โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ชีวิตนี้ ขอไม่เสียสละ (จบ)

นิยาย Dek-D

อัพเดต 03 ม.ค. เวลา 03.04 น. • เผยแพร่ 03 ม.ค. เวลา 03.04 น. • สายลมที่จางไป
ชีวิตนี้ ขอไม่เสียสละ (จบ)
“เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง” คำๆ นี้ฉันได้ยินมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้อายุ32ปีแล้ว ฉันก็ยังต้องเสียสละอยู่เลย เริ่มตั้งแต่เสียสละของเล่น ไปจนถึงชีวิตของฉัน

ข้อมูลเบื้องต้น

เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง คำๆ นี้เธอได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้อายุได้32ปีแล้ว ก็ยังต้องเสียสละอยู่เลย

อยากรู้จริงๆ ใครมันเป็นคนคิดคำพูดนี้ออกมา เป็นพี่แล้วยังไง อยากได้อยากมีอะไรไม่ได้เลยหรือไง ทำไมต้องให้น้องทุกอย่างที่น้องอยากได้ด้วยล่ะ

แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเสียสละให้กับเธอได้แล้วนะ ลาก่อน อย่าได้เจอกันอีกเลยครอบครัวของฉัน

ถ้าได้เกิดใหม่ ฉันขอไม่เสียสละอีก


นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการ ตัวละครในนิยายก็เป็นชื่อที่มาจากจินตนาการ

ผิดพลาดประการใดก็แนะนำกันได้นะคะ แต่ห้ามด่ากันนะ ไม่ชอบกดออกได้เลยค่ะ


อาหารที่มีพลังปราณจะมีรสชาติขม ยิ่งขมมากเท่าไหร่พลังปราณก็จะเข้มขนมากยิ่งขึ้นและราคาแพง (รสชาติขมยิ่งกว่ากินบอระเพ็ดหลายสิบเท่า)

อาหารที่ไม่มีพลังปราณจะไม่มีรสชาติอะไรเลยนอกจากจืดและราคาถูก ส่วนมากจะเป็นอาหารของชาวบ้านยากจนธรรมดา

ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถปลูกอาหารที่มีรสชาติขมได้ คนที่ปลูกได้ส่วนมากจะเป็นตระกูลที่ได้รับมรดกตกทอดหนังสือเพาะปลูกพืชพลังปราณมาเท่านั้น

ค่าเงิน 1000 อีแปะ=1ตำลึงเงิน

100 ตำลึงเงิน=1ตำลึงทอง

ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ

ธาตุพิเศษ มิติ

น้ำ+ดิน=ไม้หรือพฤกษา

ลม+ไฟ=สายฟ้า

ดิน+ไฟ=ลาวา

น้ำ+ลม= น้ำแข็ง

ระดับพลัง มี10 ระดับ มีสามระดับย่อย ต้น กลาง สูง

ระดับ1 สีแดง

ระดับ2 สีฟ้า

ระดับ3 สีน้ำเงิน

ระดับ4 สีเขียว

ระดับ5 สีม่วง

ระดับ6 สีคราม

ระดับ7 สีเงิน

ระดับ8 สีทอง

ระดับ9 สีขาว

เสียสละ

ตั้งแต่เด็กสิ่งที่เธอได้ยินเป็นประจำก็คือ เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง แม้ว่าของชิ้นนั้นจะเป็นของที่รักหรือชอบมากๆ ก็ตาม

พ่อของเธอชื่อ หง จางหมิ่น แม่ชื่อ จง ลี่หยาง

หง หนิงหลิน คือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ มันแปลว่า ป่าอันสงบ

เธออายุได้3ปี แม่ก็ได้ให้กำเนิดน้องสาวมาอีกหนึ่งคน และตั้งชื่อให้กับน้องว่า หง อ้ายฉิง ที่แปลว่า ความรัก

ตั้งแต่ที่อ้ายฉิงเกิดมา เธอต้องเสียสละทุกอย่างให้กับน้องเพียงเพราะว่าน้องอยากได้ ถ้าครั้งไหนที่เธอไม่ให้ก็จะโดนพ่อแม่ทุบตี ด่าว่า หาว่าเธอเป็นคนหวงของไม่รักน้องทั้งๆ ที่ของชิ้นนั้นมันเป็นของที่เธอรักมาก

เริ่มจากของตุ๊กตา ของเล่น อาหาร เงิน เวลา และคู่หมั้น เพียงแค่ทำท่าทางอ่อนแอ ทั้งๆ ที่แข็งแรงก็จะสามารถแย่งทุกอย่างไปได้ทุกครั้ง

หนิงหลินโดนบังคับให้เรียนวาดรูป เพราะน้องชอบอยากให้พี่วาดให้ แค่บีบน้ำตาพ่อกับแม่ก็ตามใจเธอ

โดนบังคับให้เรียนดนตรี เพราะน้องอยากฟัง

โดนบังคับให้เรียนตัดเย็บ เพราะน้องไม่อยากให้คนอื่นมาจับเสื้อผ้า

โดนบังคับให้เรียนหมอแผนโบราณ เพราะอยากอวดเพื่อนว่ามีพี่เป็นหมอ

โดนบังคับให้เรียนทำเครื่องหอม เพราะน้องดูหนังแล้วชอบ

โดนบังคับให้เรียนทำอาหาร เพราะน้องไม่อยากกินอาหารที่คนอื่นทำ

โดนบังคับให้เรียนศิลปะการป้องกันตัว เพราะอยากให้พี่ปกป้อง

โดนบังคับให้เรียนบริหาร เพราะน้องอยากเป็นผู้บริหารแต่เรียนไม่ไหว

ทุกอย่างที่เธอโดนบังคับให้เรียน พอเรียนจบหลักสูตรแล้วก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่แม่น้องสาวของเธอจะให้เธอทำให้ยกเว้นบริหาร

และล่าสุด โดนบังคับให้ยกคู่หมั้นให้กับน้องสาว

แต่ครั้งนี้จะว่าบังคับก็ไม่ถูกนักเพราะคู่หมั้นของเธอเองก็เต็มใจที่จะหมั้นกับน้องสาวของเธอด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่แค่หมั้นกันเท่านั้นนะแต่ทั้งคู่จัดงานแต่งกันเลยต่างหากล่ะ แถมยังให้เธอมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้อีก

ว่าถึงเรื่องงานบริหาร เธอเป็นคนทำงานแต่มีตำแหน่งเป็นแค่เลขาของ อ้ายฉิง ส่วนอ้ายฉิงนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารแต่ไม่เคยได้ทำงานเลย เรียกว่าทำงานไม่เป็นเลยจะดีกว่า

