โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ต่างยังไงให้ลงตัว..รู้จัก 4 ความต่างที่มักทำความรักแตก - ฟาร์มรัก

LINE TODAY

เผยแพร่ 15 มี.ค. 2563 เวลา 17.05 น.
ไม่อยากรักไป ทุกข์ไป ต้องอ่าน ‘ฟาร์มรัก’
ไม่อยากรักไป ทุกข์ไป ต้องอ่าน ‘ฟาร์มรัก’

ภาพประกอบ @mandy_mandarin

เชื่อไหมว่าคู่รักที่เห็นว่ารักหวานซึ้งจนน่าอิจฉา เค้าสองคนไม่ใช่ส่วนผสมที่ลงตัวกันมาตั้งแต่แรกหรอก กว่าจะรักกันมาจนถึงจุดที่เรียกว่าความสุข มันมีเบื้องหลังที่เรามองไม่เห็นอีกเยอะแยะ

‘ความต่าง’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น และบางทีก็เป็นปัญหาค้าง ๆ คา ๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องแพ้บายให้กับความต่างไป ดังนั้นถ้าไม่รู้ว่าความต่างที่มีผลต่อความรักโดยตรงมีอะไรบ้าง เราก็จะไม่รู้ว่าจะรับมือกับความต่างนี้ยังไง อย่าลืมว่าเสน่ห์ของความรักมันอยู่ที่การค่อย ๆ เรียนรู้กันและกันไปเรื่อย ๆ รักใครก็ต้องรักอย่างที่เค้าเป็น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และความต่างไม่ใช่ความผิด แต่เป็นแค่การที่เราไม่เหมือนกัน

1. สถานภาพทางสังคม

ถึงแม้จะเป็นยุคสมัยแห่งความเท่าเทียม แต่การจะบอกว่าความต่างไม่กระทบความสัมพันธ์ก็คงเป็นเรื่องโกหก และความต่างสุดคลาสสิคที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับก็คือ ความต่างของสถานภาพทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นฐานะ อายุ การศึกษา พื้นฐานครอบครัว เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ต่อให้อยากเปลี่ยนแค่ไหนก็ตาม และความต่างเหล่านี้ก็ทำให้ความรักของหลายคู่ต้องพังมานักต่อนักแล้ว

เมื่อสถานทางสังคมต้องเผชิญหน้ากับความรัก สิ่งที่มักจะชนะก็คือ “สถานภาพทางสังคม” เสมอ

ไม่ใช่เพราะสถานะพวกนี้เข้มแข็งกว่า แต่เพราะความรักของเรามันอ่อนแอต่างหาก ถ้าเป็นแต่ก่อน “รักไม่มีพรมแดน” อาจฟังเป็นเรื่องโรแมนติค แต่เดี๋ยวนี้สถานภาพทางสังคมกลับเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ใครก็ข้ามไปไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักของเราหนักแน่นพอ สถานภาพเหล่านี้ก็เป็นแค่ของชิ้นหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทำอะไรความรักของเราไม่ได้ทั้งนั้น

2. ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

บางคนมองว่าไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนไม่น่ามีผลกับความรัก แต่เชื่อไหมว่านี่คือปัญหาระดับชาติที่ทำให้หลายคู่เลิกรากันมานักต่อนักแล้ว

จริง ๆ แล้วไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตมีผลกับความรักอย่างแยกไม่ออก เพราะถึงจะรักกันแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีอะไรที่ไปด้วยกันได้เลย ความรักอย่างเดียวก็คงไม่พอจะทำให้ใช้ชีวิตร่วมกันไปได้ตลอด

เมื่อถึงจุดหนึ่ง จุดที่เราเคยชินกับความรัก เราจะเข้าสู่โหมดอยากให้คนข้าง ๆ มาใช้เวลาร่วมกันบ่อย ๆ ซึ่งถ้าไลฟ์สไตล์คือความสุขในการใช้ชีวิตของคนหนึ่งกลายเป็นความหงุดหงิด อึดอัด จนเป็นทุกข์ของอีกคนตลอดเวลา ความต่างนี้ก็คงไม่อาจละเลยได้

