ศูนย์จีโนมฯ เตือนโควิด-19 ยังไม่จบ WHO เผยสายพันธุ์ใหม่ LP.8.1 และ XEC ที่กำลังมาแรงในปี 2568 แพร่ระบาดรวดเร็วในสหรัฐ
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า โควิด-19 ยังไม่จบ เปิดแฟ้มสายพันธุ์ใหม่ LP.8.1 และ XEC ที่กำลังมาแรงในปี 2568
ในขณะที่หลายคนอาจคิดว่าโควิด เป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว แต่ความจริงแล้วไวรัสตัวร้ายนี้ยังคงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่ที่น่าจับตามอง 2 สายพันธุ์ ได้แก่ LP.8.1 และ XEC ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทั่วโลก
LP.8.1: สายพันธุ์ลูกผสมที่แพร่เชื้อได้ดีขึ้น
LP.8.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่พัฒนามาจาก JN.1 โดยมีการกลายพันธุ์ที่ทำให้ไวรัสสามารถจับกับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น ส่งผลให้แพร่เชื้อได้ง่ายกว่าเดิม ที่น่าตกใจคือ ภายในเวลาเพียง 4 สัปดาห์ ความชุกของ LP.8.1 เพิ่มขึ้นจาก 1.9% เป็น 7.0% ของเชื้อโควิดทั้งหมดทั่วโลก
LP.8.1 มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมในโปรตีนหนาม ได้แก่ S31-, F186L, R190S, R346T, V445R และ K1086R เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดอยู่ก่อนหน้า โดยการกลายพันธุ์ V445R ช่วยเพิ่มความสามารถในการจับกับตัวรับ hACE2 บนผิวเซลล์มนุษย์ซึ่งอาจทำให้แพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ย่อย LP.8.1.1 ที่มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมที่ S:K679R ซึ่งอาจทำให้มีความได้เปรียบในการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 10-30% ต่อสัปดาห์ LP.8.1.1 อาจมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของลำดับพันธุกรรม LP.8.1 ทั้งหมดแล้ว
XEC: ลูกผสมพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดเร็วที่สุด
XEC เป็นสายพันธุ์ลูกผสมที่เกิดจากการรวมตัวของสายพันธุ์ย่อย KS.1.1 และ KP.3.3 ซึ่งทั้งคู่เป็นสายพันธุ์ย่อยของ JN.1 โดยมีอัตราการแพร่ระบาดที่น่าตกใจยิ่งกว่า LP.8.1 ในเวลาเพียง 4 สัปดาห์ ความชุกของ XEC เพิ่มขึ้นจาก 26.9% เป็น 36.8% ของเชื้อโควิดทั้งหมดทั่วโลก ทำให้เป็นสายพันธุ์เดียวที่มีความชุกเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก
XEC มีโปรตีนหนามที่เหมือนกับ KP.3 แต่มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมที่ S:T22N และ S:F59S ซึ่งทั้งสองการกลายพันธุ์นี้ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อไวรัส โดยเฉพาะ S:T22N ที่เกิดขึ้นอย่างอิสระในหลายสายพันธุ์ย่อยของ JN.1
ไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ต้องระวัง
แม้ว่าตัวเลขการแพร่ระบาดของทั้งสองสายพันธุ์จะน่าตกใจ แต่องค์การอนามัยโลกยังคงประเมินความเสี่ยงด้านสาธารณสุขของทั้งสองสายพันธุ์นี้อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก:
1. วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง
2. ยังไม่มีหลักฐานว่าทั้งสองสายพันธุ์ทำให้เกิดอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า
3. ความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของทั้งสองสายพันธุ์อยู่ในระดับจำกัด
อย่างไรก็ตาม การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า LP.8.1 มีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ใกล้เคียงกับ XEC แต่มีประสิทธิภาพในการจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์ที่สูงขึ้นมาก ซึ่งสนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็วของสายพันธุ์นี้และคาดว่าในอนาคตจะมาแทนที่โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XEC
แล้วเราควรทำอย่างไร?
แม้ว่าความเสี่ยงจะอยู่ในระดับต่ำ แต่องค์การอนามัยโลกยังคงแนะนำให้ประชาชนและประเทศต่างๆ:
1. ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด
2. รับวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้นตามคำแนะนำของแพทย์
3. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันพื้นฐาน เช่น การล้างมือ และการสวมหน้ากากในพื้นที่แออัด
การระบาดของโควิด-19 อาจยังไม่จบลงในเร็ววันนี้ แต่ด้วยความร่วมมือของทุกคนและการพัฒนาทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง เราจะสามารถรับมือกับไวรัสตัวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
นักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานด้านสุขภาพยังคงติดตามการแพร่ระบาดและลักษณะของสายพันธุ์ใหม่เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบต่อการแพร่เชื้อ ภูมิคุ้มกัน และสาธารณสุขโดยรวม
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สหรัฐ ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ แซงหน้าโควิด ครั้งแรก!!
- ภูมิคุ้มกันบกพร่องกับโควิด-19 ความเสี่ยงสูงแม้ได้รับวัคซีนครบ 4 เข็ม
- สหรัฐ คาดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ฤดูกาลนี้อย่างน้อย 24 ล้านราย ดับ 1.3 หมื่นราย
ติดตามเราได้ที่