งานที่อ้ายฉิง ถนัดที่สุดเห็นจะเป็น ทำทีแกล้งป่วย ไม่สบาย ทั้งๆ ที่เธอแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไรเลยสักอย่างแค่ขี้เกียจเท่านั้นเอง แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยว่า เพราะมีเธอ หนิงหลิน ทำหน้าที่เสียสละให้น้องอยู่ทั้งคนไงล่ะ

ธุรกิจที่ครอบครัวของเธอทำนั้นไม่ได้ขาวสะอาดมากนัก ออกจะเทาๆ ค่อนไปทางดำเสียด้วยซ้ำ ทำให้มีศัตรูค่อนข้างมาก นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวที่เธอมองเห็นว่าการที่ต้องเสียสละเป็นเลขาให้น้องนั้นดีมากเพราะคนที่โดนตามฆ่าไม่ใช่เธอที่เป็นเลขาแต่เป็น อ้ายฉิงที่เป็นประธาน

ทำให้เวลาที่ อ้ายฉิง จะไปไหนต้องมาคนคุ้มกันมากกว่ายี่สิบคน รถที่นั่งก็เป็นรถกันกระสุนอย่างดี อ้ายฉิงยังไม่เคยโดนทำร้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ช่างดวงแข็งจริงๆ

งานแต่งงานวันนี้จัดออกมาได้ยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานแต่งงานของสองตระกูลใหญ่ เลยล่ะ งานแต่งงานนี้จัดขึ้นที่เกาะส่วนตัวของเจ้าบ่าวตามที่เจ้าสาวต้องการ เพียงแค่เอ่ยปากว่าชอบทะเล ทุกอย่างก็พร้อมที่จะเอามาวางไว้แทบเท้าทันที ช่างเป็นคนที่น่าอิจฉาจริงๆ

แขกในงานที่ถูกเชิญมามีแต่คนตระกูลใหญ่ นักธุรกิจ นัการเมืองใหญ่ นักข่าวที่เชิญมาทำข่าวก็มาจากสำนักข่าวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งหนิงหลินคิดว่าการจัดงานแบบนี้นั้นอันตรายมาก เพราะมันจะเปิดช่องให้ศัตรูสามารถวางแผนฆ่าเราได้ แต่แล้วยังไงล่ะในเมื่อน้องสาวของเธอชอบแบบนี้

หนิงหลินมองคู่บ่าวสาวบนเวทีแสดงความรักกันหวานซึ้งประหนึ่งรักกันมาแต่ชาติปางก่อนก็ไม่ปาน ในงานมีแต่คนพูดว่าทั้งคู่เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก ผู้หญิงก็สวยอ่อนหวาน น่าทะนุถนอม ทั้งยังมากความสามารถ ผู้ชายก็หล่อเหลาเพียบพร้อมเก่งกาจ

อ้อ เจ้าบ่าวของน้องสาวเธอเป็นคนตระกูล หยุน ชื่อตงหยาง

อืม หยุนตงหยางกับหงอ้ายฉิง แค่ชื่อก็เหมาะสมกันมากแล้ว เหมาะสมกันดีอย่างที่คนอื่นๆ พูดกันนั่นแหละ

"หนิงหลิน มาช่วยยกกระโปรงให้น้องหน่อยซิ มัวแต่ยืนทำอะไรอยู่ น้องต้องไปทักทายแขกข้างล่างอีกนะ" แม่ของเธอเรียกให้ไปทำหน้าผู้เสียสละแล้วล่ะ

"พี่ช่วยยกให้สูงอีกนิดได้ไหมคะ อ้ายฉิงเดินไม่ค่อยถนัดเลยค่ะ" อ้ายฉิง ที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันมาบอกพี่สาว

หนิงหลินไม่ได้พูดอะไรทำเพียงแค่ยกชายกระโปรงให้ตามที่น้องสาวพูด

"แกยกให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง เห็นไหมว่าน้องเดินไม่ถนัดน่ะ เดี๋ยวเกิดน้องล้มขึ้นมาจะทำยังไงห๊ะ ไม่ได้เรื่องจริงๆ เลยแกนี่" จงลี่หยาง หันมาบ่นหนิงหลิน ลูกคนนี้ทำอะไรก็ไม่เข้าตาเธอเลยสักอย่าง

หนิงหลินเพียงแค่หันไปมองแม่ของเธอแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป หน้าที่ยกกระโปรงเจ้าสาวมันเป็นของเธอที่เป็นพี่เจ้าสาวไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ

ระหว่างที่ เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวเดินทักทายแขกในงาน บอดี้การ์ดก็เข้ามาบังคู่บ่าวสาวเอาไว้ พร้อมกับตะโกนขึ้นมา

"มีมือปืนซุ้มยิง ทุกคนโปรดระวังตัวกันด้วยนะครับ" สินคำพูดของการ์ดคนทั้งงานก็แตกตื่น บ้างก็ลุกขึ้นวิ่ง บ้างก็ยังนั่งอยู่กับที่

ขณะนั้นเองหนิงหลินก็รู้สึกเหมือนว่ามีคนผลักเธอให้ไปยืนอยู่ข้างหน้า อ้ายฉิง พอหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นแม่ของเธอนั่นเองที่เป็นคนผลักเธอ เธอรู้สึกเจ็บที่หน้าอกพอก้มลงไปมองก็เห็นเลือดไหลออกมา แล้วเธอก็ล้มลง

"อ้ายฉิงไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูก เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"จงหยางลี่รีบเดินเข้ามาหาลูกสาวที่เธอรักทันทีหลังจากที่ผลักลูกอีกคนไปรับกระสุนแทน

"อ้ายฉิงไม่เป็นไรค่ะแม่ แค่ตกใจเท่านั้น แต่พี่หนิงหลินสิคะ "อ้ายฉิงชี้ไปที่หนิงหลินที่ล้มลงกับพื้น

เลือดของหนิงหลินไหลออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นกับไม่มีใครสนใจที่จะตามหมอมาให้กับเธอเลย

นี่ฉันต้องเสียสละชีวิตให้อ้ายฉิงเป็นครั้งสุดท้ายใช่ไหม

"แกเป็นพี่ ต้องเสียสละให้น้อง เป็นสิ่งที่แกสมควรจะทำ ชีวิตของแกก็สมควรที่จะเสียสละให้น้องเช่นกัน น้องกำลังแต่งงานมีความสุข จะให้มาตายไม่ได้ แต่แกยังไม่ได้แต่งงานหรือว่ามีใคร "จงลี่หยางพูดโดยที่ไม่แม้แต่จะเสียใจกับการกระทำของตัวเองสักนิด

"ได้ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้ที่ฉันยอมเสียสละให้กับเธอ แต่ถ้าชาติหน้ามีจริงฉันจะไม่ยอมเสียสละเพื่อใครอีก ลาก่อนครอบครัวของฉัน อย่าได้เจอกันอีกเลย" หนิงหลินหลับตาลงพร้อมกับลมหายใจที่ขาดไป

