โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

นายสตีเฟ่น กับน้องเมอร์ฟี่ และพี่โควิด - อั๋น ภูวนาท

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 11 พ.ค. 2563 เวลา 00.57 น. • อั๋น ภูวนาท

“อั๋นเอ้ยยย จะทำมาหากินอะไรดีวะนี่ พี่งงไปหมดละ มีแต่เงินออกไม่มีเข้าเลย ช่วงนี้ซวยมากอีก แม่ดันมาป่วย เมื่อวานฝนตกมาหลังคาบ้านรั่ว อยู่ๆรถก็ไฟขึ้นเตือนว่าต้องเข้าอู่ เจ้าของที่ร้านขายเสื้อพี่ก็เพิ่งตอบมาว่าไม่ลดค่าเช่าให้ แล้วเชื่อไหม เมื่อวานสั่งราดหน้ามากินดันท้องเสียอีก โอ้ยย!”

เดี๋ยว ๆ พี่ ใจเย็น ๆ อย่าเอาทุกเรื่องมารวมกันมันจะดูเลวร้ายเกินจริงไปมาก แยกกันออกมา แล้วแก้ปัญหาทีละเรื่อง แล้วสติจะมีปัญญาจะมา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา (อ้าวเอ๊ะ!)

เราทุกคนต่างก็เคยมีวันแบบนี้แหละวันที่อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นใจให้กับฉันเลยซักอย่าง แต่ข้อดีก็คือวันซวยๆแบบนี้มักจะอยู่กับเราไม่นานเท่าไหร่หรอก ตลกตรงที่เวลาเรื่องแย่ๆแบบนี้เกิดขึ้นมันมักจะไม่ค่อยมาทีละเรื่อง แต่มักจะเฮละโลชวนความซวยสารพันมาช่วยกันลงแขกให้กับชีวิตเราอย่างไม่เกรงใจ จนมีคนเคยรวบรวมสภาวะความซวยซ้ำซ้อนแบบนี้ไว้เป็นข้อสังเกต แล้วพัฒนาเรื่อยมาตามยุคสมัยและเวลา จนค่อย ๆ กลายมาเป็นทฤษฎีแห่งความซวยซ้ำซ้อน เช่น..

ตำรวจมักตั้งด่าน วันที่ฉันไม่ใส่หมวกกันน็อก

ฝนมักเลือกตกวันที่เราล้างรถพอดี ประชุมสำคัญเมื่อไหร่รถมักจะติดแบบไม่มีเหตุผล

คนที่เราชอบมักมีแฟนแล้ว

ถ้าทำของหล่นบนรถ มันมักจะกลิ้งไปอยู่ในซอกหลืบที่หยิบยากที่สุดทุกที

เมนูโปรดของร้านที่เราอุตส่าห์ตั้งใจมาทานมักจะหมด

เสื้อตัวเดียวที่เราจะซื้อมักไม่มีไซด์กระเป๋าที่เราชอบมักเป็นรุ่นที่ขาดตลาด

รถมักชนวันที่ประกันภัยเพิ่งหมดหรือแม้แต่อุตส่าห์โชคดีถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 แต่ดันทำหาย

อะไรคล้าย ๆ แบบนี้แหละที่เรียกว่า กฎของเมอร์ฟี่ หรือ Murphy's Law สาระสำคัญของกฎนั้นช่างง่ายดาย คือคนที่ซวยก็มักจะซวยซ้ำซวยซ้อน และแม้เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจะพึงมีรูปแบบความเป็นไปได้หลากหลายมากมายที่จะเกิดขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่ถ้ามันสามารถจะมีเรื่องผิดพลาดที่ซวยที่สุดที่พึงจะเกิดขึ้นได้ มันก็จะเกิดขึ้น ช่างเป็นกฎที่ควรถูกเหยียดหยามประณามสุดซอย เป็นกฎที่เป็นลูกเมียน้อยที่น่าสงสารที่สุดจริง ๆ น่าสงสารจนน่าเกลียด 