>>10 ข้อคิดที่จะทำให้เข้าใจความรักมากขึ้น<< 

3. ทัศนคติ

ทัศนคติเป็นเครื่องชี้ชะตาได้เลยว่ารักกันรอดหรือไม่ เพราะมุมมองความคิดต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีผลต่อภาพรวมในการใช้ชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความรัก เพราะเมื่อเรามีทัศนคติต่อเรื่องความรักยังไง รักของเราก็จะเป็นแบบนั้น

ถ้าเราคิดว่าความรักคือทุกอย่าง รักแล้วต้องได้รักตอบ รักแล้วต้องอยู่ด้วยกันตลอด ตัวต้องติดกัน ต้องบอกทุกเรื่อง ห้ามทำนั่น ห้ามทำนี่ ในขณะที่อีกคนคิดว่ารักคือความสบายใจ ไม่กดดัน ไม่คาดหวัง ให้พื้นที่กันและกันได้เป็นของตัวเอง ซึ่งนี่แหละคือทัศนคติที่ต่างของการมีความรัก

ดังนั้น ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่าทัศนคติที่แตกต่างมีผลต่อการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างแน่นอน เพราะการที่คนหนึ่งคิดอย่าง อีกคนคิดอีกอย่างตลอดเวลา ยังไงสักวันก็ต้องมีปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปกันไม่ได้ ของแบบนี้เผลอ ๆ ต้องอาศัยความเข้าใจให้มากกว่าความรักเสียอีก

4. ความชอบ ความสนใจ

เป็นธรรมดาที่คนเราจะมีความชอบหรือความสนใจที่แตกต่างกัน คนรักกันไม่จำเป็นต้องชอบอะไรเหมือน ๆ กันก็จริง แต่ความชอบที่ต่างกันนี่แหละ บางทีก็ทำให้เกิดปัญหาได้

ความชอบเป็นรสนิยมส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และบางทีก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงชอบหรือไม่ชอบ ดังนั้นนี่คือเรื่องเดียวที่ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ แค่จำให้ได้ก็พอ เพราะความต่างนี้มีผลต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับความรักของเราน้อยที่สุด

>>8 อุปสรรคที่คนมีความรัก ต้องผ่านไปให้ได้<< 

ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งก็คือเราทุกคนไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย พอเริ่มรักกัน แรก ๆ อาจะดูเหมือนไม่มีความต่าง เพราะสิ่งที่ต่างถูกบดบังด้วยความรักและความโหยหา แต่จริง ๆ แล้วความต่างไม่ได้หายไปไหน พอช่วงเวลาแห่งรักผ่านไป ความต่างที่มีผลกับความรักโดยตรงเหล่านี้ก็จะปรากฎตัวขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น

4 วิธีนี้คือการแก้ปัญหาเพื่อทำให้แน่ใจว่าความต่างไม่ได้ถูกปิดบังไว้ แต่ถูกทำให้หายไปด้วยพลังแห่งรักและความเข้าใจของคนสองคน เพราะถ้ามันยังต่างกันอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป อุปสรรคและปัญหาก็จะกลายเป็นปุ๋ยที่ค่อย ๆ เร่งการเจริญเติบโตของต้นไม้แห่งความต่างให้พัฒนาขึ้น กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน ไม่มั่นคง และพร้อมจะพังลงได้ทุกเมื่อ

1. ยอมรับแบบไม่จำเป็นต้องฝืน

ต้องเข้าใจก่อนว่าคนเราเกิดมาต่างกัน คนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง แต่ในเมื่อรักกันแล้ว ก็ต้องรักกันให้มากพอที่จะยอมรับและเรียนรู้ในความแตกต่างซึ่งกันและกัน ยอมรับในความแตกต่างที่เป็นตัวของตัวเองของอีกคน เพื่อไม่ให้ความรักต้องพังเพราะความต่างนี้ แต่อย่าลืมว่าการยอมรับจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเข้าใจเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจก็คือยังไม่สามารถยอมรับได้อย่างเต็มใจ

ยอมรับยังไงให้ไม่รู้สึกว่ากำลังฝืนตัวเอง ? คือต้องยอมรับอย่างเข้าใจ เปิดใจคุยกันเลยว่าความแตกของเราทั้งสองคนนั้นคืออะไร และอะไรคือปัญหาระหว่างกัน ที่สำคัญคือต้องเปิดใจและทำความเข้าใจกันให้ดี เพราะความต่างคือปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ทำได้แค่เพียงยอมรับในความแตกต่างที่เกิดขึ้นเท่านั้น เมื่อยอมรับได้ ก็เดินหน้าต่อได้