แม้ว่าหนิงหลินจะตายต่อหน้าทุกคนในครอบครัวแต่ก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เสียใจกับการจากไปของเธอ

วิญญาณของหนิงหลินยังคงไม่ได้ไปไหน ตอนนี้เธออยู่ในงานศพของตัวเอง ทุกอย่างถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่คำกล่าวอาลัยกับการจากไปของเธอเหมือนกับว่าการที่ไม่มีเธออยู่ในโลกใบนี้นั้นเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ไม่มีใครเสียน้ำตาให้เธอแม้แต่หยดเดียว

"ไปกันได้แล้วล่ะ เจ้าหมดเวรจากโลกใบนี้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเกิดที่โลกใบใหม่ " ยมทูตขาวกล่าวกับหนิงหลิน

หนิงหลินเองก็ไม่ได้มีห่วงอะไรในโลกนี้ จึงตามไปอย่างว่าง่าย

แล้วเจอกันนะโลกใบใหม่ ขอให้มีคนที่เห็นความสำคัญของฉันบ้างขอแค่ สักคนก็พอ

ตระกูล หง

หนิงหลินฟื้นขึ้นมาในร่างของคุณหนูใหญ่ตระกูลหง

คุณหนูใหญ่คนนี้มีชื่อแซ่เดียวกันกับเธอเลย ไม่ใช่แค่นั้นนะ แม้แต่พ่อแม่และน้องสาวก็มีชื่อเดียวกัน นิสัยก็เหมือนกับชาติที่แล้วของเธอไม่ผิดเพี้ยนเลย แต่ชาตินี้มีน้องชายมาเพิ่มอีกหนึ่งคนไม่อย่างนั้นเธอคงคิดว่ายังอยู่ในโลกเดิมแน่ๆ

จากความทรงจำของร่างเดิมนั้น อาศัยอยู่ในเมืองลั่วหยาง แคว้นตงเปียน

มี5ตระกูลใหญ่ได้แก่ 1 ตระกูลโจว เสนาบดีกรมขุนนาง 2 ตระกูลชุน เสนาบดีกรมยุติธรรม 3 ตระกูลเหลียง เสนาบดีกรมกลาโหม 4 ตระกูลหยุน เสนาบดีกรมการคลัง 5 ตระกูลหง เสนาบดีกรมโยธา

ทุกคนที่เกิดมาจะสามารถฝึกฝนพลังธาตุและพลังปราณได้ ตั้งแต่อายุ5ขวบ ทุกคน

ระดับพลังแบ่งเป็น9ขั้น ในหนึ่งขั้นมีสามระดับย่อย คือ ต้น กลาง สูง

1.สีแดง คือระดับ ก่อกำเนิด

2.สีฟ้า คือระดับ หลอมรวม

3. น้ำเงิน คือระดับ พื้นฐาน

4. สีเขียว คือระดับ นักรบ

5. สีม่วง คือระดับ แม่ทัพ

6. สีคราม คือระดับ จอมยุทย์

7. สีเงิน คือระดับ ราชันย์

8. สีทอง คือระดับ จักรพรรดิ

9. สีขาว คือระดับ เซียน

ร่างนี้มีพ่อชื่อ หงจางหมิ่น อายุ38 เป็นเสนาบดีกรมโยธา มีธาตุดิน ระดับพลัง สีม่วงขั้นกลาง

แม่ชื่อ จงลี่หยาง อายุ 35 มีธาตุน้ำ ระดับพลัง สีเขียว ขั้นต้น

ตัวเธอชื่อ หงหนิงหลิน อายุ17 เดิมมีธาตุดิน ระดับพลังสีฟ้า ขั้นกลาง

น้องสาวชื่อ หงอ้ายฉิง อายุ15 มีธาตุน้ำระดับพลัง สีน้ำเงิน ขั้นกลาง

น้องชายชื่อ หงจางหยง อายุ13 มีธาตุดิน ระดับพลัง สีน้ำเงิน ขั้นต้น

ร่างนี้เสียชีวิตเพราะร้องไห้ขาดใจตาย ด้วยเพราะว่าต้องเป็นฝ่ายเสียสละแต่งงานกับรองแม่ทัพ ที่ตอนนี้มีข่าวว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถรักษาให้หายได้จนตอนนี้อาจจะกลายเป็นคนพิการ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้โดนปลดจากการเป็นรองแม่ทัพ

เดิมเธอที่เป็นคุณหนูใหญ่ถูกวางตัวให้เป็นคู่หมายของคุณชายใหญ่ตระกูลหยุน

น้องสาวของเธอถูกวางให้เป็นคู่หมายของคุณชายรองตระกูลเหลียง นั่นก็คือท่านรองแม่ทัพ แต่พอมีข่าวว่าเขาอาจจะกลายเป็นคนพิการ เพียงอ้ายฉิงบอกว่าไม่อยากแต่งงานกับคนพิการก็เกิดการเปลี่ยนตัวคู่หมายทันที

ขึ้นชื่อว่าคู่หมายนั่นหมายความว่ายังไม่มีการหมั่นเกิดขึ้นเพียงแค่มีการพูดคุยกันปากเปล่าเท่านั้น และก็ยังไม่มีการระบุว่าใครต้องแต่งงานกับใคร รู้กันเพียงว่าคุณหนูตระกูลหงทั้งสองเป็นคู่หมั้นของคุณชายตระกูลเหลียง และคุณชายตระกูลหยุน เท่านั้น

เมื่อสองวันก่อนมีราชโองการสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทให้ ท่านรองแม่ทัพเหลียงหานเหว่ย แต่งงานกับคุณหนูตระกูลหง ในอีกสองเดือนข้างหน้า ทั้งยังไม่ได้ระบุชื่อมาให้ นั่นหมายความว่าให้คนในตระกูลเลือกกันเองว่าจะส่งใครแต่งออกไป

หึ หึ มาถึงก็ได้แต่งงานกับใครก็ไม่รู้ อีกทั้งพลังธาตุก็ต่ำเตี้ยเสียเหลือเกิน

เป็นคุณหนูใหญ่ แต่ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่ มีความเป็นอยู่ดีกว่าบ่าวไพร่นิดหน่อย เงินรายเดือนก็ได้เพียงเดือนละ10ตำลึงเงิน ได้มากกว่าหัวหน้าแม่ครัวเพียง2ตำลึงเงิน ในขณะที่น้องสาวน้องชายได้คนละ5ตำลึงทอง ทรัพยากรที่ควรจะได้รับก็ไม่เคยได้ บ่าวไพร่ในเรือนก็ไม่มี เรือนที่อยู่ก็อยู่ท้ายจวน พลังธาตุที่มาถึงระดับสีฟ้าก็ด้วยเพราะฝึกฝนเองล้วนๆ

