โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

อิ่มบุญ อิ่มท้อง ที่อาซากุสะ! - เพจปั่นเรื่อง เป็นภาพ

TALK TODAY

เผยแพร่ 27 ต.ค. 2562 เวลา 17.00 น. • ปั่นเรื่อง เป็นภาพ

อาซากุสะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในโตเกียว ในย่านนี้เป็นย่านชุมชนที่มีร้านค้ามากมาย รวมไปถึงศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ เราจึงยังคงเห็นอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่ยังคงอยู่ในย่านนี้ แม้จะเป็นย่านวัฒนธรรมดั้งเดิมแต่ก็มีสิ่งก่อสร้างทันสมัยอยู่ในย่านนี้ด้วยเช่นกัน นั้นคือ โตเกียวสกายทรี หอคอยส่งสัญญาณสูง 634 เมตร อาจกล่าวได้ว่าอาซากุสะคือย่านที่ผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมกับเทคโนโลยีอันทันสมัยได้อย่างลงตัว

และแน่นอนหากพูดถึงอาซากุสะแล้วแทบทุกคนจะต้องนึกถึงก็คือ วัดเซ็นโซจิ ที่มีเอกลักษณ์ที่เราคุ้นตา คือ โคมแดงขนาดยักษ์ที่เป็นจุดเช็คอินถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวทุกคน ตัวผมเองต้องแวะมาไหว้สักการะที่วัดแห่งนี้แทบจะทุกครั้งที่มาโตเกียว นอกจากผมจะมาที่วัดเซ็นโซจิแห่งนี้แล้วยังมีที่หมายอีกแห่งที่ผมต้องการไปนั้นคือ ร้านเทมปุระ ที่ชื่อว่าร้าน Kaminarimon Sansada ซึ่งเป็นร้านเทมปุระเก่าแก่เปิดมาตั้งแต่สมัยเอโดะผ่านเวลามาแล้วกว่า 180 ปี ด้วยการที่ทั้งวัดเซ็นโซจิและร้าน Sansada เป็นสถานที่ชื่อดัง ถ้ามาสายจะเจอกับคลื่นคนจำนวนมาก ผมจึงตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อตั้งใจมาที่อาซากุสะโดยเฉพาะ

ผมนั่งรถไฟใต้ดิน Toei สาย Asakusa มาลงที่สถานีอาซากุสะ เดินออกประตู A4 ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึงร้านเทมปุระ Kaminarimon Sansada แต่ด้วยเวลาที่ยังเพิ่ง 10 โมงเช้าอยู่ ร้านกว่าจะเปิดก็ 11 โมง ข้างในร้านยังคงวุ่นวายกับการจัดเตรียมของอยู่ ผมจึงเดินผ่านไปยังวัดเซ็นโซจิ ด้วยเพราะร้าน Kaminarimon Sansada อยู่ข้างๆ ประตูคามินาริมง แค่เพียงเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว

ที่ประตูคามินาริมง อย่างแรกที่ทุกคนจะเห็นเลยก็คือโคมแดงยักษ์อันเป็นสัญลักษณ์ของวัดเซ็นโซจิที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปที่นี่ แต่เดิมประตูคามินาริมงนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าประตูฟูจินไรจินมง ซึ่งมาจากรูปปั้นที่อยู่ด้านซ้ายขวาของโคมแดง ที่ด้านขวารูปปั้นจะชื่อ ฟูจิน เทพแห่งลม ส่วนที่ด้านซ้ายรูปปั้นจะชื่อ ไรจิน เทพแห่งสายฟ้า ส่วนคำว่ามงหมายถึงประตู รวมกันเป็น ฟูจินไรจินมงจึงหมายถึง ประตูแห่งเทพวายุและเทพสายฟ้า ต่อมาเมื่อกาลเวลาผ่านไปจึงได้รวบคำเป็น คามินาริมง ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน

