จริงหรือที่ว่าอำนาจในการปรับครม.อยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะอันเป็นนายกรัฐมนตรี
อาจจริงในทาง”หลักการ”
เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี คือคนสุดท้ายที่จะตัดสินใจ โดยเฉพาะในการลงนามเพื่อเสนอแต่งตั้งและโยกย้าย
แต่หากดูจากสภาพความเป็นจริงนับแต่ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล ลาออกจากหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยเมื่อวันที่ 1 มิถุ นายน ก็เริ่มไม่แน่ใจในอำนาจที่มีอยู่ของนายกรัฐมนตรี
ในความเป็นจริงเมื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทยมีมติเสนอชื่อ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงแรงงานแทน ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล
ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อยและราบรื่นเพราะทุกอย่างล้วนอยู่ในอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี
แล้วเหตุใดเรื่องจึงยืดเยื้อมาจนถึงเดือนกรกฎาคม
ความเป็นจริงหนึ่งซึ่งสำคัญที่ไม่เพียงแต่พรรครวมพลังประชาชาติ ไทยจะต้องร้องเพลงรอ เพราะแม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ทำอะไรไม่ได้
นั่นก็คือ การจัดระเบียบ”ภายใน”ของพรรคพลังประชารัฐ
ความจริงมีเรื่อง 2 เรื่องอันทำให้ปัจจัยการปรับครม.จำเป็นต้องรอและเมื่อผ่านมาแล้วก็น่าจะเรียบร้อยและราบรื่น
1 คือปัจจัยการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค
การประชุมใหญ่สามัญประจำปีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนมีคำตอบ มาแล้วว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คือ หัวหน้าพรรค
แต่แล้วอีกปัจจัย 1 ก็ตามอันทำให้ต้องทอดเวลาในการปรับออกไปเมื่อ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ มาษินทรีย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ออกจากพลังประชารัฐ
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะระบุว่าเป็นการนับ 1 แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะถึง 10 หรือว่าจะถึง 1000
ท่ามกลางการเคลื่นไหวของเวลาของการปรับครม.จึงเริ่มทำให้เกิดความสงสัยว่า เวลาที่ทอดยาวออกไปสะท้อนอะไร
สะท้อน”อำนาจ”ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หรือสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่ายังมีอำนาจ”อื่น”ที่เหนือกว่าสถานะแห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่ามีอยู่จริง
อำนาจ”อื่น”ต่างหากที่บงการและกำหนดทุกก้าวย่าง