โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

บ้านเจ้ามีภูตแล้วหรือยัง

นิยาย Dek-D

อัพเดต 19 เม.ย. เวลา 04.48 น. • เผยแพร่ 19 เม.ย. เวลา 04.48 น. • ไพรินสีรุ้ง
บ้านเจ้ามีภูตแล้วหรือยัง
ภูตกักตัวบำเพ็ญเพียรหลายพันปีไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกแบบไหน สุดท้ายลืมตาตื่นขึ้นในโลกที่ไม่คุ้นเคย และผู้คนที่รู้จักก็ไม่มีแล้ว เขาจำต้องปรับตัวทำงานหาเงิน แต่ศัตรูที่คิดว่าตายกลับยังอยู่ซ้ำแข็งแกร่งขึ้น

ข้อมูลเบื้องต้น

เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากจินตนาการของคนแต่งไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น

ภูตหนึ่งตน

ประเทศ T เป็นหนึ่งในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ประชาชนมีวิถีชีวิต สำเนียงภาษา ประเพณี และแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายตามภูมิภาคที่พวกเขาอาศัยอยู่ คำพูดที่บอกว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าวสามารถนิยามประเทศนี้ได้แบบเห็นภาพที่สุด ผู้คนส่วนใหญ่มีอัธยาศัยที่ดีเป็นมิตรมีน้ำใจ ถึงอย่างนั้นในสีขาวก็มีสีดำและสถานที่สว่างก็ต้องมีเงา ทุกสังคมย่อมมีทั้งคนดีคนไม่ดีปะปนกัน ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไปเทคโนโลยีการหน้า จิตใจผู้คนก็แปรผันตามไปเช่นกัน

เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นบ้านเมืองขยายตัวก็มีปัญหามากมายตามมา ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ได้ผลกระทบไม่แพ้ใครก็คือป่าไม้ สัตว์ป่า ที่โดนบุกรุกไล่ล่าจนต้องออกกฎหมายคุ้มครองพวกมัน หนำซ้ำต้องมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตราสม่ำเสมอ ทว่าหลายครั้งก็ไม่ทั่วถึงและเล็ดลอดสายตา เนื่องจากเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยอำนาจเงิน อิทธิพลมืด และการขาดแคลนแรงสนับสนุนด้านต่างๆ แม้แต่ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่บางคนก็ยังให้ความร่วมมือกับคนพวกนั้นได้หน้าตาเฉยไร้ซึ่งความละอายแก่ใจ

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ออกลาดตระเวนในเขตป่าอุทยานแห่งชาติไม้ใหญ่ หรือที่คนในพื้นที่เรียกว่า ป่าเจ้าพ่อไม้ใหญ่ พวกเขาทำงานหนักทั้งต่อสู้กับบารมีจากเบื้องบนและอิทธิพลจากภายนอก แต่ค่าตอบแทนกลับไม่ได้คุ้มค่าที่ต้องเสี่ยงชีวิตทุกเมื่อเชื่อวัน คนที่ยังทำงานอยู่ตรงนี้ถ้าไม่ได้มีอุดมการณ์แข็งแกร่ง ก็เพราะชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงพะวงนอกจากตัวเอง

“พวกเราจะเข้าไปลึกกว่าเดิมที่เคยเดินกันประจำ เพราะฉันได้ข่าวลับๆ มาว่ามีพวกลักลอบตัดไม้กับล่านกเหงือกมาอีกแล้ว” ชนัยหัวหน้าชุดปฏิบัติการพูดกับลูกทีมที่ต้องเตรียมอาวุธในมือให้พร้อมตลอดเวลา สายตาสอดส่ายไปรอบๆ อย่างคนชำนาญการเอาตัวรอดในผืนป่า แม้จะทำงานที่นี่มาหลายปีก็ไม่ได้รู้จักทุกตารางนิ้ว ยังต้องระมัดระวังไม่ออกนอกเส้นทางที่เคยสำรวจไว้

“ครับหัวหน้า ผมก็ได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน ไม่รู้คราวนี้ถ้าจับได้ต้องงัดข้อกับอะไร หรือเจอตออีกหรือเปล่า” หนึ่งในลูกทีมที่ทำงานด้วยกันมานานกระซิบเสียงเบา คนที่เหลือก็พร้อมใจถอนหายใจเฮือก เหนื่อยกับการทำงานไม่เท่าไร แต่กับคนชั่วที่ไม่มีจิตสำนึกเนี่ยสิ พวกเขาทั้งเหนื่อยกายเหนื่อยใจ

“เออๆ ถ้าพวกเราจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้ได้จริง ฉันก็จะออกหน้าเหมือนเดิม จำไว้พวกนายต้องยืนยันเสียงแข็งว่า…” ชนัยไม่ใช่ไม่เข้าใจแต่ตัวเองกับภรรยาเติบโตขึ้นก็เห็นป่าพื้นนี้มาแต่ไหนแต่ไร จะให้ละทิ้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก็ฝืนใจทำไม่ไหว ถึงได้ตรากตรำก้มหน้าทำงานนี้ แม้เงินเดือนจะน้อยเมื่อเทียบกับความยากลำบากของงานที่ทำทุกวัน

“พวกเราทำตามคำสั่งหัวหน้า เดินตามหัวหน้า และจับตามหัวหน้าครับ” เจ้าหน้าที่ที่ด้านหลังพูดเสียงยานคางราวกับท่องอาขยาน ทำตัวเป็นลูกเป็ดก้าวเท้าตามแม่เป็ดอย่างเชื่อฟัง

“ดีมาก…ไปโว้ย ไม่เกินบ่ายพวกเราก็จะถึงที่นั่นกันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็พักในป่าสักคืนพวกเราค่อยกลับออกไปรายงานศูนย์ แต่ถ้าเกิดจ๊ะเอ๋พวกทำผิดกฎหมายเข้าก็แสดงตัวจับกุม ขัดขืนก็เข้าปะทะที่สำคัญห้ามทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อตัวเองเด็ดขาด เข้าใจไหม” ชนัยไม่ต้องการเสียลูกทีมของตัวเองไป การบาดเจ็บในป่าเขาก็เหมือนยื่นขาเข้าไปในความตายแล้วข้างหนึ่ง

“เข้าใจครับ” เสียงฮึกเหิมของเจ้าหน้าที่ป่าไม้หนักแน่นจริงจัง แต่พวกเขาต้องควบคุมไม่ให้เสียงดัง เพราะจะเป็นการรบกวนป่าและบอกให้คนร้ายที่อาจมีรู้ตัวแล้วหนีไป

ตอนนี้ป่าที่เคยเงียบสงบได้เปลี่ยนไปแบบปัจจุบันทันด่วน เนื่องจากเกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ป่าไม้กับกลุ่มลักลอบตัดไม้ และล่าสัตว์ ความรุนแรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายคนร้ายมีอาวุธระดับไหน หากเป็นปืนพกธรรมดาก็ช่วยลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ได้ กลับกันถ้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่มีกำลังคนกำลังทรัพย์ไม่ใช่แค่พกอาวุธปืน แม้แต่คนคุ้มกันก็ตามมาช่วยดูแลพวกแรงงานด้วย อาวุธที่พวกมันใช้อย่างต่ำก็เป็นอาวุธสงครามขนาดเบาที่ดันหาซื้อง่ายราวกับขนมในร้านสะดวกซื้อ

เสียงปืนกลดังสนั่นป่าไปทั้งแถบ สัตว์ป่าแตกตื่นหลบหนีไปให้ห่างไกลต้นเหตุเสียงที่สุด พิจารณาจากสถานการณ์แล้วตอนนี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่กำลังเสียงเปรียบในด้านยุทโธปกรณ์ แถมกำลังคนก็ด้อยกว่าอาศัยที่ชำนาญพื้นที่จึงพอต้านไว้ได้ อย่าว่าแต่จะจับคนร้ายเลยจะเอาชีวิตรอดไปได้ครบทุกคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในใจของเจ้าหน้าที่ทุกคนอดภาวนาถึงเจ้าป่าเจ้าเขาที่คอยปกปักที่นี่ไม่ได้ หากมีอยู่จริงช่วยปรากฏตัวออกมาช่วยลูกช้างลูกม้าเดี๋ยวนี้เวลานี้ด้วยเถิด แม้จะไม่เคยเห็นกับตาว่าเจ้าพ่อไม้ใหญ่มีตัวตนหรือไม่ ทว่าทุกคนก็วาดหวังว่าจะมีใครสักคนช่วยให้พ้นจากสถานการณ์คับขัน