ผมเลยลองพยายามไปค้นคว้าหาดู ด้วยอยากเห็นหนังหน้าและโหงวเฮ้งของนายเมอร์ฟี่คนดีคนนี้สักหน่อย ปรากฏว่าไม่เจอ แต่ดันไปเจอ 1 ในประวัติที่อาจเป็นการกำเนิดของกฏนี้เมื่อหลายสิบปีย้อนหลังกลับไปก็เป็นได้ เรื่องมันมีอยู่ว่า ณโรงงานประกอบเครื่องบินแห่งหนึ่งซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้มาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในทุกขั้นตอนการผลิตนั้น ปรากฏว่าเมื่อถึงขั้นตอนตรวจสอบก่อนส่งมอบลูกค้าเมื่อไร วิศวกรใหญ่ที่ลงมาทำการเช็กกลับเจอข้อผิดพลาดทุกที หลังจากตรวจสอบอยู่นาน ใช้งบและเวลามหาศาล สุดท้ายเค้าจึงได้พบว่า ผู้ช่วยคนสนิทของเค้าเองต่อสายวงจรสลับกัน วิศวกรคนนั้นโมโหมากจนเขวี้ยงเครื่องมือราคาเรือนล้านลงพื้นแล้วตะโกนลั่นโรงงานว่า“ต่อให้มันจะมีโอกาสผิดพลาดเกิดขึ้นได้แค่ 1 ในล้าน ผู้ช่วยของผมคนนี้นี่แหละที่จะทำให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ พับผ่าสิ!”

และผู้ช่วยของเค้าคนนี้มีชื่อว่า นายเมอร์ฟี่นะสิจ๊ะ จะใครละ

เมื่อถึงเวลาส่งมอบเครื่องบินลำดังกล่าวกับลูกค้า วิศวกรคนนี้ได้กล่าวแบบตีเนียนต่อหน้าสื่อมวลชนมากมายออกไปว่า “เครื่องบินลำนี้ได้ผ่านการทดสอบความผิดพลาดทุกขั้นตอนที่พึงจะเกิดขึ้น ตามกฏของเมอร์ฟี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นคือมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด” แล้ว Murphy’s Law ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก และพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมาในหลากหลายแง่มุมแห่งความซวยซ้ำซ้อนจวบจนปัจจุบัน

สำหรับบางคน กฏของเมอร์ฟี่อาจมีไว้เม้าท์กับเพื่อนเพียงเพื่อความขำขันสำหรับบางวันที่แสนซวย แต่สำหรับผม มันคือกฏที่คอยสะกิดไหล่เบา ๆ แล้วเตือนให้เราพึงระลึกถึง Worst Case Scenario หรือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่พึงจะเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ๆ ซึ่งถ้าไม่เกิดก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้ามันดันเกิดขึ้น เราก็จะยังโชคดีอยู่ดีที่ได้มีแผนสำรองไว้รองรับแบบไม่ประมาทไว้ก่อนแล้ว

ไหน ๆ วันนี้ก็ได้ทีพูดถึงกฏแห่งความซวยซ้ำซ้อนของเมอร์ฟี่แล้ว เลยอยากขอพูดถึงอีก1ทฤษฎีที่ผมเองมักเอาออกมาใช้ตีคู่กันอยู่เสมอๆ นั่นก็คือ “หลักการ 90/10 หรือ Stephen Covey’s Law” นั่นเอง ง่าย ๆ เลยคือเค้าบอกว่า

มีเพียง 10% ของสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราเท่านั้นที่เป็นเรื่องบังเอิญส่วนอีก90%ที่เหลือคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาที่เราเลือกที่จะตอบสนองต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้น 10% นั้นถ้ายังเห็นภาพกันไม่ชัด นายสตีเฟ่นคนนี้เค้ายกตัวอย่างเอาไว้แบบนี้ครับ

