ตามประสบการณ์ของหลายๆ คน
การมีความรักแบบมนุษย์
คือการเปิดโอกาสให้คนแปลกหน้า
เข้ามาทำร้ายจิตใจกันได้ทุกวัน
โดยไม่ต้องมีความผิด
ไม่ต้องลงบันทึกประจำวัน
ไม่ต้องมีโทษทัณฑ์อันใดให้ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันเลย
.
ในนามของความรัก
หลายครั้งคนเราไม่แค่ถือสิทธิ์ประทุษร้ายจิตใจ
แต่เล่นแรง เอากันถึงบาดเจ็บ หรือถึงตาย
ตั้งศาลเตี้ยพิพากษาในบ้าน
โดยไม่ต้องมีการเรียกสืบพยาน
ไม่เปิดโอกาสให้แก้ตัว
และไม่ต้องมีการเปิดข้อกฎหมาย
นำมาตราใดมาพิจารณาโทษให้เหมาะสม
ทุกอย่างเป็นไปตามใจสั่งอย่างเดียว
วันไหนใจหนัก ก็เล่นงานหนัก ๆ
วันไหนใจเบา ก็เล่นงานเบา ๆ
.
ตามสามัญสำนึก
คนแปลกหน้ามาสนิทสนม
เพราะหวังว่าจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ให้ได้เท่ากับ หรือยิ่งกว่าญาติ
แต่ข้อเท็จจริงในมนุษย์ส่วนใหญ่
คือ ยิ่งสนิทเท่าไร
ความเกรงใจยิ่งหายไปเท่านั้น
และเมื่อถึงขีดที่
ความเคารพในการเป็นมนุษย์หายไป
ก็อยากใช้สอย อยากตักตวง
อยากบังคับบัญชา อยากเป็นเจ้าของชีวิตกัน
อยากทำเรื่องบ้าๆใส่กันแบบไม่ต้องคิดสักนิดเลยก็ได้
.
แนวโน้มทางความสนิทฉันคนรัก
จึงออกแนวขุดอารมณ์ดิบออกมาโชว์ว่า
ที่ส่วนลึก ใครมองมนุษย์เป็นมนุษย์ได้แค่ไหน
หลายคนเปลี่ยนสถานะจากคนแปลกหน้า
กลายเป็นนักโทษและผู้คุมนักโทษ
จนวันหนึ่งต้องงงตัวเองว่า
ทำผิดบาปอะไรจึงมาถึงจุดนั้น
และต้องทำถูกทำบุญแค่ไหนถึงจะผ่านไปได้
.
มองใหม่
ความสนิทมีสิทธิ์เป็นรากของความชั่วร้าย
ทำให้เราเผลอเป็นอาชญากรได้จริง ๆ
เมื่อรู้ เมื่อดูเข้ามาในตัวเอง
แล้วตั้งใจเห็นความสนิทเป็นบททดสอบอารมณ์ดิบ
ก็จะคิดใช้ความสนิทเป็นโอกาสทำบุญกับมนุษย์
ช่วยให้เขายิ้มออก
ไม่ใช่แกล้งให้เขาร้องไห้
ช่วยให้เขาสบายตัวสบายใจ
ไม่ใช่ล่ามโซ่ตรวนด้วยกติกานานาชนิดให้หนักตัวหนักใจ
.
การเป็นอาชญากรทางความรัก
มีระวางโทษหนักที่เห็นได้ชัดทันตา
คือ จำคุกตลอดชีวิต
ติดอยู่กับความมืดดำของจิตใจตัวเองไปจนตาย
แถมท้ายด้วยระวางโทษหนักที่ต้องรอพิสูจน์หลังสิ้นลม
คือ ถูกส่งไปเจอชีวิตรักที่เหมือนสมรภูมิรบไม่เลิก
จนกว่าจะมีชาติใดชาติหนึ่ง
ได้ตาสว่าง แยกแยะออกว่า
กรรมใดเป็นคุณ กรรมใดเป็นโทษ
เห็นความสนิทเป็นจุดเริ่มต้น
ของการฝึกเกรงใจคนใกล้กัน
แทนการเห็นความสนิท
เป็นช่องทางทำร้ายคนแปลกหน้าได้ตามใจชอบ!
.