ไม่ไกลจากจุดปะทะมีถ้ำเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่สังเกต เนื่องจากเถาไม้ขึ้นปกคลุมพรางตาหลายชั้น แม้แต่สัตว์ก็ไม่กล้าเหยียบย่างมาในพื้นที่นี่ ราวกับพวกมันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ความสงบเงียบพลันเปลี่ยนไป จู่ๆ ก็เกิดแสงสว่างวาบเล็ดลอดออกมาจากภายในถ้ำ ไม่ถึงนาทีทุกอย่างก็กลับคืนสภาพเดิม มีเพียงสายลมที่พัดผ่านจนม่านเถาวัลย์ไหววูบคล้ายจะเห็นว่า มีเงาร่างของคนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนแท่นหินทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นใด รอบตัวมีหญ้าเขียวสดและหมู่มวลดอกไม้เบ่งบานเสมือนไม่ใช่ถ้ำอับทึบ แต่เป็นสถานที่พิเศษที่ซ่อนเร้นจากทุกสายตาที่ไม่คู่ควรได้ยล

ฮุ่ยจื่อที่กำลังจมในห้วงญาณขั้นสูงเพื่อสั่งสมตบะอย่างที่ทำมาตลอดนับพันปีนับหมื่นปี รับรู้ว่ามีบางอย่างแปลกไปจากที่เคย ปราณอันหนาแน่นรอบกายบางเบาลงกะทันหัน สองหูก็แว่วได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ สลับกับเสียงโห่ร้องเตือนวุ่นวายจนทำสมาธิจมจ่อต่อไปไม่ได้ เริ่มแรกเปลือกตาสีอ่อนที่ปิดมาเนิ่นนานเพียงขยับเล็กน้อย จนเสียงที่เคยแค่แว่วดังเซ็งแซ่โหวกเหวกขึ้นเรื่อยๆ คละเคล้ามากับเสียงดังปังๆๆ สะเทือนเข้าไปในแก้วหู สุดท้ายทนไม่ไหวต้องลืมตาพรึบ สีนัยน์ตาของชายหนุ่มเป็นสีทองราวกับอัญมณีน้ำงามที่สุดในโลก ประกายตานั้นหงุดหงิดระคนงุนงงเล็กน้อย

“ผู้ใดมาส่งเสียงเอะอะขนาดที่เหล่าต้นไม้วุ่นวายใจเช่นนี้กัน มิใช่เขตป่าที่ข้าอาศัยจำศีลไม่ควรมีใครเข้ามาหรอกรึ” ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วข้างเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจก้าวขาลงจากแท่นหิน ตรงไปที่ปากถ้ำแล้วแหวกม่านเถาวัลย์ออก เพื่อสำรวจสภาพภายนอกที่ไม่ได้ออกมาเห็นนานหลายปี

“นายท่านๆ ได้โปรดช่วยมนุษย์พวกนั้นด้วย”

“อย่าให้พวกเขาตายๆ”

“พวกมนุษย์ชั่วใกล้จะฆ่าพวกมนุษย์ใจดีแล้ว”

“พวกเราขอร้องๆ ได้โปรดเมตตา” เสียงของเหล่าต้นไม้ประสานกันเป็นเสียงเดียว น้ำเสียงที่สื่อนั้นร้อนใจอย่างมาก

“พวกเจ้าส่งเสียงรบกวนข้าเพื่อใครกัน? อ่า จิงเทียนก็เคยบอกข้าว่ามนุษย์มีทั้งดีชั่ว ไม่เช่นนั้นศัตรูในเวลานั้นคงไม่อาจปราบได้ ข้าควรตอบรับคำขอร้องของเหล่าพืชพันธุ์สินะ การได้พบกันก็คือวาสนา ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจเหตุใดโลกภายนอกที่รู้จักจึงเปลี่ยนไปก็ตาม” ฮุ่ยจื่อไม่ได้รีบร้อนคิดใคร่ครวญอย่างใจเย็น เขายกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะดีดปลายเท้าจากพื้นแผ่วเบา ร่างเพรียวในชุดตัวยาวสีแดงอ่อนก็ทะยานตรงไปยังทิศทางของเสียงพวกนั้น

เขากระโดดไปตามกิ่งก้านสูงของต้นไม้อย่างคล่องแคล่วผิดกับปุถุชนคนธรรมดา แม้โลกนี้จะมีปราณบางเบาแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับภูตอายุที่บำเพ็ญตบะหมื่นปี เขาแค่รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ช่างแตกต่างจากที่ที่ตัวเองคุ้นเคยยิ่งนัก ราวกับไม่ได้อยู่บนโลกใบเดิม ความคิดที่ผุดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ทำให้อดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้

ฮุ่ยจื่อใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานการณ์ที่เกิดเหตุ ชายหนุ่มเห็นคนสองกลุ่มใช้บางอย่างที่น่าจะเป็นอาวุธทำการตอบโต้กัน แค่มองตาเปล่าก็รู้ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูที่หวังกำราบฝ่ายตรงข้าม เขาสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่ปลายนิ้วของคนพวกนั้นแตะที่จุดหนึ่ง สิ่งที่มีรูปร่างเล็กเรียวก็จะพุ่งจากส่วนปลายอาวุธตรงไปข้างหน้า มันไม่มีทางหยุดจนกว่าจะปะทะกับเป้าหมายหรืออะไรก็ตามที่ขวางทางอยู่ และจะมีเสียงดังปังปังเหมือนที่ได้ยินตอนกำลังจำศีลในถ้ำ เครื่องแต่งกายของพวกเขาก็แปลกตา ครั้นย้อนกลับมามองชุดของตัวเอง ก็ต้องกะพริบตาปริบๆ เป็นตัวเองนี่แหละที่แปลกจากคนกลุ่มนั้น

จากหลักฐานที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้ฮุ่ยจื่อรู้ว่าตัวเองพบเจอกับผู้คนที่แตกต่างออกไปจากความทรงจำ ก่อนเข้าถ้ำหลังเกิดเหตุการณ์ที่ยากลืมเลือน อาจเป็นการผันผวนของมิติเวลา หรือเกิดจากโชคชะตา ไม่ว่าต้นสายปลายเหตุคืออะไรก็ยากจะปฏิเสธในภาพที่เห็นตรงหน้า สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องช่วยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก่อน ไม่เช่นนั้นเหล่าต้นไม้คงไม่หยุดส่งเสียงโวยวาย รบกวนประสาทการได้ยินของเขาแน่ๆ

“แล้วข้าควรช่วยใครล่ะ” พูดกับตัวเองพลางกระโดดลงจากกิ่งไม้มายืนลังเลบนพื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างสองฝ่ายพอดิบพอดี ฝีเท้าของเขาเบาราวขนนก ไม่ได้ยินเสียงเหยียบย้ำมีเพียวยอดหญ้าที่ไหวเล็กน้อย

“มนุษย์ที่ดีอย่างไรเล่า พวกเขาทำหน้าที่พิทักษ์ป่า”

“อ่า นายท่านเดินทางมาจากสถานที่ไกลแสนไกล คงไม่เข้าใจหรอก”

“กลุ่มมนุษย์ที่ใส่ชุดเหมือนๆ กันตรงนั้น โปรดช่วยพวกเขา ได้โปรด” เสียงของเหล่าต้นไม้สลับกันพูดเสียงเซ็งแซ่ พวกมันทั้งตื่นเต้นและร้อนรน ทำให้ฮุ่ยจื่อรับรู้ว่าบรรดาจิตวิญญาณพืชพันธุ์ในป่าแห่งนี้ ต้องการช่วยเหลือกลุ่มคนพวกนั้นมากแค่ไหน

ชนัยที่กำลังจะเล็งปืนยิงสวนคนร้ายพลันชะงักแล้วร้องเฮ้ย เสียงของเขาดังมากแต่แทบจะโดนเสียงปืนกลบหายไป ครั้งแรกยังไม่มั่นใจคิดว่าตาฝาดจึงถอยกลับมาหลบหลังต้นไม้ แล้วส่งสายตาให้พรรคพวกคล้ายจะถามลูกทีมว่ามองเห็นเหมือนตัวเองหรือเปล่า ซึ่งคนอื่นก็พยักหน้าหงึกๆ มีสีหน้าคาดไม่ถึงระคนกังวล ไม่รู้ชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวที่ไหนหลงมาถึงที่นี่ พวกเขาจำเป็นต้องหยุดยิงเพราะเกรงจะพลาดไปโดนชายหนุ่มคนนั้นเข้า ถึงจะแต่งตัวประหลาดไม่เหมาะจะเดินป่า ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่อย่างพวกเขาจะเมินเฉย เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มีรสนิยมหลากหลายจะตาย บางทีการแต่งตัวกรุยกรายเข้าป่าอาจกำลังเป็นกระแสก็ได้ (?)