สมมุติว่าขณะที่คุณกำลังกินข้าวเช้ากับครอบครัว ลูกสาวของคุณดันทำกาแฟหกรดเสื้อของคุณ เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุที่ควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำต่อไปของคุณ คุณอาจจะโกรธ แล้วก็ดุด่าว่ากล่าวลูกสาวของคุณอย่างรุนแรงจนกระทั่งลูกสาวคุณร้องไห้ หลังจากที่ดุลูกสาวเสร็จ คุณก็หันไปต่อว่าภรรยาที่วางถ้วยกาแฟใกล้ขอบโต๊ะมากเกินไป เหตุการณ์ต่อมาที่เกิดคือคุณทะเลาะกับภรรยาคุณเดินปึงปังขึ้นห้องเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ข้างบน เมื่อกลับลงมาข้างล่างลูกสาวของคุณยังร้องไห้ไม่หยุด และยังไม่ได้กินอาหารเช้าจึงทำให้ไปโรงเรียนไม่ทัน ในขณะที่ภรรยาก็ต้องรีบไปทำงานทันที คุณจึงต้องขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนและเนื่องจากคุณเองก็สาย คุณเลยต้องขับรถเร็วกว่าที่ควร สิ่งที่ตามมาก็คือคุณโดนตำรวจเรียก ต้องจ่ายค่าปรับ เมื่อถึงโรงเรียน ลูกสาวคุณก็รีบเข้าเรียนโดยที่ไม่ได้ร่ำลา ส่วนตัวคุณเองก็ไปถึงที่ทำงานสาย 20 นาที และยิ่งไปกว่านั้น คุณดันลืมเอากระเป๋าทำงานมาจากที่บ้านเสียอีก วันนี้ทั้งวันดูจะเป็นวันที่เลวร้ายสถานการณ์มันแย่ลงเรื่อย ๆ จนทำให้คุณรู้สึกอยากกลับบ้าน แต่เมื่อคุณกลับมาถึงบ้าน คุณก็รู้สึกได้ถึงความหมางเมินจากลูกสาวและภรรยาของคุณ

ทำไมล่ะ

อะไรคือสาเหตุของวันที่เลวร้ายนี้?

  • 1) เป็นเพราะกาแฟหก
  • 2) เป็นเพราะลูกสาวคุณทำกาแฟหก
  • 3) เป็นเพราะคุณโดนตำรวจจับ
  • 4) เป็นเพราะตัวคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมด

คำตอบคือข้อ 4 นะครับ เพราะการที่กาแฟหกเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปฏิกิริยาภายใน 5 วินาทีที่คุณทำหลังจากกาแฟหกใส่ เป็นสิ่งที่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด

เหตุการณ์นี้สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นคือเมื่อกาแฟหกรดตัวคุณ ลูกสาวคุณร้องไห้ คุณควรเข้าไปปลอบลูกสาว แล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะลูก ต่อไปแค่ระวังมากกว่านี้ก็แล้วกัน หลังจากนั้นคุณก็แค่หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับหยิบกระเป๋าทำงาน และเมื่อคุณลงมาจากห้อง ก็พบว่าลูกสาวของคุณที่หยุดร้องไห้ และทานข้าวเช้าเสร็จแล้วนั้นกำลังขึ้นรถไปโรงเรียน เธอหันมาโบกมือร่ำลา ในขณะที่ตัวคุณเองก็ขับรถแบบสบาย ๆ ไปถึงที่ทำงานก่อนเวลา5นาที ยังมีเวลาคุยเล่นกับเพื่อนร่วมงานได้อีกด้วยซ้ำ

อะไรคือสิ่งที่แตกต่าง?

ทั้ง 2 สถานการณ์เริ่มต้นเหมือนกันแต่จบไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

เพราะการตอบสนองของคุณเอง

ถึงแม้ว่าคุณจะควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 10% ของชีวิตคุณไม่ได้ แต่อีก 90% ที่เหลือคุณควบคุมได้

เมื่อเราเอา 2 ทฤษฎีนี้มาใช้ร่วมกันในชีวิตจริง นั่นแปลว่าความซวยใด ๆ ก็ตามที่นายเมอร์ฟี่บอกไว้ว่ามันน่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตเราแม้จะซ้ำซ้อนเพียงใดยังไงก็ไม่เกิน 10% เท่านั้นน่ะซิจ๊ะ เห็นภาพชัดเจนกันขึ้นรึยัง

ไม่ว่าชีวิตเราจะกำลังเจอกับผลกระทบของโควิด หรือปัญหาใดที่ใหญ่ยิ่งเหมือนโดนโคขวิด จะตอนนี้ หรือเมื่อไหร่ก็ตาม บอกตัวเองเลยว่ามันก็แค่ 10% เท่านั้นแหละ ฉันยังมีอีกตั้ง 90% ในกำมือ มันก็แค่อีก 1 เรื่องร้าย ๆชั่วคราวที่ขวางเราอยู่

เชื่อสิ เรื่องดี ๆ ก็รอให้เราเดินไปหามันข้างหน้าอยู่เหมือนกัน

เพราะไม่มีใครหรอกที่จะซวยซ้ำซ้อนได้ตลอดชีวิต

--

ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0