โดยจุดเริ่มต้นของประตูคามินาริมงมาจากเรื่องเมื่อราว 60 ปีก่อน คุณมัตสึชิตะ โคโนสุเกะ ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ามัตสึชิตะหรือบริษัทพานาโซนิคในปัจจุบันได้ล้มป่วยลง จึงได้เดินทางมาไหว้ขอพรที่วัดเซ็นโซจิ หลังจากนั้นอาการป่วยก็ได้หายไป คุณมัตสึชิตะจึงได้สร้างประตูและโคมแดงยักษ์ถวายเป็นการขอบคุณองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งที่ฐานของโคมแดงยักษ์ยังคงมีภาษาญี่ปุ่นที่เป็นชื่อของคุณมัตสึชิตะ โคโนสุเกะ สลักเอาไว้อยู่ โคมแดงยักษ์นี้หนักเกือบ 700 กิโลกรัม จะถูกเปลี่ยนเป็นโคมใหม่ทุกๆ 10 ปี จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของวัดเซ็นโซจิในที่สุด

เมื่อครั้งที่ผมมาวัดเซ็นโซจิกับทางบริษัท ไกด์ที่นำทางได้เล่าเรื่องตำนานความเป็นมาของวัดเซ็นโซจิให้ฟัง

จุดเริ่มต้นมาจากชาวประมงสองพี่น้องไปตกปลาที่แม่น้ำซูมิดะ มีอยู่วันหนึ่งทั้งสองจับปลาไม่ได้เลยสักตัว จึงอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้จับปลาได้ เพื่อกลับไปทานเป็นอาหารเย็น พอเหวี่ยงแหออกไป กลับได้รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมทองคำ ติดแหขึ้นมา จึงนำไปให้ผู้ใหญ่บ้านดู ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ผู้ใหญ่บ้านจึงได้เปลี่ยนแปลงบ้านของตนเองในอาซากุสะให้กลายเป็นวัดขนาดเล็กเพื่อเป็นที่ประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมและให้ชาวบ้านได้กราบไหว้ ฝ่ายสองพี่น้องก็ได้ตัดสินใจออกบวชและจำวัดอยู่ที่นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวัดเซ็นโซจิมานับแต่นั้น ชาวบ้านและเหล่าซามูไรมักจะเดินทางมาขอพรจากองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่เสมอ ด้วยเพราะต่างขอพรไปมักจะได้สมปรารถนาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ชื่อเสียงในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมที่วัดเซ็นโซจิเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว จนไปเข้าถึงหูโชกุนเข้า โชกุนในยุคนั้นจึงได้สั่งให้มีการสร้างอาคารหลังใหญ่ขึ้น และต่อเติมส่วนต่างๆ เรื่อยมาอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน

ผมเดินผ่านประตูคามินาริมงตรงมายังศาลาหลังใหญ่ที่ประดิษฐานองค์พระแม่พระโพธิสัตว์กวนอิมในปัจจุบัน

ผมล้างมือล้างปากแล้วจุดธูปไหว้ขอพร จากนั้นจึงเดินขึ้นไปบริจาคโยนเหรียญ 5 เยนซึ่งเป็นเหรียญนำโชคลงตู้บริจาค ผมมองไปตรงหน้ามีโต๊ะบูชาพร้อมกับมีฉากกั้นเป็นรูตาข่ายกันระยะห่างจากคนที่มาไหว้หลายเมตร ว่ากันว่าองค์แม่พระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่ด้านหลังฉากนี้ บ้างก็ว่าเป็นองค์จำลอง บ้างก็ว่าไม่ได้อยู่แล้วเพราถูกขโมย บ้างก็ว่าด้วยเพราะองค์แม่พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นที่หมายปองของใครต่อใครหลายคน จึงต้องมีฉากกั้นไว้เป็นการป้องกัน มีเสียงเล่าลือเรื่องต่างๆ มากมาย แต่ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นเช่นไร วัดเซ็นโซจิแห่งนี้ก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของใครต่อใครตลอดมาจนถึงปัจจุบันรวมถึงตัวผมเองด้วย

