โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

10 สิ่งที่ได้เรียนรู้ เมื่ออายุ 40

LINE TODAY ORIGINAL

เผยแพร่ 16 ส.ค. 2563 เวลา 19.16 น. • เพื่อนตุ้ม

อายุเฉลี่ยของคนไทยในปัจจุบันคือ 75.3 ปี แปลว่าถ้าตอนนี้อายุ 40 คุณได้เดินทางมากว่าครึ่งชีวิตแล้ว การเดินทางครั้งนี้บอกอะไรบ้าง แก่ขึ้น ริ้วรอยมากขึ้น แค่นั้นหรือ ?

ตัวเลขในวัยกลางคนแบบนี้ บอกอะไรที่มากกว่านั้น บอกว่าเราได้เรียนรู้ ได้ทดลอง ได้ใช้ชีวิตมาประมาณหนึ่งแล้ว แม้ความคิดของคนเราจะเปลี่ยนไปในทุกช่วงวัย แต่ว่ากันว่าความคิดของคนในวัย 40 คือความคิดที่ตกผลึกแล้วนำไปใช้ได้ง่ายที่สุด เพราะความเป็นตรงกลางที่ไม่แก่และไม่เด็กเกินไป ทำให้รู้เลยว่า 10 สิ่งที่ได้เรียนรู้ เมื่ออายุ 40 นี้ มันจริงซะยิ่งกว่าจริงเสียอีก

1. ใช้ชีวิตอย่างมีสติ

ตอนที่เด็กกว่านี้คำว่า “สติ” แทบจะไม่ได้อยู่ในความคิดเลย ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า “สติ” คืออะไร แต่หลัง ๆ มานี้กลับคุ้นเคยกับคำว่า “สติ” จนน่าแปลกใจ

พูดให้ง่าย ๆ เลย “สติ” ก็คือ ความรู้สึกตัว รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มันดูเหมือนง่ายนะ แต่คนเราไม่ค่อยรู้หรอกว่าตัวเองทำอะไร ส่วนมากจะปล่อยให้ใจเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ตรงหน้าเสียมากกว่า รู้ตัวอีกที อ้าว ! ทุกอย่างมันผิดแผกไปหมด

บทเรียนจากความคุ้นเคยกับสติก็เลยสอนให้เราโฟกัสกับปัจจุบันมากขึ้น ให้รู้สึกตัวตลอดเวลา รู้ว่าทำอะไร และจะทำอะไร สุดท้ายพอเราใช้ชีวิตอยู่บนความมีสติ ความผิดพลาดหรือไม่ได้ตั้งใจต่าง ๆ ก็แทบจะไม่มีเลย

2. เป็นตัวของตัวเอง ตอนนี้ก็ยังไม่สาย

ถึงจะอายุเท่านี้แล้ว แต่บางคนก็ยังไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองเลย น่าแปลก ! ที่เรายังต้องให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าตัวเราเอง จริง ๆ แล้วยิ่งโตขึ้น อายุมากขึ้น เราควรจะได้เป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้นต่างหาก เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร ถ้ามัวแต่สนใจคนอื่น แล้วตัวตนของเราล่ะ ความสุขของเราเองล่ะ จะไปอยู่ตรงไหน

การเป็นตัวเองไม่ใช่การไม่แคร์ใคร เพราะยิ่งอายุมากขึ้น โลกนี้จะสอนเราเองว่าใครบ้างที่เราต้องแคร์และสนใจ ตัดคนที่ไม่จำเป็นและไม่สำคัญออกจากชีวิต และเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ชีวิตมันสั้น อย่าทำอะไรที่ไม่อยากทำ เลือกทำในสิ่งที่เราจะมีความสุข แค่นั้นก็พอ

3. ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะเกลียดใครสักคน

เชื่อว่าทุกคนต้องเคยเกลียดหรือไม่ชอบใครสักคนแน่นอน บางคนจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเกลียดเค้าเพราะอะไร จำได้แต่ว่าคนนี้ไม่ชอบหน้ากัน ก็เลยไม่คุยกัน ถามหาเหตุผลก็ตอบไม่ได้ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ใคร ๆ ก็เคย แต่รู้อะไรไหม..การเกลียดใครสักคนมันใช้พลังงานมากกว่าที่คิด ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ไปสนใจ ไปมอง ไปคุยกับเค้า ต้องใช้แรงคอนโทรลความคิดบอกตัวเองว่าเกลียด เกลียด เกลียด ไม่ชอบ ๆ ๆ ๆ ซึ่งมันเสียเวลาชีวิตไปมาก ๆ

พอมาถึงจุดนี้ จุดที่ผ่านครึ่งชีวิตมาแล้ว เราจะรู้เลยว่าการใช้พลังงานชีวิตไปกับเรื่องอะไรแบบนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะทำให้เราเหนื่อย หมดพลังไปเรื่อย ๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นช่างมันไปบ้างก็ได้ ถ้าลืมไปแล้วว่าเกลียดเค้าเพราะอะไร ก็จงให้อภัยไปเถอะ ถึงการให้อภัยทำยาก แต่จงทำให้ได้

