คอลัมน์ไทยพบพม่า : เมื่อกองทัพพม่าเข้าสู่โต๊ะเจรจา โดย ลลิตา หาญวงษ์
ธรรมเนียมปฏิบัติเนื่องในวันกองทัพพม่า (27 มีนาคม) คือการเชิญผู้แทนจากหลายกลุ่มเข้าไปร่วมชมพิธีสวนสนามของทุกเหล่าทัพ ณ กรุงเนปยีดอ ตั้งแต่ตัวแทนเหล่าทัพจากหลากหลายชาติ และตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในพม่า แต่บรรยากาศของวันกองทัพนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 เริ่มเปลี่ยนไป เพราะมีผู้แทนกองทัพจากเพียงไม่กี่ประเทศที่เข้าร่วม เช่น รัสเซีย จีน อินเดีย ปากีสถาน และอีกบางประเทศที่ยังต้องการรักษาความสัมพันธ์กับกองทัพพม่าไว้
สำหรับกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ก็ส่งตัวแทนในระดับรองๆ ลงไปไปเข้าร่วมพิธีสวนสนาม ผู้นำระดับสูงในกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่เลือกจะไม่ปรากฏตัวในงานที่จัดขึ้นโดยกองทัพพม่า อาจเป็นเหตุผลทั้งเรื่องความปลอดภัย และเป็นเรื่องภาพลักษณ์ ที่กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์เองก็ไม่ต้องการถูกโยงว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนกองทัพพม่า
แต่วันกองทัพในปี 2022 บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะพลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้นำกองทัพและผู้นำคณะรัฐประหาร ออกมาประกาศว่ากำลังเจรจากับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มอยู่ กองทัพพม่าอ้างว่าเริ่มเจรจากับกองกำลังที่เคยลงนามในข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ (Nationwide Ceasefire Agreement หรือ NCA) บางกลุ่มไปแล้ว เช่น Arakan Liberation Party (ALP), Democratic Karen Benevolent Army (DKBA), Karen National Union/Karen National Liberation Army Peace Council (KNU/KNLA-PC), Pa-o National Liberation Army (PNLA) และ Restorative Council of Shan State (RCSS)
อย่างที่เรียนไปเบื้องต้น ปัญหาของการเจรจาสันติภาพกับกองทัพพม่าคือผู้นำระดับสูงตัวจริงของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้ไปเจรจาด้วยตัวเอง จึงทำให้สิ่งที่กองทัพอ้างว่าเป็น “การเจรจาสันติภาพ” กับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นเหมือนกับการหารือเบื้องต้นกับคณะกรรมการฝั่งคณะรัฐประหาร ในนามคณะกรรมการสันติภาพและการเจรจาเพื่อความสามัคคีในชาติ (National Solidarity and Peace-Making Negotiation Committee)
นอกจากนี้ กองกำลังที่กล่าวมาขึ้นชื่อว่าเป็นกองกำลังที่มีท่าทีแบบ “กลางๆ” หรือเข้าข้างกองทัพพม่าด้วยซ้ำไป อีกทั้งกองกำลังเหล่านี้ยังเข้าร่วมพิธีสวนสนามเนื่องในวันกองทัพพม่าแทบจะทุกปี ส่วนกลุ่ม KNU/KNLA-PC นั้นก็เป็นกลุ่มที่แยกตัวออกมาจาก KNU และไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ ซอ มูตู เซ โป (Saw Mutu Say Poe) ผู้นำตัวจริงของ KNU แต่อย่างใด
สิ่งที่เราควรให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใดบ้างที่ไม่ได้ตอบรับคำเชิญของกองทัพพม่า กองกำลังของมอญในนาม New Mon State Party (NMSP) เป็นอีกหนึ่งกองกำลังขนาดใหญ่ ที่มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับกองทัพพม่ามาโดยตลอดตั้งแต่เกิดรัฐประหาร และส่งคนเข้าร่วมงานที่กองทัพพม่าจัดมาโดยตลอด แต่ในครั้งนี้ NMSP ไม่ได้ส่งคนของตนมาด้วย พร้อมกับกลุ่มการเมืองอีกบางกลุ่ม เช่น The Mon Unity Party (MUP) และ Lahu Democratic Union (LDU) ของชาวลาหู่ และยังมีกองกำลังอีกหลายกลุ่มที่ไม่ได้เดินทางไป เนปยีดอ เพราะประกาศตัวเป็นศัตรูของกองทัพพม่าอย่างชัดเจน ได้แก่ KNU, Chin National Front (CNF) และ All Burma Students’ Democratic Front (ABSDF) ทั้ง KNU และ CNF ประกาศสงครามกับกองทัพไปก่อนหน้านี้ และให้ความช่วยเหลือกองกำลังฝั่งประชาชน (People’s Defence Force) หรือ PDF ที่ต่อสู้กับกองทัพพม่ามาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร
แน่นอนว่าเรื่องที่กองทัพหารือกับตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ (บางกลุ่ม) ไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ แต่สื่อพม่าวิเคราะห์ว่ากองทัพพม่าต้องการประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่าตนยังเปิดช่องการเจรจาให้กับกองกำลังบางกลุ่ม และยังยึด “ฉันทามติ 5 ข้อ” (Five-Point Consensus) ของอาเซียนอยู่
สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น (และคงเกิดขึ้นได้ยาก) คือการนำฝ่ายที่ต่อต้านกองทัพและคณะรัฐประหารกลุ่มที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ทั้ง PDF และรัฐบาลคู่ขนาน (National Unity Government หรือ NUG) เข้าสู่โต๊ะเจรจาให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งเวลาผ่านไป การสู้รบก็จะยิ่งตึงเครียดและจะส่งผลกระทบกับประชาชนอีกเป็นจำนวนมาก และอาเซียนเคยเน้นย้ำว่าพม่าต้องปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้ออย่างหนักแน่นและจริงจัง หมายความว่าต้องนำคู่กรณีทุกฝ่าย กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่ม และฝ่ายที่ต่อต้านคณะรัฐประหารทุกกลุ่ม มาเจรจาเพื่อหาทางออกจากสงครามกลางเมืองที่คุกรุ่นอยู่ในเวลานี้
อย่างไรก็ดี เมื่อกลับไปพิจารณาท่าทีของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย และสุนทรพจน์ของเขาเนื่องในวันกองทัพ ก็จะพบว่าโอกาสที่กองทัพจะเป็นผู้ริเริ่มการเจรจากับ PDF และ NUG แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าผู้นำในคณะรัฐประหารและกองทัพพม่ามักออกมาให้สัมภาษณ์ว่า PDF และ NUG เป็นขบวนการก่อการร้าย ดังนั้น กองทัพจะไม่ยอมเจรจาใดๆ กับกลุ่มดังกล่าว มิน อ่อง ลายยังกล่าวต่อไปว่า “เรา, กองทัพ, กำลังต่อสู้กับความไม่สงบภายในและการก่อการร้าย เพื่อนำสันติภาพและเสถียรภาพกลับคืนมา” และยังอ้างว่า PDF เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ อีกทั้งเป็นภัยคุกคามสันติภาพและความสงบสุขของพม่า
ท่าทีของผู้นำคณะรัฐประหารมีความชัดเจนมากมาตั้งแต่ต้น และนี่คงเป็นคำตอบเดียวกับที่เขาให้กับปรัก สุคน (Prak Sokhonn) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ที่เพิ่งเดินทางไปเยือนพม่าอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 21-23 มีนาคม 2022 ในนามตัวแทนของประธานอาเซียน (กัมพูชาทำหน้าที่ประธานอาเซียนในปี 2022) เป้าหมายของสุคนคือการเข้าพบคู่ขัดแย้งทุกฝ่าย รวมทั้งตัวแทนจาก NUG/PDF และพรรค NLD ด้วย แต่สุคนกลับกัมพูชาไปมือเปล่า เพราะไม่ได้พบทั้งตัวแทนจาก NUG และ NLD
การไปเยือนพม่าของสุคนเป็นเหมือนกับการแก้เขินของกัมพูชา หลังจากที่ช่วงต้นปี สมเด็จฯฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา เดินทางไปเยือนพม่าด้วยตัวเอง และเมื่อถูกถามว่าคณะของ สมเด็จฯฮุน เซนมีแผนจะเข้าพบด่อ ออง ซาน ซูจี และตัวแทนจาก NUG/PDF หรือไม่ ฮุน เซนตอบเพียงว่ายังไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วนในขณะนั้น คำกล่าวของฮุน เซนสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของกัมพูชาในเวทีอาเซียนอย่างมาก ปรัก สุคน ที่เคยเป็นเอกอัครราชทูตมาก่อน และน่าจะเข้าใจงานด้านการต่างประเทศได้ดีกว่า จึงนำคณะจากกัมพูชาไปเจรจากับผู้นำคณะรัฐประหารพม่าด้วยตัวเอง
แต่สำหรับงานนี้ แม้เทพเจ้าหรือผีนัตจะลงมาเจรจากับมิน อ่อง ลายด้วยตัวเอง ผู้เขียนก็ยังมั่นใจว่าจะไม่มีใครมีโอกาสได้พบด่อ ออง ซาน ซูจี หรือหารือกับ NUG/PDF และการเจรจาเพื่อสร้างสันติภาพในพม่าก็ยังจะล้มเหลวต่อไป
Myanmar Institute for Strategic and Policy Studies รายงานว่าในช่วง 13 เดือนหลังรัฐประหาร กองกำลังฝั่งพม่ากับกองกำลังฝั่งประชาชน ที่ผนึกกำลังกับกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ ปะทะกันไปแล้วกว่า 3,300 ครั้ง ชี้ให้เห็นการสู้รบที่เข้มข้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะกองทัพพม่าต้องการเผด็จศึก PDF และกองกำลังอื่นๆ ที่ต่อต้านตนให้เร็วที่สุด การสู้รบจึงขยายไปถึงพื้นที่ที่ไม่เคยมีการสู้รบมาก่อน นี่เป็นตัวชี้วัดว่ากองทัพพม่าจะยังคงใช้กำลังเพื่อปราบปรามฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ของตน