เมื่อผมไหว้ขอพรเสร็จแล้ว ผมก็มาเดินที่ถนนนากามิเซะ ถนนนากามิเซะนี้เป็นถนนที่มีร้านค้าขายของมากมายอยู่ภายในบริเวณวัดเซ็นโซจิ ตลอดทางเดินทั้ง 2 ฝั่งจะเต็มไปด้วยร้านค้า อาหาร ขนมขบเคี้ยวหลากชนิด รวมไปถึงของฝากที่มีเอกลักษณ์ในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นชุดยูกาตะ พัด เครื่องถ้วยชามดินเผา ตะเกียบ ของเล่น ก็สามารถหาได้ที่ถนนเส้นนี้ ผมแวะซื้อขนมมันจูทอดไส้ถั่วแดงบด จากร้าน อาซะกุสะ โคโคโนเอะ 

ร้านขนมชื่อดังที่มีคนต่อคิวซื้อยาวเหยียด ผมกินเข้าไปแล้วมีความรู้สึกเหมือนกินซาลาเปาไส้ถั่วบ้านเราที่เอาไปทอด แต่ก็อร่อยสมกับเป็นของขึ้นชื่อที่นี้เลยครับ

ผมออกจากวัดเซ็นโซจิตอน 11 โมงพอดี ถือว่าผมทำเวลาได้ดีมาก ผมเดินมาถึงร้าน Kaminarimon Sansada ร้านก็กำลังจะเปิดเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มีคนต่อแถวหน้าร้านหลายคนอยู่ โชคดีที่ชั้น 2 ยังมีที่นั่งเหลือไว้พอสำหรับผมด้วย ผมจึงอยู่ในกลุ่มคนที่เข้าร้านเป็นพวกแรก ภายในร้านแบ่งเป็นโต๊ะเล็กๆ มีอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะ และห้องใหญ่มีโต๊ะสำหรับนั่งเสื่อตาตามิที่นั่งรวมกับคนอื่น ผมสั่งเมนู Ebi Tokujo-don เมนูข้าวหน้ากุ้งเทมปุระชามใหญ่พิเศษ ใช้เวลาไม่นานนักอาหารจานนี้ก็ถูกเสิร์ฟมาตรงหน้าผม

กุ้งเทมปุระที่เสิร์ฟมาในกล่องมีขนาดใหญ่โตล้นกล่องออกมา ผมลองตักชิมเข้าปาก เทมปุระที่นี้อร่อยไม่เหมือนใครจริงๆ ด้วยเพราะเป็นร้านเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยเอโดะ จึงปรุงรสด้วยน้ำมันงาทำให้มีรสสัมผัสเวลาเคี้ยวกรุบกรอบและบางเบาไปในตัว จุดเด่นอยู่ตรงที่เนื้อกุ้งใหญ่ทอดแล้วไม่อมน้ำมัน ทำให้ทานแล้วไม่เลี่ยน สมเป็นตำนานเทมปุระร้อยปีที่อาซากุสะ ถึงแม้ว่ากุ้งจะขนาดใหญ่โตยังไง ข้าวและเครื่องเคียงจะมากแค่ไหน แต่ด้วยเพราะความอร่อยผมจึงจัดการเรียบหมดกล่อง

ผมทานเสร็จออกมาจากร้านก็รู้สึกสบายใจและมีความสุขเป็นอย่างมาก เพราะการมาอาซากุสะในครั้งนี้ของผมทำให้ผมอิ่มทั้งบุญ และ อิ่มทั้งท้อง อีกด้วย นับเป็นการมาเที่ยวที่ลงตัวจริงๆ

ติดตามผลงานเขียนอื่นๆ จากเพจปั่นเรื่อง เป็นภาพ อีกได้ที่ https://www.facebook.com/writestoryforphoto

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0