ไม่ว่าเกิดชาติไหนเธอก็ไม่เคยเป็นที่ต้องการของครอบครัวเลย เธอเคยทำอะไรไม่ดีไว้ในชาติไหนอย่างนั้นหรือถึงเกิดมาไม่มีใครรักแบบนี้

ช่างเถอะ ไม่รักก็ไม่รักสิ ก็แค่แต่งงานมีอะไรน่ากลัวกันล่ะ ความรู้ที่เธอเคยเรียนมาคงจะพอที่ให้เธอเอาตัวรอดในโลกใบนี้ได้หากต้องหย่ากับท่านรองแม่ทัพคนนั้น

"คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ บ่าวเอาอาหารมาส่งให้เจ้าค่ะ วางไว้หน้าเรือนนะเจ้าคะ" แล้วก็เดินจากไป

ดูสิ ขนาดกินข้าวยังไม่มีสิทธิ์ได้ไปกินที่เรือนใหญ่เลย มาดูกันว่าจะได้กินอาหารแบบไหน

ตามความทรงจำเดิมที่ได้มาอาหารส่วนใหญ่ที่หนิงหลินได้กิน คือข้าวต้มกับผัดผัก ผัดผักคือผัดจริงๆ ไม่ใส่อะไรเลยแม้แต่น้ำมัน

คนที่นี่ยังไม่รู้จักวิธีการปรุงรสชาติอาหาร เครื่องปรุงที่มีคือเกลือกับน้ำตาล ซึ่งมีความเชื่อกันว่าเกลือใช้ใส่ในอาหารคาว น้ำตาลเอาไว้ทำของหวาน ไม่สามารถเอาทั้งสองอย่างนี้มาใส่ในอาหารจานเดียวกันได้

อาหารที่กินจึงมีแค่รสเค็มกับหวาน ไม่มีคำว่ากลมกล่อม

แต่อาหารของเธอมีแต่คำว่าจืด จืดสนิทไม่มีรสชาติอะไรเลย นี่แหละคืออาหารของคุณหนูใหญ่ ตระกูลหง

คิดถึงอาหารของโลกก่อนจัง แม้ชาติก่อนจะไม่เป็นที่รักแต่ไม่ได้ถูกจำกัดอาหารการกินแบบนี้ เฮ้อ..คงต้องทนกินเข้าไปก่อน แม้จะไม่มีรสชาติแต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้กิน คงต้องหาโอกาสออกไปซื้ออาหารมาทำกินเองแล้วล่ะให้กินแบบนี้ทุกวันคงไม่ไหว

เมื่อกินอาหารอิ่มแล้วหงหนิงหลินก็เดินกลับเข้าไปในห้อง คงต้องนอนพักสักหน่อยแล้วล่ะเพราะยังรู้สึกเพลียจากการร้องไห้ของหนิงหลินคนเก่าอยู่

"ที่นี่คือที่ไหน ฉันนอนหลับอยู่ในห้องของคุณหนูใหญ่ตระกูลหง ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้" หงหนิงหลินมองไปรอบๆ สิ่งที่เห็นคือต้นหญ้าเขียวขจี แปลงผักหลากหลาย มีต้นผลไม้ บ่อน้ำและบ้านหนึ่งหลัง

"บ้านหลังนี้คุ้นๆ นะ เหมือนบ้านที่เธอเคยแอบซื้อเอาไว้ในชาติก่อนเลย แล้วผักกับผลไม้พวกนี้เป็นของใครกัน" หนิงหลินตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้าน

"มีใครอยู่ไหมคะ มีใครอยู่ในบ้านหรือเปล่า"

"มาแล้วรึ เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ เราจะได้คุยกัน" เสียงของชายชราคนหนึ่งดังออกมาจากในบ้าน

หงหนิงหลินเดินเข้าไปในบ้าน เธอมองไปรอบๆ เอ๊ะ นี่มันบ้านของเธอไม่ใช่เหรอ ของตกแต่งบ้านทุกชิ้นเหมือนกันมากเลย

"อย่ามัวแต่ทำหน้าสงสัยอยู่เลยมานั่งคุยกันก่อน ข้ามีเวลาไม่มากนักหรอกนะ" ชายชราพูดขึ้นเมื่อยังเห็นว่าหนิงหลินไม่ยอมมานั่งสักที

"ขอโทษค่ะ ว่าแต่คุณตาเป็นใครหรือคะ แล้วทำไมบ้านของฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่ว่าฉันตายแล้วไปเกิดใหม่เป็นคุณหนูใหญ่เหรอคะ"

"เจ้าไปเกิดใหม่น่ะถูกแล้ว ส่วนข้าเป็นใครนั้นเจ้าไม่ต้องรู้หรอกเพราะเราคงไม่ได้เจอกันอีก ที่ข้ามานี่ก็เพื่อจะมอบมิติแห่งนี้ให้กับเจ้า และจะให้เจ้าเลือกพลังธาตุได้อีกหนึ่งธาตุ ให้ความสามารถกับเจ้าได้สองอย่าง แต่ไม่มีพรใดๆ ให้กับเจ้า"

"ทำไมต้องให้ฉันเหรอคะ มีอะไรที่ฉันต้องรู้หรือเปล่า"

"ข้าแค่สงสารในชะตาชีวิตของเจ้าเท่านั้น ไม่มีใครทำอะไรผิดต่อเจ้า ชาตินี่จะเป็นชาติสุดท้ายที่เจ้าจะได้พบเจอกับครอบครัวนี้ ชีวิตต่อจากนี้เจ้าจะมีความสุขไม่ต้องทนทุกข์เพราะครอบครัวนี้อีก จะทำอะไรต่อจากนี้จงคิดให้รอบคอบ เอาล่ะเลือกมาได้แล้วว่าเจ้าจะเลือกธาตุและความสามารถอะไร"

หนิงหลินนิ่งคิด ถ้าตามหลักการแล้ว ดินต้องคู่กับน้ำ งั้นเลือกน้ำนี่แหละ

"ฉันขอเลือกธาตุน้ำเพราะเดิมร่างนี้มีธาตุดินอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าควรจะเลือกความสามารถอะไรท่านมีคำแนะนำให้หรือเปล่าคะ คือฉันยังไม่ค่อยรู้ว่าที่โลกนี้มีคนส่วนมากมีความสามารถอะไรกัน"หนิงหลินรู้สึกอายนิดหน่อยที่ถามออกไป

"เฮ้อ!.. ถ้าให้ข้าแนะนำ คงเป็นผู้ใช้อักขระกับผู้ปรุงโอสถ เจ้าจะเลือกสองอย่างนี้เลยหรือไม่เล่า" ชายชราถาม