“ทำยังไงดีหัวหน้า เรียกให้เขาวิ่งมาหลบทางเราดีไหมครับ ขืนปล่อยให้วิ่งมั่วซั่วไปทางนั้นไม่มีทางรอดแน่” ลูกทีมตะโกนฝ่าเสียงปืนแสดงความเห็น ทว่าจะช่วยยังไงก็ยังไม่รู้ เพราะแค่ตัวเองกับเพื่อนร่วมงานก็ยังเอาตัวไม่รอด

“พวกนายยิงคุ้มกันที ฉันจะพยายามเข้าไปลากไอ้หนุ่มคนนั้น บ้าชิบ…ขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยแต่ส่งใครมาก็ไม่รู้” ชนัยกัดริมฝีปากแน่น เขากับภรรยาแต่งงานอยู่กินกันหลายปีก็ยังไม่มีวี่แววจะมีลูกสักคน พอเห็นชายหนุ่มอายุน้อยน่าจะมีอนาคตอีกไกล ก็ไม่อยากให้ตกตายทั้งที่อายุแค่นี้ ถึงโลกจะไม่ได้สวยงามไปซะหมด แต่ก็ยังมีอะไรที่น่าชมอยู่ไม่น้อยควรถนอมลมหายใจไว้

“…เอาแบบนั้นละกัน พวกผมจะยิงคุ้มกันให้ หัวหน้าวิ่งสับขาเลยนะครับ” เมื่อเลี่ยงความเสี่ยงไม่ได้ พวกเขาก็ต้องทำให้เต็มที่ให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะหัวหน้าที่เป็นเสมือนขวัญกำลังใจของทีม

“หัวหน้าต้องระวังตัว ถ้าบาดเจ็บกลับไปพี่พรบ่นหูชาแน่ครับ” ลูกทีมอีกคนเตือนหัวหน้าที่ทั้งรักทั้งเคารพทั้งเชื่อฟังภรรยาที่สุด จึงยกจุดอ่อนหนึ่งเดียวขึ้นขู่คนเป็นหัวหน้าที่มักทำอะไรเกินตัว และพวกเขาก็ล้มเหลวในการห้าม

“เออๆ” ชนัยเขม่นตามองลูกทีมที่กล้าพูดถึงแม่ยอดขมองอิ่ม พลางยกปืนเล็งไปที่คนร้ายโดยเลี่ยงทิศทางที่ชายหนุ่มอายุน้อยยืนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่

คนเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ชุดนี้วิ่งหลบหลังต้นไม้ทีละต้น แล้วก็กลั้นใจกะจังหวะวิ่งไปคว้าแขนของชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในสถานการณ์อันตรายแบบนี้ แต่พอจะออกแรงลากกลับไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายขยับเขยื้อนได้ ราวกับสิ่งที่เขาจับอยู่นี้ไม่ใช่คนแต่เป็นภูเขาลูกใหญ่

ฮุ่ยจื่อที่กำลังจะถามเหล่าต้นไม้ก็เอียงคอมองผู้ชายในชุดสีเขียวเข้ม ดูทะมัดทะแมงที่พรวดพราดเข้ามาถึงตัวเขา หนำซ้ำยังบีบแขนผ่านชุดผ้าไหมหิมะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้งุนงงแต่สัมผัสเจตนาชั่วร้ายไม่ได้ จึงไม่คิดสะบัดมือทิ้ง เขาเลิกคิ้วนิดๆ เพราะไม่เข้าใจการกระทำของคนผู้นี้

“พวกเจ้าควรหลบในที่ปลอดภัย เหตุใดวิ่งออกมาเยี่ยงนี้”

“ไอ้หนุ่ม…คุณเป็นคนต่างชาติเหรอเนี่ย แล้วจะคุยกันรู้เรื่องไหมวะ” ชนัยอยากยกมือตบหน้าผากตัวเอง แต่ก็แสดงท่าทางชี้นิ้วที่สัญลักษณ์ของธงประจำชาติบนหน้าอกของตัวเอง เพื่อสื่อว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ทางการประเทศ T สามารถไว้ใจได้ พร้อมสื่อสารเป็นภาษาประเทศ A แบบงูๆ ปลาๆ หวังว่าอีกคนจะเข้าภาษาสากลที่คนบนโลกนี้นิยมใช้ เพราะเขาฟังภาษาที่ออกมาจากปากชายหนุ่มอายุน้อยไม่ออก หากเดาไม่ผิดน่าจะเป็นภาษาของประเทศ C เพราะเขาพอคุ้นหูจากการที่ภรรยาชมชอบซีรีส์ของประเทศนั้น

“มนุษย์ที่ดีๆ”

“พวกโน้นต่างหากที่ชั่วร้าย” เสียงต้นไม้สื่อยังคงส่งเสียงไม่หยุดหย่อน

“…ข้า อะแฮ่ม เราสามารถพูดภาษาเจ้า…คุณได้” ด้วยทักษะตบะที่สั่งสมหมื่นปีพักเดียวฮุ่ยจื่อก็สามารถเลียนแบบวิธีการสื่อสารแล้วพลิกลิ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้ยังไม่คล่องปากก็ไม่ติดขัดสำเนียงชัดเจน สังเกตว่าสีหน้าประหลาดใจระคนโล่งใจของอีกฝ่าย ทว่าเวลานี้ไม่เหมาะจะพูดจากัน

“คุณต้องหลบไปกับผมทางโน้น พวกผมกำลังปะทะกับพวกตัดไม้เถื่อน ลักลอบล่าสัตว์ ครับ” ชนัยพยายามออกแรงดึงชายหนุ่มอีกครั้ง เพื่อวิ่งกลับไปฝั่งของพรรคพวกเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่ขยับเช่นเดิม ตอนแรกก็สงสัยว่าตัวเองหมดแรงเหรอ ก่อนหางตาจะเห็นหนึ่งในคนร้ายเล็งปืนมาทางนี้ เขาก็ไม่ลังเลจะเอาตัวเข้าบังชายหนุ่มที่บังเอิญโชคร้ายมาอยู่แถวนี้ ตั้งใจจะเหนี่ยวไกยิ่งสวนแต่ก็เหมือนจะช้าเกินไป

ภูตสองตน

เสียงปืนนัดนั้นดังขึ้นแล้ว หัวหน้าทีมปฏิบัติการก็หลับตาแน่นเตรียมรับความเจ็บปวด ทว่ากลับไม่รู้สึกอะไรเลยจนผ่านไปอึดใจใหญ่ แม้แต่เสียงอึกทึกรอบตัวก็เงียบลงจนผิดสังเกต เขาจึงค่อยๆ ลืมตาทีละข้างมองสำรวจร่างกายตัวเอง และชายหนุ่มอายุน้อยที่ทำตาใสยิ้มน้อยๆ ส่งให้เขาคล้ายไม่รับรู้สถานการณ์ในตอนนี้

“แค่เหล็กลูกเล็กๆ เท่านี้กลับมีอานุภาพสามารถสังหารชีวิตคนได้ โลกนี้ช่างน่าอัศจรรย์” ฮุ่ยจื่อจับลูกกระสุนหมุนไปมาเพื่อพิจารณา แล้วยื่นไปให้หนุ่มใหญ่ตรงหน้า ไม่ใส่ใจแววตาตื่นตะลึงและไม่อยากเชื่อของอีกคน คล้ายจับต้นชนปลายไม่ทัน ก่อนเยื้องย่างไปฝั่งที่คนร้ายทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก และเริ่มพยายามกระหน่ำยิงใส่ฝั่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกครั้ง

“มึง…มึงเป็นตัวอะไรกันแน่วะ” คนร้ายที่คิดจะเล็งปืนยิงใส่หัวหน้าชุดปฏิบัติการกับชายหนุ่มสวมชุดแปลกตาพูดเสียงละล่ำละลัก ความหวาดกลัวแทรกซึมเข้าในใจช้าๆ เพราะมันเห็นฉากที่อีกฝ่ายสามารถใช้มือเปล่าหยุดกระสุนปืนคาตา แถมยังเอาไปเล่นในมือไปมาราวกับเป็นของเด็กเล่น

“เราได้รับคำขอร้องให้ช่วยพวกเขา ดังนั้นก็ลำบากพวกเจ้..พวกคุณที่ต้องสิ้นท่าที่นี่” จบประโยคนั้นฮุ่ยจื่อก็กระโจนเข้าใส่คนร้ายด้วยความเร็วที่สายตาคนธรรมดามองตามไม่ทัน ร่างเพรียวระหงใช้เพียงสองมือโจมตีใส่จุดอ่อนบนร่างกายของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง คนร้ายที่รับรู้ถึงภัยคุกคามจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ชายหนุ่มในชุดประหลาด ทว่าอาวุธปืนไม่สามารถใช้ได้ผลกับคนที่หลบหลีกได้อย่างพลิ้วไหวดุจสายลม เพียงพริบตาเดียวคนร้ายที่เคยกดดันเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ล้มลงนอนหมดสติกองบนพื้น เสียงปืนดังที่เคยสนั่นป่าบัดนี้เงียบลงแล้ว

