โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“วรศักดิ์-กรพนัช” ชวนทุกคนเจาะลึก “การค้าสำเภาจีน-ไทย” ในเวที BookTalk: จากสุวรรณภูมิสู่แดนมังกร: สองศตวรรษการค้าเรือสำเภาจีน-สยาม

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 09 มี.ค. เวลา 09.10 น. • เผยแพร่ 09 มี.ค. เวลา 09.07 น.
“วรศักดิ์-กรพนัช” ในเวที BookTalk: จากสุวรรณภูมิสู่แดนมังกร: สองศตวรรษการค้าเรือสำเภาจีน-สยาม ที่งาน Knowledge Fest เทศกาลอ่านเต็มอิ่ม 2025 x เทศกาลดนตรีกรุงเทพฯ วันที่ 9 มีนาคม 2568 ณ มิวเซียมสยาม

“วรศักดิ์-กรพนัช” ชวนทุกคนเจาะลึก “การค้าสำเภาจีน-ไทย” ในเวที BookTalk: จากสุวรรณภูมิสู่แดนมังกร: สองศตวรรษการค้าเรือสำเภาจีน-สยาม

“จีน” และ“ไทย” ถือเป็นสองประเทศที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่นและยาวนาน ถ้าย้อนไปในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในแง่การเมือง ยังคงมีระบบการจิ้มก้องระหว่างสองประเทศ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ จีนเอกชนก็ค้าขายกับสยามมาเนิ่นนานด้วยเรือสำเภา

การค้าทางทะเลสำคัญไฉน ทำไมต้องเป็นการค้าเรือสำเภาจีน-สยาม เมื่อไหร่ที่ไม่มีการค้าเรือสำเภา?

หาคำตอบได้กับ 2 ผู้รู้จริง รศ. วรศักดิ์ มหัทธโนบล นักวิชาการจีนศึกษา และ รศ. ดร. กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ ที่มาร่วมพูดคุยกันด้วยบรรยากาศสบาย ๆ ในเวลาบ่าย พร้อมเพิ่มความสนุกด้วย เอกภัทร์ เชิดธรรมธร ผู้ประกาศข่าวมติชนทีวี บนเวที BookTalk: จากสุวรรณภูมิสู่แดนมังกร: สองศตวรรษการค้าเรือสำเภาจีน-สยาม ที่งาน Knowledge Fest เทศกาลอ่านเต็มอิ่ม 2025 x เทศกาลดนตรีกรุงเทพฯ วันที่ 9 มีนาคม 2568 ณ มิวเซียมสยาม

เริ่มต้นพัฒนาการความสัมพันธ์ไทย-จีน

รศ. วรศักดิ์ มหัทธโนบล นักวิชาการจีนศึกษา เริ่มต้นการพูดคุยด้วยเรื่อง “ความสัมพันธ์ไทย-จีน”กล่าวว่าแม้ว่าปัจจุบันเราจะเห็นว่าใน พ.ศ. 2568 จีนและไทยจะเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี ซึ่ง 50 ปีที่ว่านั้นนับตามความสัมพันธ์ทางการทูต ที่มีการส่งนักการทูตไปในประเทศจีน แต่เอาจริง ๆ แล้ว ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศกลับมีมาอย่างยาวนาน

ในแง่ความสัมพันธ์แบบการเมือง ไทยมีการจิ้มก้องหรือส่งเครื่องบรรณาการให้จีนมานานมาก ถ้านับตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แต่การจิ้มก้องนี้ก็สิ้นสุดลงไปในรัชสมัยของพระองค์เช่นกัน เนื่องจากในอดีตการแปลเอกสารการจิ้มก้อง ล่ามแปลเพียงบางส่วน มีเพียงบอกว่าจีนได้รับเครื่องบรรณาการเรียบร้อยแล้ว

ทว่ารัชกาลที่ 4 ก็ทรงสงสัยพระราชหฤทัย จึงทรงให้ล่ามแปลภาษาจีนเป็นไทยทั้งหมด ได้ความว่าการส่งจิ้มก้องแบบนี้เสมือนว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของจีน ตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์ในแง่การเมืองของไทยและจีนก็สิ้นสุดลง และมาเริ่มใหม่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