"ค่ะ ฉันเอาความสามารถสองอย่างที่ท่านบอก แล้วฉันจะฝึกฝนพวกมันได้ยังไงหรือคะ ข้างนอกมีหนังสือขายหรือเปล่า" หนิงหลินถาม

"พลังธาตุกับความสามารถ ทั้งหมดที่มีในโลกใบนี้ข้าจะมอบให้เจ้าเอาไว้ในห้องหนังสือ แล้วก็ของในบ้านเจ้าที่มีอยู่เจ้าสามารถหยิบออกไปใช้ได้ไม่มีวันหมด แต่ของบางอย่างนั้นเมื่อเอาออกไปแล้วมันจะเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับยุคที่เจ้าอาศัยอยู่ อาหารที่อยู่ในนี้ทั้งหมดเมื่อกินเข้าไปแล้วมันจะช่วยส่งเสริมการฝึกฝนพลังธาตุกับพลังปราณ ที่อยู่ในร่างกายได้ ส่วนน้ำในบ่อที่เจ้าเห็นนั้นมันคือน้ำทิพย์ ถ้าปรุงยาใส่น้ำทิพย์เข้าไปจะทำให้ยามีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ที่เหลือเจ้าต้อไปหาคำตอบเอาเอง เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้วจากนี้ก็ขอให้เจ้าโชคดี อย่าได้ไว้ใจใครง่ายๆล่ะ" พูดจบชายชราก็หายตัวไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่

หนิงหลินลุกขึ้นเดินไปที่ห้องหนังสือเพื่อดูว่ามีหนังสืออย่างที่ชายชราบอกไว้หรือเปล่า

"มีหนังสือจริงๆ ด้วยมีทุกธาตุเลย อย่างนี้ฉันก็สามารถฝึกฝนพลังในนี้ได้สินะ เอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยฝึกตอนนี้ต้องไปหาอะไรกินก่อน" หนิงหลินวางหนังสือในมือลงแล้วเดินเข้าไปในครัว

จะว่าไปแล้วเธอยังไม่ได้เดินสำรวจบ้านเลยนี่นา ในบ้านมีอะไรบ้างเธอเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่าเคยเรียนอะไรก็ซื้อทุกอย่างที่เคยเรียนเก็บไว้ทั้งหมด ไปทำงานที่ประเทศไหนก็ซื้อของประเทศนั้นกลับมาด้วย ประเทศที่ได้ไปบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นประเทศไทย เพราะน้องสาวของเธอไม่ชอบอากาศที่ร้อนอบอ้าวก็เลยเป็นเธอที่ต้องไป แต่เธอก็ชอบนะเพราะที่นั่นอาหารอร่อยดี

แค่มีมิติแห่งนี้เธอก็ไม่อดตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องออกไปหาซื้ออาหารข้างนอกให้คนอื่นๆ สงสัยด้วย

มีเวลาสองเดือนก่อนที่จะแต่งงาน เธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกฝนอยู่ในมิติแห่งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นคนในจวนแห่งนี้จะต้องเสียใจที่ไม่เคยสนใจเธอ เธอจะทำให้พวกเขาต้องแหงนหน้ามองเธอให้ได้คอยดูสิ

แต่งงาน

หงหนิงหลิน ใช้เวลาฝึกฝนอยู่ในมิติเป็นเวลา2เดือนของข้างนอกแต่60ปีของในมิติ ซึ่งเธอได้ทำการปรับเวลาให้1วันข้างนอกเท่ากับ1ปีของข้างใน

ทำให้ตอนนี้เธอมีพลังธาตุอยู่ในระดับ สีม่วง ขั้นกลาง เป็นผู้ใช้อักขระ สีเขียว ขั้นสูง เป็นผู้ใช้โอสถ สีเขียว ขั้นกลาง

และตอนนี้เธอถือครอง ธาตุพฤกษา มาจากธาตุดิน+ธาตุน้ำ นั่นเอง ไม่ว่าเธอจะปลูกอะไรทุกอย่างล้วนแล้วแต่งอกงามและมีพลังปราณแฝงอยู่ด้วย

หงหนิงหลิน ได้ทดลองปรุงยาเอาไว้มากมายมีตั้งแต่ระดับ สีฟ้าขั้นต้น ไปจนถึง สีเขียวขั้นกลาง ความบริสุทธิ์ เริ่มตั้งแต่3 ส่วน ไปจนถึงสิบส่วน เรียกได้ว่าเธอเป็นร้านยาเคลื่อนที่เลยก็ว่าได้ เรื่องนี้ต้องขอบคุณอ้ายฉิงในชาติก่อนล่ะนะ ที่อยากมีพี่เป็นหมอยาแผนโบราณ ทำให้เธอสามารถปรุงยาได้หลากหลายอย่างนี้

เธอได้ทดลองลงอักขระมิติไว้ในเครื่องประดับ มีสร้อยข้อมือ แหวน ปิ่นปักผม ถุงเงิน ขนาดแตกต่างกันไป

เริ่มต้นที่ขนาด50ตารางเมตร ขนาด100ตารางเมตร และขนาด500ตารางเมตร เธอยังสร้างมิติขนาด10ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดทดลองของเธอไว้อีกมากเลยทีเดียว

พรุ่งนี้เป็นวันที่เธอต้องแต่งงานกับท่านรองแม่ทัพเหลียงหานเหว่ย แต่สิ่งที่เธอพึ่งจะรู้จากการคุยกันของสาวใช้ก็คือรองแม่ทัพเหลียงหานเหว่ยนั้นเป็นลูกของอนุ

ที่โลกนี้ลูกอนุจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คนหากแต่งงานแล้วจะถูกขับไล่และตัดขาดออกจากตระกูลทันที เห็นได้ชัดเลยว่าพ่อแม่ของร่างนี้รักเธอมากขนาดไหน

เธออยากรู้จริงๆ เลยว่าถ้าจะรังเกียจลูกอนุขนาดนี้แล้วจะพากันมีอนุทำไม ลูกอนุไม่ใช่คนหรือไงถึงต้องพากันรังเกียจ

ไม่เป็นไรหรอกหากว่าที่สามีของเธอคนนี้ดีกับเธอ เธอก็จะดีกับเขาให้มากๆ เหมือนกัน แต่ถ้าเขามีคนรักอยู่แล้วเธอจะขอให้เขาเขียนหนังสือหย่าให้กับเธอ ถึงแม้ว่าสมรสพระราชทานจะไม่สามารถหย่าได้ แต่ถ้าเราสองคนไม่บอกใคร นั่นก็ย่อมต้องไม่มีคนรู้อยู่แล้ว เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขส่วนเธอก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ

"คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายท่านให้มาตามไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ" เสียงสาวใช้ตะโกนเรียกจากหน้าเรือน

"ได้ยินแล้ว เดี๋ยวข้าตามไป" ทำไมอยู่ๆ ถึงเรียกให้เธอไปหาได้นะ ช่างเถอะไปถึงคงรู้เอง