“อืม จิตใจดำมืดเช่นนี้ ถ้าพวกมารร้ายพบเข้าคงเลือกชักจูง และสิงสู่ร่างของพวกเจ้า” ฮุ่ยจื่อกลับไปใช้ภาษาของตัวเอง ก่อนหมุนตัวกลับมายิ้มน้อยๆ ให้คนที่สละร่างกายปกป้องเขา “เราช่วยคุณจัดการคนชั่วเรียบร้อย แต่วางใจเถอะพวกมันยังมีลมหายใจอยู่ พวกคุณสามารถนำตัวกลับไปพิพากษาได้”

“ขะ ขอบคุณครับ” ชนัยพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังละเมอ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง พวกเขาเดินออกมาจากป่าพร้อมคนร้ายที่โดนหมัดด้วยเถาวัลย์อย่างหนาแน่น หลักฐานทุกอย่างก็กองสุมๆ อยู่ไม่ไกล

รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่คนอื่นกำลังวุ่นวายรายงานไปยังศูนย์ใหญ่ และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มารับช่วงต่อ ไหนจะนักข่าวที่กำลังเดินทางมาทำข่าว เนื่องจากเป็นการจับกุมขบวนการใหญ่สำเร็จครั้งแรก มีทั้งคนงาน เครื่องไม้เครื่องมือ คนคุ้มกัน และหลักฐานกองพะเนินอยู่ทนโท่ อ่า แล้วชายหนุ่มอายุน้อยคนไหนแล้ว ทำไมเหลือแค่เด็กชายวัยแปดขวบไม่คุ้นหน้า กำลังนั่งชันเข่าบนก้อนหินใช้สองมือประคองแก้มกลม มองคนโน้นคนนี้ด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็นล่ะ

ฮุ่ยจื่อเหม่อมองผู้คนที่สวมใส่ชุดแตกต่างกันไปเดินสวนกันไปมา เขาสัมผัสถึงกำลังภายในหรือพลังจากจุดตันเถียนจากในร่างกายของพวกเขาไม่ได้เลย ราวกับคนบนโลกนี้ไม่รู้จักและไม่ได้พึ่งพาขุมพลังเหล่านั้นอีกต่อไป แต่อาศัยอาวุธที่สะดวกสบายกว่าไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้อย่างที่เพิ่งประสบมา แถมยังมีเจ้าหน้าที่ทางการคอยรับผิดชอบที่เฉพาะเจาะจง รวมกับภาษาที่ไม่คุ้นหูช่วยยืนยันว่าตัวเขาได้โผล่มายังสถานที่ที่ไม่ใช่โลกใบเดิมที่ตัวเองถือกำเนิด เมื่อไม่รู้ว่าตอนมามาอย่างไร จึงไม่มีทางรู้ว่าจะกลับไปได้อย่างไรเช่นกัน หรืออาจกลับไม่ได้อีกเลยก็ยากจะคาดเดา ทว่าเขาควรถนอมพลังกายของตัวเองเอาไว้ ต่อให้มีตบะแข็งกล้าก็ไม่ควรประมาทโลกที่มีไอปราณบางเบา ตัวตนของเขามันผิดแปลกจากคนทั่วไปรูปลักษณ์เด็กน้อยนี้จะช่วยปกปิดได้

ชนัยตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างละเอียด พลางลอบมองเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งกำลังนั่งทอดอารมณ์ด้วยท่าทางราวกับกำลังถ่ายวิดีโอประกอบเพลง ทั้งแสงแดด และสายลมช่างเป็นใจส่งเสริมให้เด็กคนนี้เปล่งประกายดึงดูดสายตาของคนรอบข้าง เอ่อ…ออกจะโดดเด่นเกินไปหรือเปล่าล่ะเนี่ย คิดแล้วก็มองไปรอบๆ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายอายุอานามเท่าไรต่างจับจ้องเด็กชายโดยไม่ละสายตา คล้ายโดนมนตร์สะกดจากเสน่ห์อันยากจะต้านทานของเจ้าตัว พวกเขาล้วนคาดเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นลูกหลานผู้ดีมีเงินจากในเมือง หรือดาราไอดอลอายุหรือไม่ แถมคนที่กลายเป็นเป้าสายตาตอนนี้ก็เหมือนไม่ใส่ใจ หรือไม่รับรู้อะไรอีกด้วย

พอเสร็จธุระเรื่องงานอันน่าปวดเศียรเวียนเกล้า หัวหน้าทีมปฏิบัติการก็ตัดสินใจเดินไปหาเด็กหลงทาง (?) ที่มีที่มาที่ไปคลุมเครือ ทั้งยังสวมชุดประหลาดและติดสอยห้อยตามพวกเขาออกมาจากป่าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ความทรงจำในเวลานั้นของทุกคนช่างเลือนรางไม่ปะติดปะต่อไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ลูกทีมหลายคนลอบพูดตรงกันว่า เป็นเจ้าป่าเจ้าเขาที่ช่วยพวกเขาไว้แน่ๆ บางทีเด็กคนนี้ก็คงพลัดหลงกับผู้ปกครองที่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่กลุ่มที่สนใจแวะเวียนเข้ามากางเต็นท์ในอุทยานป่าไม้ใหญ่ อาจจะซุกซนออกนอกเส้นทางศึกษาธรรมชาติก็ได้

“หนูน้อยตกลงชื่ออะไรมาจากที่ไหน น้าจะไปส่งหาพ่อแม่เอง…พวกเขากางเต็นท์อยู่ที่ลานดาวหรือเปล่า ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ลุงทำแล้วล่ะ” ครั้งนี้หลักฐานพยานพร้อมมูลก็ไม่แน่ว่าจะจับกุมตัวการใหญ่ได้ เพราะเขาเห็นหลายรอบที่สุดท้ายก็ได้แต่แพะเข้าคุก ชนัยยกมือเท้าเอวแล้วถอนหายใจเฮือก ก่อนเปลี่ยนท่าทางเป็นผ่อนคลายพยายามยิ้มให้เป็นมิตรมากที่สุด

“…เราชื่อฮุ่ยจื่อ ส่วนมาจากที่แห่งไหนนั้น…มันน่าจะไกลมาก และเราไม่รู้ว่าจะกลับไปได้ยังไงเหมือนกัน เราไม่มีพ่อแม่หรอก” ภูตหนุ่มเอียงคอเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มราวกับเรื่องที่ตัวเองพูดไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงแบบนั้นคนฟังก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก

“เอ่อ ห๊ะ งั้นไปกับน้าก่อน ถ้ารู้จักคนไหนก็รีบบอกรู้ไหม” ชนัยชักมองเห็นความยุ่งยากที่กำลังเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นก็เดินนำเด็กชายไปยังทิศทางของลานชมดาว ในใจมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าวันนี้จะไม่มีทางจบแบบราบรื่น นอกจากสิ่งแปลกพิสดารที่เกิดขึ้นในป่าซึ่งพวกเขายังหาคำตอบไม่ได้ ก็มีเด็กคนนี้อีกคนที่เขาไม่รู้ที่มาที่ไป

“เราไม่มีคนรู้จักอยู่ที่นี่หรอก แม้คุณอยากช่วยส่งเรากลับบ้านก็ทำไม่ได้ เพราะมันเกินกำลังความสามารถของคุณ” ฮุ่ยจื่อเอามือสองข้างไพล่หลังพลางก้าวขาตามหลังของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ดวงตาเป็นประกายสีทองมองซ้ายมองขวาท่าทางผ่อนคลายไม่เหมือนอากัปกิริยาของเด็กหลงทาง

“ฟังจากชื่อหนูน่าจะเป็นคนจากประเทศ C ชุดที่สวมอยู่ก็คล้ายชุดสมัยโบราณของทางนั้นมาก แล้วหนูนึกออกหรือยังว่า มาที่นี่กับใครหรือมีเบอร์ติดต่อคนรู้จัก ผู้ปกครองหรือเปล่าล่ะ” ชนัยพยายามคิดวิเคราะห์เท่าที่ตาตัวเองจะมองเห็นได้ พยายามสังเกตว่าเด็กคนนี้จับจ้องไปที่ใครนานเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่พอจบประโยครอยยิ้มกว้างของเด็กชายลดลง สีหน้าแววตาปรากฏอาการครุ่นคิดเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งราวกับไม่ใช่เด็กอายุเพียงแปดขวบ