4. ทำดี..กับครอบครัว กับคนใกล้ตัวให้มาก ๆ

เมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น จะเพื่อนหรือคนรู้จักก็ทุ่มเทช่วยเค้าเต็มที่ แต่พอเป็นคนที่บ้าน จะพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติ ๆ กลับไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย นอกจากจะไม่ค่อยช่วยแล้ว ยังไม่ค่อยพูดจาดี ๆ ด้วยอีกต่างหาก กลายเป็นว่าคนใกล้ตัวนี่แหละ โดนเราทำร้ายทั้งการกระทำและคำพูดมากที่สุด เพราะรู้ว่าเค้ารัก ก็เลยจะทำอะไรก็ได้ จะขึ้นเสียงก็ได้ บ่นก็ได้ เอาแต่ตัวเองก็ได้ โดยไม่สนใจเลยว่าคนที่รักเราจะรู้สึกอย่างไร

จนมาเจอจุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดได้ว่าขนาดคนอื่น เรายังพูด ยังช่วยเหลือเค้าได้เลย ทำไมกับพ่อแม่ตัวเอง ถึงได้โวยวาย แว้ดแว้ดเก่งนัก ทำไมพ่อแม่ถึงทำอะไรก็ไม่ถูกใจสักอย่าง พอคิดได้แบบนี้ก็ปมบางอย่างก็คลายลง เรากลายเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเรารู้ว่าเวลาเป็นของมีค่า เพราะฉะนั้นใช้ให้คุ้มค่ากับคนที่เรารักนี่แหละดีที่สุด

ขอบคุณภาพจาก ArthurHidden | freepix.com
ขอบคุณภาพจาก ArthurHidden | freepix.com

5. เลิกสนใจคนอื่น เพราะก็ไม่มีใครสนใจเราเหมือนกัน

ตอนที่เด็กกว่านี้ เรามักจะคิดว่าคนอื่นจะมองเรายังไง จะทำอะไรก็ต้องให้ดูดีไว้ก่อน กลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าเราทำตัวไม่เข้าท่า ทำตัวแย่ แต่พออายุมากขึ้น ประสบการณ์จะสอนเราเองว่า นอกจากจะไม่มีใครมาคิดอะไรแบบนี้แล้ว เค้ายังไม่ได้มานั่งสนใจใครเลยด้วย เพราะมันเสียเวลา

การกลัวว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร กลัวเค้าไม่ชอบเรา กลัวสายตาหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น ที่อาจจะมีมาถึงเรา เป็นความคิดที่เสียเวลาที่สุด การที่เราคิดแบบนี้เท่ากับเราไม่ได้เคารพตัวเองเลย สนใจแต่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่ไม่ได้แคร์ความรู้สึกตัวเอง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเองเลย แต่พอแก่ขึ้น ใช้ชีวิตมามากขึ้นทำให้เข้าใจเลยว่าคนอื่นเค้าก็ไม่ได้สนใจเราตั้งแต่แรกแล้ว เราเองต่างหากที่ไปให้ความสำคัญกับสายตาของคนอื่นมากเกินไป

6. กลุ้มไป..ก็เท่านั้น

ก่อนหน้านี้ความทุกข์ดูจะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส รับมือยาก และผ่านมันไปไม่ได้สักที เจอปัญหาทีไรได้แต่คิดหนัก หาทางออกไม่ได้ กลุ้มแล้วกลุ้มอีกอยู่อย่างนั้นวนลูปไปเรื่อย ๆ แต่พอใช้ชีวิตมาครึ่งทาง ทำให้รู้เลยว่าปัญหามันมีมาไม่เว้นแต่ละวัน กลุ้มไปก็เท่านั้น กลัวไปก็เท่านั้น บางปัญหา พอถึงเวลาปัญหามันก็คลี่คลายไปตามทางของมันเอง เราแทบจะไม่ต้องนั่งแก้อะไรเลย

ทีนี้ก็เข้าใจเลยว่าทุกอย่างในโลกนี้ “อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด” ไปเหนี่ยว ไปฉุด ไปรั้ง ไปห้ามอะไรมันไม่ได้ ถ้ามันเกิดแล้วก็แค่ทำใจยอมรับ เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วค่อย ๆ ดูว่าจะเอายังไงกับมันดี ไม่ต้องไปกลุ้ม ไปตีโพยตีพายอะไรกับมัน ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง ชีวิตก็เท่านี้ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็มันไป