หงหนิงหลิน หยิบกำไลปกปิดพลังที่เธอทำเอาไว้มาใส่ก่อนที่จะเดินไปเรือนใหญ่ โดยไม่สนใจสายตาของบ่าวที่มองมาสักนิด

เมื่อเดินมาถึงที่เรือนใหญ่ก็เห็นพ่อบ้านใหญ่ยืนอยู่ข้างนอกเหมือนกับรอใครอยู่ แต่พอเขาเห็นเธอก็รีบบอกว่า

"คุณหนูใหญ่ นายท่านกับแขกคนอื่นๆ รอท่านอยู่ด้านใน ท่านรีบเข้าไปเถอะขอรับ" พ่อบ้านใหญ่รีบพูดบอกทันทีที่มองเห็นคุณหนูใหญ่

หงหนิงหลินเพียงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง ไม่คิดที่จะพูดอะไรกับพ่อบ้านใหญ่คนนี้สักคำ ดูจากสายตาก็รู้แล้วว่าคนคนนี้ไม่ได้เคารพเธอที่เป็นคุณหนูใหญ่อย่างที่ปากเรียก แล้วทำไมเธอต้องเปลืองน้ำลายพูดกับเขาด้วยล่ะ

ทันทีที่หงหนิงหลินเดินเข้ามาในห้องก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน นี่หรือคุณหนูใหญ่ตระกูลหง ทำไมนางถึงได้ดูสง่างามเช่นนี้ท่วงท่าในการเดินช่างอ่อนช้อยงดงามทว่าก็ดูแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน แต่สง่างามแล้วอย่างไรในเมื่อพลังของนางนั้นด้อยกว่าน้องชายน้องสาวเสียอีก

"หนิงหลินคารวะท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ทุกท่านเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านพ่อเรียกหาลูกมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ"หนิงหลินไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ที่มองมา

หงจางหมิ่นมองหน้าลูกสาวคนโตที่เขาไม่เคยสนใจ หากจำไม่ผิดเจอกันครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นเมื่อสองเดือนก่อน แต่ตอนนั้นลูกสาวคนนี้ของเขาไม่ได้สะดุดตาแบบนี้นี่ หรือเป็นเพราะตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจที่จะมองกันนะ

อ้ายฉิงมองพี่สาวด้วยความไม่พอใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พี่สาวของเธอดูดีแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เป็นที่สนใจของคนในครอบครัวแล้วนางมีสิทธิ์อะไรที่ทำตัวให้ดูดีแบบนี้กัน

"ที่เรียกมาวันนี้ก็เรื่องงานแต่งงานของเจ้า เดิมทีเจ้าจะต้องเข้าพิธีแต่งงานพรุ่งนี้ แต่รองแม่ทัพเหลียงหานเหว่ยมีเหตุให้ต้องเดินทางกลับชายแดนพรุ่งนี้ ข้าจึงอยากให้เจ้าออกเดินทางไปพร้อมกับเขาเลยเพราะไม่ว่าจะช้าหรือเร็วเจ้าก็ต้องเขาพิธีแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว"หงจางหมิ่นพูดพร้อมกับมองหน้าลูกสาว เมื่อเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีขัดขืนเขาก็เบาใจ เดิมทีคนที่ต้องแต่งกับรองแม่ทัพคนนี้คือลูกสาวคนรองของเขาแม้ตอนนั้นจะรู้อยู่แล้วว่ารองแม่ทัพเป็นเพียงลูกอนุเขาก็ไม่ขัด แต่ตอนนี้นอกจากเป็นลูกอนุแล้วยังพิการอีกทำให้เขาไม่สามารถส่งลูกสาวที่รักแต่งออกไปกับรองแม่ทัพคนนี้ได้ จึงเกิดการเปลี่ยนตัวเจ้าสาวขึ้น

หงหนิงหลินหันไปมองเจ้าบ่าวของเธอ ก็เห็นว่าเขากำลังมองเธออยู่เหมือนกัน

จากที่เห็นเขาก็เหมือนคนปกติทุกอย่างนี่นา แล้วพิการตรงไหน หรือว่าบาดเจ็บที่แขนที่ขา ทำให้ขยับไม่สะดวกก็เลยทำให้คนอื่นคิดว่าพิการ จนถึงตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าเขาพิการที่ตรงไหน

ด้านรองแม่ทัพเหลียงหานเหว่ย เขาได้มองสำรวจว่าที่ฮูหยินของเขาตั้งแต่ที่นางเดินเข้ามาแล้ว น่าแปลกใจมากที่นางดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยกับการที่รู้ว่าต้องแต่งงานกับคนพิการแบบเขา แล้วก็ยังไม่มีท่าทีรังเกียจเขาอีกด้วย น่าสนใจจริงๆ

"ท่านพ่อหมายความว่าลูกต้องเก็บของออกจากจวนวันนี้เลยใช่หรือไม่เจ้าคะ" หงหนิงหลินหันกลับมาถามผู้เป็นบิดา

"ใช่ เพราะรองแม่ทัพต้องเร่งเดินทาง " หงจางหมิ่นตอบ

"หนิงหลินลูกต้องเข้าใจนะว่าท่านรองแม่ทัพมีเหตุจำเป็นที่จะต้องรีบกลับไปที่กองทัพ จึงไม่อาจที่จะจัดงานแต่งงานได้พ่อกับแม่เตรียมสินเดิมไว้ให้ลูกแล้ว เดี๋ยวพ่อบ้านจะเอาไปมอบให้ลูกที่เรือน" จงลี่หยางพูดกับลูกสาว ด้วยน้ำเสียงที่ถ้าคนนอกฟังอาจจะคิดว่าเธอกำลังเรื่องมากอยากได้งานแต่งที่ยิ่งใหญ่อยู่แน่ๆ

"พี่ใหญ่อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะที่ไม่ได้จัดงานแต่ง ท่านรองแม่ทัพมีเหตุสำคัญที่ต้องกลับชายแดนเร่งด้วยจึงไม่อาจเสียเวลาได้" หงอ้ายฉิงรีบพูดเสริมแม่ของเธอ

ทำให้เหลียงเทียนเหว่ย ที่มากับลูกชายถึงกับเสียหน้า ถึงลูกชายเขาจะเป็นลูกอนุที่ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกชายของเขา

"ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่กำลังรอให้ท่านพ่อมอบหนังสือตัดขาดให้ก็เท่านั้น เรื่องแต่งหรือไม่แต่งจะสำคัญกว่าบ้านเมืองได้ยังไง ท่านแม่กับน้องรองพูดหนักเกินไปแล้ว" หงหนิงหลินหรือจะไม่รู้ว่าสองแม่ลูกนี่คิดอะไร คงอยากให้เธออับอายก่อนที่จะออกจากจวนไปสินะ หึ