แต่ในแง่การค้าเศรษฐกิจนอกเหนือจากราชสำนัก ก็ดำเนินต่อไป รวมถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากสมัยรัชกาลที่ 4

น้ำจิ้มเรื่องความสัมพันธ์การค้าของจีนและไทยในผลงานของ “คุชแมน”

หลังจากปูทางเรื่องความสัมพันธ์ของจีนและไทยจาก อ. วรศักดิ์ มาแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องพูดเรื่องของการค้าระหว่างจีนและไทยหลังจากนั้นว่าเปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ก็เชื่อมโยงกับหนังสือเล่มหนึ่งที่สามารถคลายข้อสงสัยทั้งหมดนี้ได้และพูดเรื่องการค้าสำเภาจีน นั่นคือ “การค้าทางเรือสำเภาจีน-สยาม ยุคต้นรัตนโกสินทร์” (สำนักพิมพ์มติชน) ที่เขียนโดย เจนนิเฟอร์ เวย์น คุชแมน นักประวัติศาสตร์ผู้ล่วงลับ

รศ. ดร. กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ พูดถึงเจ้าของผลงานนี้ไว้สั้น ๆ ว่าเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าในวงการศึกษาเรื่องไทยและจีนอย่างมาก เพราะนักวิชาการเรื่องไทยและจีนคนอื่นสมัยนั้น มักจะหยิบยกเอกสารหรือบันทึกตะวันตกมาใช้ แต่คุชแมนกลับหยิบยกเอกสารภาษาจีนค่อนข้างเยอะ ทั้งยังเป็นเอกสารท้องถิ่น ทั้งยังใช้หลักฐานของทางฝั่งไทย เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปของยุคนั้นได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ อาจารย์ยังเล่าว่า หนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นว่าประเทศจีนไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญกับเกษตรกรรม แต่ยังให้ความสำคัญทางการค้ามากเช่นกัน และใส่ใจการค้าระดับเอกชนอยู่ เพียงแต่จะเน้นไปที่การค้าแบบรัฐ นั่นคือการจิ้มก้อง

การค้าเรือสำเภาแบบเอกชนเป็นการแก้ไขปัญหาในประเทศได้ อย่างคนจีนแต้จิ๋ว ภูมิศาสตร์ไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ติดทะเล การเดินเรือค้าขายก็ช่วยปัญหาการกินอยู่ของคนจีนได้ และราชสำนักก็ไม่ได้ขัดข้อง เพราะเป็นการค้าขายแบบ “จีนทำ จีนใช้ จีนเจริญ” และคนพวกนี้ทำตามกฎที่ราชสำนักตั้งไว้ มี 3 ข้อสำคัญ คือ เรือต้องเป็นแบบจีน ลูกเรือต้องเป็นคนจีน และเป็นการค้าขายด้วยคนจีน

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการค้าสำเภาระหว่างจีน-ไทย หลังรัชกาลที่ 4

อ. วรศักดิ์ เล่าว่า การเปลี่ยนแปลงเรื่องการค้าขายเรือสำเภาของจีนและไทยมีปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน ที่สำคัญคือการเมืองภายในและการเข้ามาของตะวันตก การค้าสำเภาจีนเริ่มเปลี่ยนไปในสมัยรัชกาลที่ 4 เทียบกับช่วงเวลานั้น จีนอยู่ในราชวงศ์ชิง ซึ่งกำลังอ่อนแอ

ตอนนั้น “ตะวันตก” พยายามนำการค้าเสรีเข้ามา อยากให้จีนทำการค้าเสรีและค้าขายด้วย แต่จีนยังคงเป็นจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ จึงไม่เปิดรับและเมินเฉย แม้ว่าราชสำนักจีนจะพยายามปรับตัวตั้งแต่สมัยจักรพรรดิกวางซี ขุนนางเริ่มปรับตัว แต่ อ. วรศักดิ์ก็มองว่า การปรับตัวนี้ก็เพื่อต่อต้านตะวันตกเท่านั้น จนมาในช่วงปลายราชวงศ์ชิงที่พยายามจะปรับตัว ก็ไม่ทันเสียแล้ว

ทำให้ต่อมาเกิดการบีบบังคับของตะวันตกต่อจีน เกิดสงครามฝิ่น จนท้ายที่สุดจีนก็ต้องเปลี่ยนแปลงการค้าของตนเอง จากเดิมที่เป็นการจิ้มก้อง ก็เป็นการค้าเสรี

