่ 4 ซึ่งสิ่งที่พี่สาวเราบอกกลับมาก็คือเขาเห็นเหมือนกันทุกคืนนั่นแหละ แต่เขาเลือกที่จะนอน คือเขาไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เขาเห็นเราลุกขึ้นมานั่งดูแหละ แต่นางก็บังคับตัวเองให้หลับไปเพราะทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
เราก็พยายามคิดว่าอะไรที่เราทำลงไปที่เกี่ยวกับนางรำ พยายามคิดๆๆๆ ก็นึกอะไรไม่ออก เพราะเราไม่ได้ดูหนังผี ไม่ได้ดูละคร ไม่ได้ไปบนบานศาลกล่าวอะไร พอไปถึงออฟฟิศก็ไม่นั่งคุยกับคนที่เรานับถือ เป็นพี่สายไหว้พระ เขาก็พยายามให้เรานึกให้ออกว่าไปทำอะไรเอาไว้ นึก ๆๆๆ ก็นึกไม่ออกอีกจนถึงประมาณ 4 โมงเย็นของวันนั้น อยู่ดี ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น…
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในคืนแรก เราไปหาพี่เราที่ออฟฟิศพี่เรา เป็นวันที่ทุกคนชวนกันไปไหว้พระพิฆเนศที่ห้วยขวาง หลังจากไหว้พระเสร็จ มันก็จะมีร้านขายของขลังเครื่องบูชากันใช่ปะ เราก็เดินไปกับเขานั่นแหละ ไปดูของนู่นนี่ ซึ่งคีย์สำคัญคือประโยคเดียวที่เราพูดออกมา
เราหยิบตุ๊กตานางรำขึ้นมา ดูราคาที่แปะเอาไว้แล้วก็พูดว่า ‘เออดีว่ะ ยิ่งซื้อยิ่งถูกเนอะ’
นี่คือเรื่องเดียวเลยที่คิดขึ้นมาได้และน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตัวเองเจอใน 3 คืนก่อนหน้า เรารีบโทรบอกพี่ถึงสิ่งที่ตกตะกอนมาได้ พี่สาวเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นคงต้องไปให้เขาแก้แล้วล่ะ
เราเลยกลับไปที่ศาลพระพิฆเนศอีกครั้งในวันนั้นเลย มีคนใส่ชุดขาวที่คอยรับคิวคนที่มาไหว้และแก้บนซึ่งคิวในวันนั้นเต็มไปจนถึงเวลาตี 1 แล้ว ถึงแม้เวลาว่าที่เราไปถึงคือประมาณ 6 โมง
พอถึงตอนที่เดินไปรับบัตรคิว คุณป้าชุดขาวแกก็ถามว่ามาทำอะไร ในใจตอนนั้นคือเราก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง แต่สักพักแกก็บอกว่า อ๋อ รู้ละ คิวตอนนี้ต้องรอถึงตี 1 เลยนะ แต่อันนี้ดูท่าทางไม่ดี เดี๋ยวหาคิวที่เร็วกว่านั้นให้ละกัน แต่ตัวต้องอยู่ด้วยนะ
เราก็ถือบัตรคิวเอาไว้แล้วนั่งรอจนถึงเวลาประมาณ 2 ทุ่มก็ได้รอบ พิธีคือเขาจะให้เราไปนั่งกลางวงแล้วให้นางรำจริง ๆ รำรอบตัว มีบทสวดบทขอขมา
พอทำพิธีเสร็จแล้วปุ๊บ คนที่ทำพิธีให้เราบอกกับเราว่าอย่าไปพูดจาแบบนี้กับใครอีก ทุกที่มันมีของ ซึ่งเรายังไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังเลยตั้งแต่ไปถึง
เหมือนเขาเห็นอะไรบางอย่างเลยรีบเลื่อนคิวให้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น แล้วเขาก็พูดว่าโชคดีนะที่มาวันนี้พอดี เพราะถ้าเราจำไม่ผิด วันนั้นเป็นวันที่ศาลทำพิธีพระพิฆเนศครั้งใหญ่ประจำปี ซึ่งปีนึงทำแค่ครั้งเดียว
.
.
.
หลังจากไปขอขมาเรียบร้อย ในคืนที่ 4 นั้นเราก็ไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรแปลก ๆ อีกเลย
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าถ้าจะพูดอะไรซี้ซั้ว ควรคิดไตร่ตรองให้ดีซะก่อนที่ใครจะตามมาทวงคำขอโทษ"
ติดตามเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกได้ทุกวันพุธ ในคอลัมน์ "พุธนี้ผีดุ"
ความเห็น 7
แต่งเรื่องเก่งนะ
02 ก.ย 2563 เวลา 12.43 น.
aoon🌺
หลอนนนน
02 ก.ย 2563 เวลา 03.14 น.
อั้ม😁
ทำมัยไม่ลองลุกออกไปรำกะเขาเลยระเชื่อเถอะผีต้องมีงงบ้างระเผลอๆผีจะทำอารัยไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ
02 ก.ย 2563 เวลา 14.42 น.
Toii.Todd
หลอนๆเหมือนกัน
04 ก.ย 2563 เวลา 14.26 น.
🕊💛NokSuma🇹🇭🌾
เรื่องนี้เล่าได้น่ากลัวดีค่ะ
เล่าเก่ง
02 ก.ย 2563 เวลา 11.53 น.
ดูทั้งหมด