"เรื่องหนังสือตัดขาดพ่อบ้านจะมอบให้เจ้าพร้อมกับสินเดิม รีบไปเก็บของเถอะจะได้เร่งเดินทาง"หงจางหมิ่นบอก

ใช่รีบออกไปจากที่นี่ได้แล้ว เธอจะได้เป็นลูกสาวคนเดียวของจวนหง อ้ายฉิงคิด แต่ก็ยังคงมอบรอยยิ้มที่อ่อนโยนให้กับพี่สาว

"เจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปเก็บของ ข้าลาท่านพ่อท่านแม่ตรงนี้เลยนะเจ้าคะ เก็บของเสร็จจะได้เร่งเดินทาง"หงหนิงหลินกล่าวลาทุกคนในห้องแล้วเดินออกไปจากห้องไป โดยที่ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองใครอีกเลย

"ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปช่วยนางเก็บของขอรับ ข้าขอลาทุกท่านตรงนี้เลย" เหลียงหานเหว่ยเอ่ยลา แล้วให้คนสนิทพาไปที่เรือนของภรรยาที่พึ่งจะได้พบหน้า ดูเหมือนว่านางจะไม่เป็นที่รักของครอบครัวนี้สินะ คนพวกนั้นถึงได้พยายามเร่งให้นางออกเดินทางไปกับเขาแบบนี้ หึ ช่างน่ารังเกียจกันเสียจริงๆ ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการเช่นนั้นต่อไปก็อย่าได้มายุ่งกับนางอีกก็แล้วกัน

หลังจากที่หนิงหลินกับเหลียงหานเหว่ยเดินออกไปจากห้องรับแขก ทุกคนก็พร้อมใจกันถอนหายใจออกมา

แม้จะพิการแต่แรงกดดันที่ส่งออกมากลับไม่ได้น้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว

"ใต้เท้าเหลียงอยู่ทานอาหารด้วยกันก่อนดีหรือไม่ ข้าให้พ่อครัวเตรียมอาหารไว้แล้ว" หงจางหมิ่นถาม เขาเอ่ยเชิญตามมารยาทเท่านั้นไม่ได้คิดที่จะให้อีกฝ่ายอยู่กินอาหารที่บ้านของเขาจริงๆ หรอก

"ไม่รบกวนใต้เท้าหงหรอก ข้ายังมีงานต้องสะสางอีกมาก คงจะต้องขอตัวกลับก่อน คงไม่ได้อยู่ส่งเด็กทั้งสองคนนั้น หวังว่าใต้เท้าหงคงจะไม่ว่าอะไร" เหลียงเทียนเหว่ยพูด หานเหว่ยนั้นเป็นเพียงลูกของอนุ เขาไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ส่งทั้งสองคนหรอก แต่ที่ต้องเอ่ยออกไปแบบนั้นเพราะต้องไว้หน้าหงจางหมิ่นสักเล็กน้อย เพราะยังไงคนที่แต่งงานกับบุตรชายอนุของเขาก็เป็นถึงบุตรีของฮูหยินเอกทั้งยังเป็นคุณหนูใหญ่อีกด้วย

"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เอาไว้มีโอกาสเราค่อยนัดกินข้าวด้วยกันก็ได้ ส่วนเด็กสองคนนั้นเราก็ไม่ต้องไปส่งหรอกยังไงพวกเขาก็ลาเราที่นี่ไปแล้ว ข้าเองก็มีงานด่วนที่ต้องทำเหมือนกัน" หงจางหมิ่นพูด ถึงลูกสาวคนโตของเขาจะแต่งงานออกไปแต่ก็เป็นลูกที่เขาไม่ค่อยสนใจนักจึงไม่ได้มีความผูกพันกัน จะอยู่หรือจะไปก็ไม่ต่างกันหรอกในความรู้สึกของเขา

เหลียงเทียนเหว่ย อยู่พูดคุยอีกเล็กน้อยก็ขอตัวกลับ โดยมีหงจางเหว่ยเดินออกมาส่ง

หงหนิงหลินที่บอกกับทุกคนว่าจะมาเก็บของแท้ที่จริงแล้วเธอกลับมาอุ่นอาหารสำหรับกินตอนออกเดินทางต่างหาก

ไม่ได้อุ่นอะไรมากหรอกมีซาลาเปา หมั่นโถว เกี๊ยวนึ่ง เซาปิ่งไส้ถั่วแดงกวน ไส้มะพร้าว ไส้เผือกกวน แล้วก็มีมาม่าถ้วยร้อนของไทยแค่นี้ก็น่าจะพอกินแล้ว เธอเอาทุกอย่างใส่ไว้ในกำไลมิติ

จะให้เก็บของเหรอ เก็บอะไรล่ะ ก็ในเมื่อมันไม่มีให้เก็บ คุณหนูใหญ่ผู้ยากจนคนนี้ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรให้เก็บหรอก

ทั้งเรือนมีเสื้อผ้าอยู่แค่ห้าชุดเท่านั้น แล้วก็มีหม้อกับถ้วยชามอย่างละนิด อย่างละหน่อย ถ้าไม่มีมิติเธอคงไม่มีอะไรจะกินหรอก

ส่วนเงินที่เจ้าของร่างนี้เก็บเอาไว้รวมกับของเธอก็มีแค่สิบตำลึงทอง แปดสิบห้าตำลึงเงินกับอีกสามร้อยอีแปะเท่านั้น ช่างเป็นคุณหนูใหญ่ที่ยากจนเสียจริง

"ทำอะไรอยู่หรือ แล้วเจ้าเก็บของเสร็จแล้วหรือยัง ข้าจะได้ให้คนของข้าเอาไปเก็บบนรถม้าให้เจ้า" เหลียงหานเหว่ยถาม เขาเข้ามาในเรือนของนางแล้วไม่เห็นจึงได้ให้คนสนิทพาเดินหานาง

"ข้าทำอาหารเอาไว้กินบนรถม้าเจ้าค่ะ ท่านกินอะไรมาหรือยัง หากยังข้าจะต้มบะหมี่ให้กินหรือถ้ารีบมากเราไปกินบนรถม้าก็ได้ ของของข้ามีไม่มากข้าเก็บหมดแล้วท่านไม่ต้องห่วง ตอนนี้ข้ารอแค่ของจากพ่อบ้านเท่านั้นเจ้าค่ะ"หงหนิงหลินบอก นี่เธอต้องเหม่อมากแค่ไหนกันถึงได้ไม่รับรู้การมาของเขา

เหลียงหานเหว่ยมองหน้าภรรยาของเขา เธอถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรกันนะถึงไม่มีบ่าวข้างกายเลยสักคน แถมยังต้องมาทำอาหารเองแบบนี้อีก เขาอยากจะชิมอาหารที่ภรรยาของเขาทำสักหน่อยแล้วสิ