7. อยู่กับปัจจุบัน สำคัญที่สุด

ถ้าย้อนกลับไปตอนเป็นเด็ก จะรู้เลยว่าเราใช้ชีวิตได้สนุกกว่านี้ เพราะตอนเด็ก เราไม่เคยต้องกังวลกับอะไรที่มันยังไม่เกิด ไม่ต้องคิดว่ายังไม่สิ้นเดือนเลย เงินจะหมดแล้ว ทำไงดี ไม่ต้องกังวลว่าจะปิดไตรมาสแล้ว KPI ยังไม่ถึงเลย ไม่ต้องกลุ้มว่าจะหาเงินจากไหน เพราะตอนเป็นเด็ก เราอยู่แค่กับปัจจุบันเท่านั้น ไม่ต้องคิดถึงอดีต และไม่ต้องนึกถึงอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง

ก็เลยเข้าใจว่าการคิดแบบเด็กได้ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องวางแผนอนาคตอะไรเลย แค่จะบอกว่าการอยู่กับปัจจุบัน มันสำคัญกว่า เพราะบางครั้งความคิดของเราก็ชอบไปติดอยู่กับอดีต หรือไม่ก็ไปกังวลในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง จนทำให้ใช้ชีวิตปัจจุบันแบบไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องกลัวว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราก็มีความสุขในแบบของเราได้แล้ว

8. การได้กินอะไรอร่อย ๆ สักมื้อ แค่นั้นก็คือความสุขแล้ว

จำได้ว่าแต่ก่อนจะมีความสุขแต่ละครั้งมันต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มาง่าย ๆ แต่เดี๋ยวนี้ความสุขมันมาง่ายกว่าที่คิด แค่มาทำงานแล้วรถไม่ติด ก็โคตรมีความสุขที่สุดแล้ว เลยทำให้คิดได้ว่าความสุขมันควรจะเป็นอะไรที่ง่าย ๆ แบบนี้สิ ไม่ต้องไขว่ ไม่ต้องคว้าให้มันยากเย็น แค่อะไรใกล้ ๆ ตัวอย่างของอร่อยสักมื้อ แค่นั้นก็มีความสุขได้แล้ว

ยิ่งอายุเยอะขึ้น ยิ่งต้องทำตัวให้ง่าย ลำพังการใช้ชีวิตมันก็ยากพอแล้ว ถ้าเรายังไปทำให้อะไรง่าย ๆ มันยากขึ้นไปอีก ก็คงเสียดายเวลาไปเปล่า ๆ โดยที่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

9. มีเพื่อนสักคนที่คุยได้ทุกเรื่อง คือที่สุดแล้ว

ว่ากันว่ายิ่งแก่ เพื่อนพ้องก็จะยิ่งน้อยลง เพราะเวลาได้ทำหน้าที่คัดคนที่ไม่ใช่..ออกจากชีวิตเราไปแล้ว

เคยอิจฉาคนที่มีเพื่อนเยอะ ๆ เหมือนกันนะ ไปไหนไปกันเป็นแก๊ง ดูแล้วน่าจะสนุกดี แต่ตอนนี้แค่ได้คุยกับเพื่อนสักคนที่นาน ๆ เจอกันที แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลย ทำให้รู้เลยว่า..เพื่อน ไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่แค่ไม่กี่คนที่พร้อมอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เราต้องการ ก็พอแล้ว

10. ถ้ายังรวยไม่ได้ ก็แค่ใช้ให้น้อยที่สุด

แต่ก่อนเงินอาจไม่ใช่คำตอบ แค่มีความสุขกับสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ใช่ก็พอ ! แต่ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งรู้ว่าเงินสำคัญ เพราะเงินหมายถึงคุณภาพในการใช้ชีวิต อยากมีชีวิตดี ๆ มีเงินใช้สบาย ๆ ตอนแก่ เจ็บไข้ได้ป่วยก็อยากนอนโรงพยาบาลดี ๆ ของแบบนี้ต้องใช้เงินทั้งนั้น

แล้วเงินเท่าไหร่ถึงจะพอ ถ้าตอนนี้คุณอายุ 40 อย่างน้อยต้องมีเก็บเงิน 2.5 ล้านบาท และยังต้องตั้งหน้าตั้งตาเก็บต่อไปอีกเพื่อให้ตอนอายุ 60 มีเงินเก็บ 5 ล้านบาท ถึงจะอยู่แบบไม่ลำบากไปได้จนถึงอายุ 80 แต่ถ้าโชคดี อายุยืนกว่านั้น เงิน 5 ล้านบาทก็ดูท่าว่าจะไม่พอ

สังเกตดี ๆ ทั้งหมดนี้มีจุดร่วมเดียวกันก็คือ ความง่าย พอมาถึงจุดนี้ จุดพักของวัยกลางคน เราจะรู้เลยว่าการใช้ชีวิตง่าย ๆ เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าโลกนี้มันจะอยู่ยากก็ปล่อยมันไป แค่เราทำให้ชีวิตมันง่าย จะแบบไหน เราก็อยู่ได้สบาย~

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0