“เรามีคนรู้จักแค่คนเดียว แต่คนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว เขาได้เสียสละตัวเองเพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่สัญญากับเราว่าจะกลับมา…แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แวว” ฮุ่ยจื่อผินหน้ากลับไปมองแสงตะวันยามบ่าย นึกถึงคนคนนั้นที่ไม่อาจหวนกลับมาอยู่เคียงข้างกันได้อีกต่อไป ก่อนมองคนมากหน้าหลายตาที่กำลังสาละวนกับการทำอะไรบางอย่าง บางคนก็จับกลุ่มกันเดินไปยังจุดชมวิวเพื่อนั่งมองพระอาทิตย์ตก

“…หนูน้อยตอบน้าตรงๆ ว่าโดนทิ้งหรือเปล่า ยุคสมัยนี้แล้วยังกล้าทิ้งเด็กไว้ในป่าในเขา ถ้าไม่กลัวบาปกลัวกรรมก็น่าจะกลัวกฎหมายบ้านเมืองบ้าง” ชนัยพูดแล้วก็ใจหายวาบ พิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกเด็กชายอายุน้อยไม่น่าพ้นแปดขวบดี แบบนี้เด็กคนนี้จะใช้ชีวิตในโลกที่น่ากลัวยังไง

ฮุ่ยจื่อส่ายหน้าเบาๆ “เราไม่มีถูกใครทิ้งทั้งนั้น แต่คุณไม่ต้องกังวลกับเราหรอก เราจะกลับเข้าไปในป่าลองหาที่เหมาะๆ สักที่ก็พักได้แล้ว” เด็กชายไม่มีความกังวลในความเป็นอยู่ ป่าทุกผืนเปรียบเสมือนบ้านของเขาต่างกับบ้านเมืองด้านนอก ที่มีแต่เรื่องแปลกใหม่สำหรับภูตตบะหมื่นปี

“เดี๋ยวๆ จะทำแบบนั้นได้ที่ไหน ถึงในป่าจะไม่ได้มีอันตรายมากก็จริง แต่ไม่มีที่เหมาะๆ ให้เด็กอย่างหนูไปอาศัยนอนแน่ๆ” ชนัยไม่มีทางยอมให้เด็กชายกลับเข้าป่าเด็ดขาด ป่าไม้ใหญ่ไม่ใช่โรงแรมที่พักสักหน่อย เขาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด “ถ้าไม่เจอคนรู้จักจริงๆ หนูก็ไปนอนบ้านน้าก่อนแล้วกัน จะเอายังไงต่อก็ค่อยคิดอีกที ไม่แน่พรุ่งนี้อาจมีคนติดต่อมาตามหาหนูก็ได้”

“คุณเป็นคนที่มีจิตใจดีนะ เพราะแบบนี้พวกเขาถึงได้ขอร้องเราให้ช่วยขนาดนั้น” ฮุ่ยจื่อไม่ได้อธิบายว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรทั้งนั้น และยินดีจะรับข้อเสนอของคนตรงหน้า เขาสัมผัสได้ถึงโชคชะตาระหว่างตัวเองกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้คนนี้ ในเมื่อไม่รู้จะกลับไปโลกใบเดิมได้ตอนไหน หรือจะกลับได้จริงหรือไม่ เช่นนั้นการเรียนรู้วิถีทางชีวิตบนโลกใบใหม่ก็เป็นสิ่งที่สมควรที่สุด

“…ไปๆ กลับบ้านของน้าก่อน ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวน้าโดนบ่นหูชา” ชนัยรู้สึกเห็นใจเด็กชายจึงถือวิสาสะจับจูงมือเล็กให้เดินกลับไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ไม่ไกล พอเห็นท่าทางตื่นเต้นสนอกสนใจของเด็กข้างตัวก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู แล้วขออนุญาตอุ้มร่างเล็กในนั่งคร่อมบนเบาะด้านหน้า ก่อนตามไปนั่งด้านหลังกำชับให้เด็กที่ดูเก้ๆ กังๆ ให้นั่งดีๆ จากนั้นก็เริ่มขับรถมอเตอร์ไซค์ออกจากที่จอดในความเร็วที่ช้ากว่าปกติเท่าตัว พลางเล่าเกี่ยวกับบ้านหลังน้อยของตัวเองที่อาศัยอยู่กับภรรยารักสองคน ทั้งคู่พยายามมาหลายปีก็ยังไม่มีพยานรักจึงวางแผนสะสมเงินสำรองไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต กระนั้นไฟแห่งความหวังจะได้โอบอุ้มกล่อมเกลี้ยงเจ้าตัวเล็กสักคนให้ชุ่มชื่นหัวใจก็ไม่เคยดับมอดไป

กชพรละสายตาจากกระทะที่กำลังผัดกับข้าว แล้วชะโงกหน้ามองไปทางประตูรั้วครู่หนึ่งก็กลับมาทำยุ่งกับการทำอาหารต่อ เมื่อแน่ใจว่าเป็นเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของสามีที่เข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้าน ไม่ทันสังเกตว่านอกจากชายหนุ่มแล้วยังมีแขกตัวน้อยติดมาด้วย พอได้ยินเสียงไขประตูบ้านเปิดเข้ามา เธอก็ยกจานกับข้าวใบสุดท้ายมาวางบนโต๊ะไม้พอดี พลางเอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงแจ่มใสระคนห่วงใย

“พี่นัยเหนื่อยไหม วันนี้ได้ยินว่าจับกลุ่มลักลอบตัดไม้ล่าสัตว์ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บใช่ไหมจ๊ะ”

“แต่เห็นหน้าพรตอนกลับบ้านพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว ส่วนงานทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่พี่มีเรื่องจะเล่าให้พรฟังหลายเรื่อง อ่อ…พี่พาคนมาฝากท้องกับนอนที่บ้านเราสักคืนนะครับ” ชนัยเอ่ยเสียงออดอ้อนเอาใจภรรยารัก พร้อมพยักหน้าเรียกให้เด็กชายที่ยืนมองสำรวจบ้านหลังน้อยตามเข้ามา

“หืม? พี่นัยหมายความว่ายังไงจ๊ะ” กชพรกะพริบตาปริบๆ คาดไม่ถึงว่าคนที่สามีพากลับบ้านไม่ใช่เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานอย่างทุกครั้ง ทว่าเป็นเด็กชายหน้าตาน่ารักที่หยุดยืนหน้าประตู

“สวัสดี…ครับ เราชื่อฮุ่ยจื่อ ยินดีที่ได้รู้จักกับภรรยาของน้านัย เราต้องขอรบกวนอาหารมื้อนี้กับที่นอนสักคืนครับ” ภูตหนุ่มเอ่ยภาษาของประเทศ T ราวกับเป็นเจ้าของภาษา และตั้งใจคลี่ยิ้มกว้างเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเอง ซึ่งก็ได้ผลคนรักเด็กมีอากัปกิริยาตื่นเต้นและยินดี จนลืมสามีที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ด้านข้าง เธอเดินเข้าไปหาเด็กชายแล้วย่อตัวให้ดวงตาประสานกัน

“สวัสดีจ้ะ เรียกน้าว่าน้าพรดีกว่าเนอะ คำว่าภรรยาของน้านัยฟังแล้วยาวเกินไป แล้วก็แค่ข้าวสักมื้อกับที่นอนอุ่นๆ ไม่รบกวนเลยจ้ะ” กชพรรู้สึกถูกชะตากับเด็กชายมากอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนกับดวงตาสีทองเดาว่าน่าจะเป็นลูกครึ่ง เพียงแต่ไม่มั่นใจว่าเป็นเชื้อชาติไหนผสมกันแน่ ถึงได้ออกมาดูดีราวกับพระเจ้าตั้งใจปั้นแบบนี้

“ขอบคุณครับน้าพร” ฮุ่ยจื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรอย่างจริงใจ จึงยอมให้อีกฝ่ายจูงมือเขาไปนั่งบนเก้าอี้ ข้างหน้ามีจานอาหารวางอยู่พร้อมส่งกลิ่นไปทั่วห้องเล็กๆ ห้องนี้

“อะแฮ่ม พรไม่ได้ลืมพี่นัยคนนี้แล้วใช่ไหมครับ” ชนัยพูดเย้าภรรยาเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ไม่ได้คิดจริงจังก่อนเดินไปหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ประจำของตัวเอง