2. หาจุดร่วมที่ลงตัว

ในความสัมพันธ์ฉันคนรัก เราไม่สามารถยอมรับความต่างได้ด้วยการแยกตัวออกมา หรือเธอจะทำอะไรก็เรื่องเธอ ฉันก็จะเป็นของฉันแบบนี้ ดังนั้นการหาความลงตัวในความต่างจึงเป็นวิธีที่ดีที่จะรักษาความสัมพันธ์ของคนสองคนเอาไว้ แต่วิธีนี้ทั้งสองคนต้องทำความเข้าใจกันให้หนัก จับมือกันให้แน่น เพราะโอกาสที่จะเกิดปัญหาหรือทะเลาะกันมีสูงมาก

วิธีก็คือพูดกันตรง ๆ ว่าจุดไหนที่เราจะยอมได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงหรือหงุดหงิดใจ โดยเฉพาะไลฟ์ การใช้ชีวิต ความชอบ ทัศนคติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องหาจุดลงตัวให้ได้ เพราะเรื่องพวกนี้แค่ยอมรับและเข้าใจไม่สามารถทำให้ความต่างหมดไปได้ แต่ต้องหาจุดร่วมที่ลงตัวถึงจะใช้ชีวิตด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหา

ข้อสำคัญก็คือ เมื่อหาจุดร่วมระหว่างกันได้แล้ว ต่างคนต่างก็ต้องทำตามเงื่อนไขที่วางไว้ ให้อีกฝ่ายได้เป็นตัวของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นความต่างที่ทำให้เรารู้สึกแปลก ๆ ก็ตาม

>>9 เรื่องจริงของความรัก ที่คนมีรัก..บางทีก็ไม่เข้าใจ<< 

3. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

กฎข้อหนึ่งของความรักก็คือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ในทีนี้ก็คือการให้เกียรติในความต่างของอีกฝ่าย เพราะถ้าตัดเรื่องความต่างของสถานภาพทางสังคมออกไป ความแตกต่างอื่น ๆ ก็เป็นแค่เรื่องที่เราไม่ชอบมันเท่านั้น ดังนั้นความชอบหรือไม่ชอบก็เป็นเรื่องที่คนรักกันก็ต้องให้เกียรติกันด้วย

การให้เกียรติในความต่าง ก็คือการยอมรับในความชอบและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของอีกฝ่าย อย่าลืมว่าแม้จะรักกัน คนเราก็ไม่จำเป็นต้องชอบหรือไม่ชอบอะไรที่เหมือนกันทั้งหมด แต่เราต้องยอมรับในความแตกต่างนี้ให้ได้ คือไม่ต้องทำใจให้ชอบเหมือน ๆ กัน แต่ต้องทำใจยอมรับในความชอบของอีกฝ่ายให้ได้ ซึ่งก็คือการให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างหนึ่งนั่นเอง

4. อย่ารอที่จะพูดออกไป

ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะสิ่งเดียวที่จะทำให้ความแตกต่างทั้งหมดหายไปก็คือการพูดมันออกมา เพราะถ้าต่างคนต่างเงียบ ก็ไม่มีทางที่จะหาจุดร่วม ยอมรับหรือทำความเข้าใจกับความแตกต่างได้แบบไม่ต้องฝืนได้เลย

การพูดก็คือการเปิดใจตีแผ่ปัญหาออกมาส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็คือการจัดการกับความต่างในแบบฉบับของแต่ละคู่ ดังนั้นถ้าเจอปัญหาก็ไม่ควรรีรอที่จะพูดออกมา เพราะแค่พูดก็เท่ากับการช่วยแก้ไขปัญหาไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว

ถึงตรงนี้ถ้าจะบอกว่าความต่างมีผลกับความรักโดยตรงก็คงไม่ผิด เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ความรักแตก ขอนึกไว้เสมอว่าความรักไม่ใช่การที่ใครคนหนึ่งยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ความรักคือการค่อย ๆ ปรับ ค่อย ๆ ปรุงกันไปทีละนิด เพื่อให้คนสองคนกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของกันและกัน

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0