"ถ้าไม่รบกวนเจ้ามากเกินไป รบกวนทำให้พี่กินสักหน่อยได้หรือไม่ ไหนๆ เราก็ต้องรอพ่อบ้านของที่นี่อยู่แล้ว" เหลียงหานเหว่ยพูด

"ได้เจ้าค่ะ ท่านไปรอข้าในห้องนอนก่อนก็ได้เดี๋ยวข้าจะยกไปให้ไม่นานหรอก ว่าแต่ท่านกินเผ็ดได้หรือไม่เจ้าคะ" หงหนิงหลินถาม

"มันเป็นยังไงหรือรสชาตินั้นน่ะ พี่ไม่เคยกินมาก่อน ไม่ใช่ว่าอาหารจะต้องมีแต่รสขมหรอกหรือ" เหลียงหานเหว่ยถาม

"อาหารของข้าไม่มีรสขมหรอกนะเจ้าคะ ท่านไปรอที่ห้องเถอะ ข้าขอทำอาหารสักครู่"หงหนิงหลินบอกกับสามีหมาดๆ ของเธอ

เหลียงหานเหว่ยกับคนสนิทพากันออกจากห้องครัวไปรอในห้องนอนตามที่หงหนิงหลินบอก

หืม หกคนอย่างนั้นเหรอนี่เรียกว่าเงาใช่หรือเปล่านะ คงต้องทำเผื่อด้วยสินะ เอาเป็นมาม่าหมูสับต้มธรรมดาก็แล้วกัน คนละสองซองน่าจะกินกันอิ่ม

หนิงหลินเธอรู้สึกว่ามีคนแอบมองพอตั้งสมาธิดีๆ ก็จับสังเกตการณ์มีอยู่ของคนได้หกคน น่าจะเป็นเงาของสามีเธอ

หนิงหลินทำทีเป็นเดินไปเปิดโอ่งแล้วหยิบมาม่าที่ออกมาสิบหกซอง พอมาม่าออกมาจากมิติถุงที่เคยเป็นพลาสติกก็กลายเป็นกระดาดทันที พอต้มมาม่าใส่ชามไว้ทั้งหมดแปดชาม เธอก็เอาสองชามใส่ถาดเพื่อที่จะเอาไปให้สามีกับคนสนิทของเขาในห้อง

"บะหมี่หกถ้วยนี้ก็เอาไปแบ่งกันกินคนละถ้วยนะ ถ้ากินเสร็จแล้วก็ล้างไว้ให้ด้วยล่ะ" หนิงหลินพูดก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องครัว

นางรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ แต่ช่างเถอะบะหมี่ที่นางทำช่างหอมเหลือเกิน เหล่าเงาทั้งหกคนต่างก็พุ่งไปที่ชามบะหมี่ทันที

ทำไมไม่มีรสขมเลยล่ะ แถมยังอร่อยอีกต่างหาก นี่คือสิ่งที่เงาทั้งหกคิด พอกินเสร็จแล้วพวกเขาต่างก็ต้องรีบเดินลมปราณเพราะรู้สึกได้ว่าพลังของพวกเขากำลังปั่นป่วนคล้ายกับว่าพวกเขากำลังจะเลื่อนขั้นอย่างไร อย่างนั้นเลย

หงหนิงหลินเดินถือถาดบะหมี่เข้าไปในห้องนอนเพราะที่เรือนนี้ไม่มีห้องกินข้าว

พอเดินเข้าไปก็เห็นสามีหมาดๆ ของเธอนั่งรออยู่บนเตียงไม่ใช่โต๊ะกินข้าวแต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร กินบนเตียงก็ได้ไม่มีปัญหาเพราะยังไงอีกเดี๋ยวพวกเธอก็ออกไปจากที่แห่งนี้กันอยู่แล้ว

หนิงหลินถือถาดไปวางให้สามีของเธอบนเตียงนอน แล้วก็ส่งชามบะหมี่อีกชามให้กับคนสนิทของเขา

หอม นี่คือสิ่งที่เหลียงหานเหว่ยกับคนสนิทของเขาได้กลิ่นตั้งแต่ที่เห็นหงหนิงหลินเดินถือถาดเข้ามา พอนางเอามาวางบะหมี่ที่นางทำก็ดูน่ากิน ยิ่งอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ยิ่งทำให้พวกเขาต้องกลืนน้ำลาย ไม่น่าเชื่อแค่บะหมี่นางกับทำให้ดูน่ากินได้มากขนาดนี้

" ท่านทั้งสองรีบกินเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย แต่บอกก่อนนะเจ้าคะว่าบะหมี่ของข้าไม่มีรสขมเหมือนอย่างที่พวกท่านเคยกิน หากกินไม่ได้ก็อย่าฝืนกินนะเจ้าคะ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก" หงหนิงหลินบอก เธอไม่รู้ว่าพวกเขาสามารถกินอาหารรสชาติอื่นนอกจากรสขมได้หรือเปล่า

"วางใจเถอะพวกข้ากินได้ ขอบใจเจ้ามาก"เหลียงหานเหว่ยบอก กลิ่นหอมทั้งหน้าตาบะหมี่ยังดูดีแบบนี้ต้องอร่อยกว่าบะหมี่ที่พวกเขาเคยกินกันมาแน่ๆ เลย

หงหนิงหลิน ปล่อยให้พวกเขาสองกินบะหมี่ส่วนเธอก็ทำทีเป็นเอาเสื้อผ้าออกมาจากตู้พับเก็บใส่หีบไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขาสงสัย คุณหนูที่ไม่เป็นที่ต้องการทำไมถึงได้มีอุปกรณ์มิติ เอาไว้ออกจากจวนแห่งนี้ก่อนแล้วค่อยเปิดเผยเรื่องนี้ก็แล้วกัน

เหลียงหานเหว่ยกับคนสนิทเมื่อได้กินบะหมี่คำแรกก็ตกตะลึง อร่อย นี่มันอร่อยมาก แถมยังรู้สึกว่าบะหมี่ชามนี้มีพลังปราณอีกด้วย น่าจะมีมากกว่าอาหารที่พวกเขาเคยกินมาทั้งชีวิตเสียอีก

เมื่อกินเสร็จพวกเขาก็ต้องรีบเดินลมปราณเพราะรู้สึกว่าปราณในร่างกายเริ่มปั่นป่วนพร้อมที่จะเลื่อนขั้นแล้ว

ต้องขอบคุณฮูหยินของเขาที่ทำให้พวกเขาเลื่อนขั้นได้เร็วขึ้น

ว่าแต่ทำไมคนตระกูลหง ถึงได้ไม่เห็นค่านางกันนะ ช่างโง่งมกันเสียจริง

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น