“พี่นัยก็…ฮุ่ยจื่อเป็นแขกของบ้านเราก็ต้องดูแลให้ดีหน่อยสิ ใช่ไหมจ๊ะ” กชพรนั่งบนเก้าอี้ของตัวเองพลางเอ่ยกับสามี ก่อนหันกลับมาพูดกับเด็กชายที่สนอกสนใจกับทุกอย่าง ท่าทางน่าเอ็นดูนั่นน่ามองมากกว่าหน้าตาเหี้ยมเกรียมของคนที่นั่งหัวโต๊ะ แล้วก็ขยับมือจับช้อนกลางตักกับข้าวใส่จานข้าวของชนัย ตามด้วยจานข้าวของเด็กชาย

ฮุ่ยจื่อเอียงคอสังเกตการณ์กระทำของสองสามีภรรยา ก่อนจะทำตัวเลียนแบบอย่างแนบเนียนเสมือนใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นประจำ แม้ภูตที่มีตบะนับหมื่นปีไม่จำเป็นต้องกินดื่มเยี่ยงมนุษย์ทั่วไป แต่ถ้าต้องการก็สามารถรับรสชาติอาหารได้ตามปกติ เขารู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศของบ้านหลังนี้ดีมาก ช่างอบอุ่นอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา มองไม่เห็นไอหมอกมืดดำบ่งบอกว่าเจ้าของบ้านนั้นไม่เคยเบียดเบียนผู้อื่น หนำซ้ำยังมีประกายสีทองแห่งคุณความดีปะปนอยู่ สมควรแล้วที่ได้รับการคุ้มครองจากบรรดาพลังงานด้านดี

ภูตสามตน

หลังจบมื้ออาหารกชพรก็ดันหลังให้สามีกับแขกไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว จากนั้นก็กลับมานั่งพูดคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะ ครั้นรับรู้เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบผู้หญิงคนเดียวของบ้านก็อดลูบหลังลูบไหล่เด็กชายเป็นเชิงปลอบประโลม แววตาทอประกายเห็นใจระคนกังวลอยากอ้าปากรับเลี้ยงไว้เสียเอง กระนั้นทุกอย่างก็ควรเป็นไปตามขั้นตอน บางทีญาติหรือผู้ปกครองของเด็กคนนี้อาจกำลังตามหาอย่างร้อนใจก็ได้

“พรุ่งนี้พี่จะพาฮุ่ยจื่อไปโรงพัก เผื่อว่ามีคนแจ้งความคนหาย” ชนัยมองตาภรรยาก็รู้ว่าคงหลงใบหน้าน่ารักของเด็กชายเข้าแล้ว แต่คนเขามีพ่อมีแม่ไม่ได้เกิดจากกอไผ่จะได้นึกอยากเก็บมาเลี้ยงก็ทำเลย ยกเว้นว่าผ่านไปสักระยะไม่มีใครแจ้งความตามหาเด็กจริงๆ เขาอาจพิจารณาความต้องการของอีกคนแบบจริงจัง

“แล้วระหว่างนี้ฮุ่ยจื่อจะกินจะนอนที่ไหน คงไม่ได้ให้เด็กตัวแค่นี้อาศัยอยู่โรงพักนะจ๊ะ” กชพรขมวดคิ้วมีอากัปกิริยาไม่ยินยอม ยิ่งมองเด็กชายนานแค่ไหนก็ยิ่งตัดใจปล่อยมือไม่ลง อายุเพิ่งแปดขวบก็ต้องระกำลำบากต่างบ้านต่างเมือง หากไม่ใช่สามีของเธอเป็นคนพบเจออาจถูกคนชั่วล่อลวงไปทารุณกรรมก็เป็นไปได้

“พี่ก็ไม่รู้ต้องลองถามตำรวจที่โรงพักก่อน ไม่ใช่ว่ามีบ้านเด็กกำพร้าอยู่…พวกเขาน่าจะให้ฮุ่ยจื่อไปอยู่ที่นั่น” ชนัยเห็นการปฏิกิริยาของภรรยาที่มีต่อเด็กชายก็ลดเสียงลง พร้อมสะกิดให้เดินตามออกมายืนคุยอีกมุม “ถ้าเด็กคนนั้นโดนทอดทิ้งจริงๆ แล้วพรก็ชอบเขาเอ็นดูมากพอ พี่กับพรก็สามารถทำเรื่องรับฮุ่ยจื่อเป็นลูกบุญธรรม แต่ก็ต้องทำทุกอย่างตามขั้นตอนห้ามใจร้อนเข้าใจไหมครับ”

กชพรฟังคำของสามีแล้วก็มองเด็กชายที่กำลังดูโทรทัศน์ ซึ่งกำลังฉายซีรีส์ดังที่ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ชมอย่างล้นหลาม ท่าทางตั้งใจและมีสมาธิผิดกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน

“พี่รับปากฉันแล้วนะจ๊ะ ไม่รู้เพราะอะไรถึงถูกชะตากับฮุ่ยจื่อมากไม่เหมือนรู้สึกกับเด็กคนไหน ยังไงฉันกับพี่ก็ไม่มีลูกแล้วจะรับเด็กมาเติมสีสันในบ้านก็น่าจะดีจ้ะ”

“เรื่องท้องไม่ท้องไม่ใช่ความผิดของใคร หมอก็บอกว่าเราสองคนไม่มีปัญหาสุขภาพ มันต้องมีโชคมีดวงด้วยจริงไหมครับ” ชนัยจับมือของภรรยามากุมไว้เบาๆ พลางทอดสายตามองไปที่เด็กชายที่ดูสนุกสนานกับฉาก Action

“จ้ะ แต่ตอนนี้เราต้องกดเปลี่ยนช่องให้ฮุ่ยจื่อก่อนไหม เด็กๆ ไม่ควรดูเนื้อหารุนแรง” กชพรรีบดึงสามีเดินกลับไปนั่งรวมที่หน้าโทรทัศน์ พอเห็นรอยยิ้มกับแววตาเปล่งประกายของเด็กชาย สองสามีภรรยาก็เปลี่ยนใจไม่กดเปลี่ยนช่อง แต่ทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ที่ดีคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด

ห้องนอนเล็กที่ปกติเปิดรับแขกของเจ้าของบ้านที่อาจมาค้างนานทีปีหน บัดนี้กลายเป็นที่พำนักชั่วคราวของภูตย่อส่วน คนที่ควรนอนหลับพักผ่อนค่อยๆ ลืมตาท่ามกลางความมืดสลัว ยกมือเล็กขาวผ่องเล่นกับแสงจันทร์ที่ส่องลอดผ่านมาทางหน้าต่าง ก่อนสองมือจะลูบคลำไปบนเตียงนุ่ม อบอวลด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ บ่งบอกถึงความใส่ใจของคนที่จัดเตรียมห้องนี้ให้เขา ในโลกที่ไม่เคยรู้จักต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่ทั้งหมด และไม่รู้ว่าควรวางตัวตนแท้จริงลงตรงจุดไหน อย่างน้อยโชคชะตาก็ไม่ได้เล่นตลกมากเกินไป

“ท่านผู้สูงสุดมาจากที่ไหน ความรู้สึกนี้ช่างน่าประหลาด”

“ชู่ว อย่างทำเสียงดัง…ท่านผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์หูหนวกที่ไม่เคยได้ยินเสียงพวกเรา”

“ฉันอยากให้ท่านอยู่กับที่นี่จังเลย”

“พวกเราไม่อาจทำแบบนั้นได้ ท่านจะไปที่ไหนล้วนเป็นไปตามปรารถนาของท่านเอง” เสียงของเหล่าพืชพันธุ์แว่วตามสายลมมันไม่ได้น่ารำคาญ ทว่าเปรียบเสมือนเสียงเพลงขับกล่อมให้คนที่พลัดถิ่นค่อยๆ เคลิ้มหลับ จมสู่ความฝันอันสงบสุข พร้อมกับดูดซับปราณบริสุทธิ์แสนบางเบาเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ เป็นธรรมชาติ

เช้าวันใหม่มื้ออาหารจบด้วยความอิ่มและอุ่นท้อง กชพรกำชับสามีให้ดูแลเด็กชายจนกว่าจะมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย จึงยอมปล่อยให้หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปทำธุระสำคัญ ในใจมีลางสังหรณ์ว่าเธอได้เด็กแสนน่ารักเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแน่นอน เมื่อมาถึงจุดหมายฮุ่ยจื่อก็หรี่ตามองหมอกควันสีเทาที่ปกคลุมสถานที่ที่น้านัยบอกว่า เป็นสถานีตำรวจสำหรับให้คนที่เดือดร้อนมาร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หากเทียบเคียงก็น่าจะเป็นสำนักของมือปราบ เนื่องจากเจ้าเมืองไม่ได้ประจำการอยู่ที่นี่