นอกจากนี้ตะวันตกยังนำ “เรือกลไฟ” เข้ามา ซึ่งมีสมรรถนะมากกว่าเรือสำเภา จึงทำให้การค้าที่ใช้เรือสำเภาหายไปเช่นกัน

อ. กรพนัช เห็นด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงของการค้าสำเภาจีนเกิดขึ้นเพราะความอ่อนแอของราชวงศ์ชิงเช่นกัน เพราะแม้ว่าซูสีไทเฮาจะเก่งเรื่องการเมืองภายใน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้มีวิสัยทัศน์สั้น ทั้งจีนยังมองว่าประเทศตนเองใหญ่ เพียงแค่ค้าขายภายในประเทศก็เพียงพอแล้ว จึงทำให้จีนปรับตัวไม่ทัน

การค้าของจีนถึงเปลี่ยนไป ส่งผลต่อกับสยามในเวลาต่อมา

อ. วรศักดิ์ บอกว่าเรื่องของจีนส่งผลมาที่สยาม เมื่อสยามเห็นว่าจีนเปลี่ยนไปจากการเข้ามาของตะวันตก ก็ต้องปรับตัวตาม เกิด “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ที่เรารู้จักกัน คนไทยต้องทำการค้าเสรีกับต่างชาติ

อ. วรศักดิ์ เสริมด้วยว่า แม้การจิ้มก้องจะหายไป แต่การค้าเอกชนของจีนและไทยก็ยังคงเหมือนเดิมและดำเนินต่อไป เพราะชาวจีนที่ทำการค้ากับคนไทยมานาน มีสิ่งที่เรียกว่า “คอนเนคชัน” ซึ่งตะวันตกไม่มี

ถ้าการเมืองภายในจีนนิ่ง การค้าของจีนจะเปลี่ยนไปไหม?

มาถึงเรื่องสุดท้าย แต่ยังไม่ท้ายสุด กับการตั้งคำถามของพิธีกรมากความสามารถของมติชน ที่ตั้งคำถามขึ้นมาว่า แล้วถ้า “การเมืองภายในจีนนิ่ง การค้าของจีนจะเปลี่ยนไปไหม?”

เรื่องนี้ อ. วรศักดิ์ วิเคราะห์ในมุมมองของตนเองว่า ก็มองได้ว่าจะมีทั้งรอดและไม่รอด ถ้ารอดก็จะเป็นช่วงจักรพรรดิกวางซี หากไม่ถูกขัดขวาง เกิดการปรับตัวเรื่องการศึกษา ยกเลิกการสอบจอหงวน ที่มีมาเป็นพัน ๆ ปี แล้วเอาการศึกษาตะวันตกเข้ามา ทุนคนสามารถเข้าถึงการเรียนได้

แต่ในแง่หนึ่งก็น่าจะไม่รอด เนื่องจากสังคมจีนยังคงยึดถือลัทธิขงจื่อเป็นสำคัญ

ส่วน อ. กรพนัช บอกว่า ที่สยามปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงการค้าได้ เพราะเป็นรัฐเล็ก เปลี่ยนได้รวดเร็ว แต่จีนมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าวัฒนธรรมของตนเองมีมานานมาก มีความภูมิใจกับสิ่งนี้ และจีนก็ใหญ่มากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเวที BookTalk: จากสุวรรณภูมิสู่แดนมังกร: สองศตวรรษการค้าเรือสำเภาจีน-สยาม สามารถฟังได้แบบเต็ม ๆ ได้ในไลฟ์ และอ่านเนื้อหาที่ลึกและสนุกกว่านี้ได้ในหนังสือ การค้าทางเรือสำเภาจีน-สยาม ยุคต้นรัตนโกสินทร์ ของ เจนนิเฟอร์ เวย์น คุชแมน (สำนักพิมพ์มติชน)

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 มีนาคม 2568

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “วรศักดิ์-กรพนัช” ชวนทุกคนเจาะลึก “การค้าสำเภาจีน-ไทย” ในเวที BookTalk: จากสุวรรณภูมิสู่แดนมังกร: สองศตวรรษการค้าเรือสำเภาจีน-สยาม

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...