ชนัยเลิกคิ้วมองเพื่อนที่เป็นตำรวจประจำการที่โรงพักแห่งนี้ ก่อนผินหน้ามองเด็กชายที่แกว่งขาเล่น พลางใช้ดวงตาสีทองอ่อนมองคนนั้นทีคนนี้ที คล้ายบทสนทนาของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ทั้งที่มันเป็นเรื่องของเจ้าตัวโดยตรง เด็กที่อายุแปดขวบไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนสักอย่าง แถมยังไม่มีใครแจ้งความคนหายเด็กหายในพื้นที่เลย

“ฉันจะลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน ถ้ามีคนแจ้งความตามหาจะรีบบอกนาย แต่คงต้องส่งเด็กไปฝากที่มูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าชั่วคราว หน้าตาท่าทางก็ไม่เหมือนเด็กโดนทิ้งน่าจะพลัดหลงมากกว่า” จ่าประเสริฐที่รู้จักมักจี่กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตรงหน้าหลายปีก็แจกแจงขั้นตอนต่างๆ แบบตรงไปตรงมา ยอมรับว่าระบบการทำงานไม่ได้เอื้ออำนวยความสะดวกเท่าที่ควร ทว่าเขาก็พยายามทำตามหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ที่สุด

“ทำแบบนั้นก็ได้ ถ้าเดือนหนึ่งไม่มีใครมารับจริงๆ ฉันกับพรจะรับฮุ่ยจื่อไปเลี้ยง เมียฉันเขาถูกชะตากับเด็กมากน่ะสิ จ่าก็รู้ว่าฉันกับเมียพยายามกันหลายปีแต่คงไม่มีวาสนาครับ” ชนัยยักไหล่ด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ต้องการให้ความผิดหวังความเศร้าเกาะกุมใจของตัวเอง

“อืม แต่น่าจะยุ่งยากเพราะไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่างเดียว อาจต้องลองหาในฐานข้อมูลทะเบียน ถ้าไม่มีก็อาจเกิดบนประเทศอื่นหรือไม่ก็เป็นเด็กที่อยู่นอกระบบ” จ่าประเสริฐรู้ฐานะทางบ้านของเพื่อนคนนี้ดี การจะดำเนินเรื่องต่างๆ ให้รวดเร็วทันใจย่อมต้องอาศัยเวลา หากมีทรัพย์เพียงพอก็สามารถเกลี่ยทางได้ง่ายขึ้น

“ขอบใจจ่ามาก แต่ฉันขอเป็นคนพาฮุ่ยจื่อไปที่มูลนิธินั่นเอง ฉันจะได้เอาเรื่องไปบอกพรได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นหูสองข้างของฉันอาจยานไม่เท่ากัน” ชนัยถอนหายใจเฮือกเข้าใจที่คนตรงหน้าต้องการจะสื่อ

“เออๆ เดี๋ยวฉันทำเอกสารให้เรียบร้อย นายก็พาเด็กไปเถอะที่บ้านเด็กกำพร้าธารน้ำใสนะ” จ่าประเสริฐย้ำสถานที่ที่จะฝากเด็กไว้ชั่วคราว ก่อนเร่งออกเอกสารให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้นำไปยื่นให้ทางมูลนิธิ

“น้านัยครับ” ฮุ่ยจื่อที่เงียบนานสองนานเอ่ยเสียงเบา ระมัดระวังไม่ให้เจ้าหน้าที่ที่กำลังทำงานของตัวเองระแคะระคาย “ที่นี่คงมีคนจิตใจชั่วร้ายมากกว่าคนดีใช่หรือไม่ แต่เราไม่แปลกใจเท่าไรสถานที่เช่นนี้ยากจะทำให้มีแค่กลิ่นอายด้านสว่าง”

ชนัยแทบไม่เชื่อหู ดวงตาเบิกกว้างมองเด็กชายที่ทำตาแป๋ว อีกคนไม่มีเหตุผลที่ต้องจะโกหก แต่มันควรเป็นประโยคที่ออกมาจากปากของเด็กอายุน้อยจริงๆ เหรอ เขาได้ยินครบทุกคำแต่กลับไม่เข้าใจ เพราะมันฟังดูไร้สาระที่สุด ทว่าคนที่ใช้ชีวิตในประเทศ T ล้วนคุ้นเคยกับความเชื่อเหนือธรรมชาติ ถึงอย่างนั้นมันก็เหลือเชื่ออยู่ดี

“ฮุ่ยจื่อหนูพูดอะไรครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมชำเลืองมองเพื่อนที่ไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขา

“…” เด็กชายไม่ได้พูดขยายความเพิ่มเติม เอาแต่ยิ้มตาหยีสีหน้าใสซื่อท่าทางอารมณ์ดี

แม้ไม่ได้คำตอบอย่างที่ต้องการ แต่ชนัยก็ไม่ซักไซ้เลือกเก็บงำความสงสัยไว้ ก่อนจะนำเอกสารรับรองมุ่งหน้าไปยังมูลนิธิธารน้ำใส แล้วค่อยไปทำงานที่อุทยานซึ่งน่าจะสงบลงแล้วหลังความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน กระนั้นก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะไม่มือปริศนาเอื้อมมายุ่งกับคดีความ ต่อให้นำหลักฐานทั้งหมดไปกองตรงหน้า ก็เปล่าประโยชน์หากเผชิญกับอำนาจบารมีที่หนุนหลังคนจำพวกนี้

มูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าบ้านธารน้ำใสไม่ใช่สถานที่ใหญ่โต แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใจบุญรวมถึงชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง ไม่ใช่แค่เงินยังมีข้าวของที่ได้รับการบริจาคจากหลายส่วน ถือว่าสถานการณ์ของที่นี่ดีกว่าบ้านเด็กกำพร้าอื่นๆ ที่ขาดแคลน บางครั้งต้องปิดตัวลงเพราะไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายได้ เพียงแต่สิ่งที่ดีในสายตาบางคนก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีในสายตาคนคนหนึ่ง โดยเฉพาะดวงตาที่สามารถมองทะลุทะลวงถึงเนื้อแท้ของฮุ่ยจื่อ

ร่างเล็กลอบพ่นลมหายใจยาวเหยียด อยากพูดบางอย่างกับคนที่จูงมือพาเขาเดินสำรวจรอบๆ เจ้าหน้าที่ที่ภายนอกยิ้มแย้มกลับซุกซ่อนใบหน้าที่โหดร้ายเอาไว้ เด็กทุกคนไม่กล้าเข้าใกล้คนแปลกหน้ามีท่าทีหวาดกลัว ซึ่งผู้ใหญ่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กๆ จะมีความเปรอะบางทางอารมณ์ จึงไม่เฉลียวใจคิดว่าพวกเขาถูกกระทำอะไรบ้าง ไม่ว่าจะดุด่า ตบตี ใช้แรงงาน และไม่เคยได้กินอิ่มท้อง ทั้งหมดนี้เป็นจิตวิญญาณของต้นราชพฤกษ์ต้นใหญ่ถ่ายทอดให้ฟังอีกที

“ฮุ่ยจื่อต้องอยู่ที่นี่ก่อน น้าสัญญาว่าถ้าไม่มีคนมารับเรากลับบ้าน ค่อยไปอยู่กับพวกน้าเนอะ” ชนัยสร้างความเชื่อมั่นให้เด็กชายที่ดูสงบกว่าที่คิด ตอนแรกคิดว่าจะออกอาการหวาดระแวง ดื้อดึงไม่อยากอยู่ในสถานที่แบบนี้

“อือ…ครับ น้านัยไม่ต้องห่วงเราหรอก เราจะหาอะไรทำแก้เบื่อระหว่างที่ยังว่างๆ อยู่” ฮุ่ยจื่อเอ่ยอย่างกระตือรือร้น อยากลงมือเสียตั้งแต่ตอนนี้

“ตัวแค่นี้แต่เก่งจริงๆ งั้นน้าไปทำงานก่อน พรุ่งนี้น้าจะพาน้าพรมาหาทำอาหารมาเลี้ยงเด็กๆ ที่นี่ด้วย” ชนัยหัวเราะขบขันท่าทางของเด็กชาย แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจรอยยิ้มสดใสของอีกคนแปลกๆ

“อ่อ ให้เพื่อนคนนั้นของน้านัยมาด้วยสิครับ คนที่ชื่อว่าจ่าประเสริฐได้ไหมครับ” ฮุ่ยจื่อแหงนหน้าทำสายตาออดอ้อน คนที่อยากมีลูกเป็นของตัวเองก็ใจอ่อนยวบพยักหน้ารับปาก เท่านั้นใบหน้าน่ารักก็เบ่งบานกว่าเดิมซ้ำยังเป็นคนดึงมือที่จับกันไว้ออก ก่อนโบกมือลาคล้ายจะบอกให้รีบไปทำงานได้แล้ว กลับเป็นชนัยที่เกิดละล้าละลังอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วยอมตัดใจขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกไป

เด็กชายที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นกำลังยืนชมบรรยากาศแสงสุดท้ายของวัน ใต้ต้นไม้ที่ออกดอกสีเหลืองเป็นพวงเพียงลำพัง เด็กๆ ในบ้านเด็กกำพร้าอยากเรียกเพื่อนใหม่มากินข้าวด้วยกัน แม้จะไม่อิ่มหรืออร่อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้ท้องว่าง แต่พวกเขาก็กลัวจะโดนทำโทษจากผู้ใหญ่ที่อยู่ที่นี่ จึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตากินข้าวให้หมด แล้วทำงานตามหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนแยกย้ายกันเข้าห้องนอนเงียบๆ คนที่โตกว่าเด็กคนอื่นพยายามปลอบไม่ให้น้องๆ ที่ยังไม่รู้ภาษาส่งเสียงงอแง เพราะเกรงว่าจะสร้างความรำคาญจนถูกตีถูกขังในห้องเก็บของ

“นอนกันให้ดีๆ ถ้าก่อเรื่องก็ไม่ต้องนอนที่นี่ แต่ไปนอนข้างนอกห้องเหมือนไอ้เด็กลูกครึ่งคนนั้น” หนึ่งในเจ้าหน้าที่หญิงพูดข่มขู่เสียงหนัก ชี้นิ้วกราดใส่หน้าเด็กทุกคนที่หลบตาพร้อมผงกศีรษะรับคำไม่กล้าโต้แย้ง ทำให้เจ้าหน้าที่คนอื่นพอใจกับการอยู่ในโอวาทของเด็กเหลือขอที่ไม่มีใครต้องการ จากนั้นพวกเธอก็ปิดประตูอาคารนอนดังปัง ก่อนพากันกลับบ้านพักที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

“ถ้าเด็กคนนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ฝากฝังไว้ ฉันคงลากไปขังไว้ในห้องเก็บของจะได้รู้จักที่ทางของตัวเอง” ระหว่างเดินไปตามทางที่มองเห็นได้จากหลอดไฟ Solar cell ดวงเล็กที่เรียงรายเป็นระยะ ของพวกนี้ล้วนได้รับจากการบริจาคเพื่อช่วยประหยัดค่าไฟ หวังให้พวกเด็กๆ ไม่ต้องกลัวความมืดมิดในเวลากลางคืน ทว่าคงคาดไม่ถึงว่าสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์จะเป็นคนใจคดคิดชั่ว

“ก็ไม่แน่หรอก เด็กนั่นคงโดนทิ้งไม่งั้นจะมาอยู่ที่แบบนี้ทำไม ถ้าสองสามวันไม่มีคนติดต่อมารับตัวก็ต้องอยู่ที่นี่ถาวร ตอนนั้นค่อยลงไม้ลงมือให้เด็กมันเข้าใจว่าควรทำตัวยังไง” เจ้าหน้าที่หญิงอีกคนลอยหน้าลอยตา ก่อนจะสะดุ้งตัวโหยงเมื่อเห็นร่างๆ หนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านพักของพวกเธอ

“เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนเห็นผี” เจ้าหน้าที่หญิงคนแรกเห็นจู่ๆ เพื่อนมีท่าทีตกใจ จึงรีบหันไปมองตามสายตาคู่นั้นก็ตกใจไปด้วย แต่ลองเพ่งตามองดีๆ พร้อมใช้ไฟฉายสาดไปค่อยโล่งอก เจ้าของเงาร่างใต้หลอดไฟที่ไม่ได้เปิดคือ เด็กลูกครึ่งที่ชื่อฮุ่ยจื่อ

“ทำไมยืนอยู่ตรงนี้มืดๆ คนเดียว ตอนเย็นก็ไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหาร กลางคืนก็ไม่รู้จักเข้าไปนอนกับเพื่อนๆ ” เจ้าหน้าที่หญิงที่เปรียบเสมือนหัวหน้าเอ่ยเสียงแข็งและห้วน พลางถลึงตาใส่ด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง

“…เรามีเรื่องอยากพูดกับพวกเธอสักหน่อย เรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมอันน่ารังเกียจ คนที่ควรสำนึกถึงจุดยืนของตัวเองไม่ใช่เด็กๆ แต่เป็นพวกเธอที่มีหน้าที่ดูแลพวกเขา” ฮุ่ยจื่อไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงสว่างจากไฟประดิษฐ์ ดวงตาของเขาสามารถมองทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน

“ไอ้เด็กบ้า พูดบ้าอะไร อย่าคิดว่ามีคุณชนัยเอ็นดูแล้วฉันจะไม่กล้าตีแกนะ ฉันจะตีแกจนแกต้องร้องหาแม่เลย แล้วอย่าคิดไปฟ้องใคร…แค่พวกฉันพูดตรงกันว่าลงโทษที่แกก่อเรื่องทำความเดือดร้อนให้มูลนิธิ แกคิดด้วยหัวเล็กๆ ดูว่าคนจะเชื่อใครระหว่างผู้ใหญ่อย่างพวกฉันกับเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรอย่างพวกแก” เจ้าหน้าที่หญิงเอ่ยเสียงเหี้ยม แล้วฉวยเอาไม้เรียวจากเพื่อนร่วมงานอีกคนมาถือ สองขาก็ก้าวไปหาเด็กชายที่ยืนนิ่งเฉยไม่มีกิริยาหวั่นเกรง โดยไม่ลืมกดเปิดหลอดไฟขับไล่ความขมุกขมัวของบรรยากาศรอบด้าน

เธอเงื้อมือข้างที่ถือไม้เรียวขึ้นสูง เตรียมจะฟาดใส่หลังเล็กเต็มแรง เหมือนที่เคยทำกับเด็กคนอื่นเวลาตัวเองไม่พอใจ ทว่าไม่สามารถขยับแขนข้างนั้นได้อย่างที่คิด ครั้นหันไปมองก็เห็นว่ามีเถาวัลย์สีเขียวรัดข้อมือไว้แน่น ภาพนั้นไม่ได้มีสายตาคู่เดียวที่เห็น แต่มีสายตาอีกหลายคู่ของเจ้าหน้าที่หญิงคนอื่นที่เบิกตาจ้องมองสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น พวกเธอทำท่าจะหันหลังวิ่งหนีแต่ก็โดนเถาวัลย์รั้งเอาไว้ พอจะส่งเสียงกรีดร้องก็ทำไม่ได้ เพราะปากก็โดนพันไว้แน่นหนา จึงมีแต่เสียงอึกอักเล็ดลอดออกมา

“เราจะช่วยสนองคืนการกระทำทั้งหมด พวกเธอจะได้เข้าใจว่าเด็กๆ รู้สึกแบบไหนยังไง ทุกความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นร่างกายของพวกเธอจะได้ซึมซับมัน ไม่ต้องกลัวมันไม่น่าจะถึงตาย ก็เด็กๆ ยังทนได้เลยจริงไหม” ฮุ่ยจื่อเอามือสองข้างไพล่ไว้ข้างหลัง ก่อนเดินวนรอบพวกเจ้าหน้าที่หญิงที่มีน้ำตาไหลอาบหน้า แววตาฉายถึงความกลัวระคนตื่นตระหนก ซ้ำพยายามร้องขอความเมตตาทั้งที่ขยับตัวขยับปากไม่ได้ แต่เด็กชายกลับไม่สนใจจะมอบให้แม้แต่นิดเดียว

จากนั้นรากไม้ ดอกไม้ ต้นไม้รอบๆ ก็เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ก่อนโยกไหวไปมาเลียนแบบแส้แล้วตวัดฟาดไปมาอากาศ พวกมันแสดงการขู่ขวัญไม่นานก็เปลี่ยนเป้าหมายจากความว่างเปล่าเป็นลำตัวของเจ้าหน้าที่หญิง พืชพันธุ์ที่นี่จดจำทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เด็กๆ ที่คอยดูแลประคบประหงมพวกมันต้องโดนรังแกครั้งแล้วครั้งเล่า ผักสวนครัวที่เจริญงอกงามก็แทบไม่ถึงปากท้องของพวกเขา คราวนี้ได้เวลาเอาคืนแทนเด็กๆ แบบทบต้นทบดอกแล้วโดยไม่คิดปรานี

ฮุ่ยจื่อย่อส่วนอยู่ในร่างเด็กชายอายุ 8 ขวบนะคะ ถ้ามีส่วนไหนยังเป็นสิบขวบ หรือมีคำผิดสามารถแจ้งได้เสมอค่ะ

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0