วิวาทะความเหลื่อมล้ำที่ตกเป็นข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สืบเนื่องมาจาก Credit Suisse ได้เผยแพร่รายงานThe Credit Suisse Global Wealth Report 2018 ระบุว่าคนไทย 1% ถือครองความมั่งคั่งหรือทรัพย์สินรวม 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ…มีความเหลื่อมล้ำอันดับ 1 ของโลก…แซงหน้ารัสเซียและอินเดียค่อนข้างห่าง
จากนั้นก็มีผู้นำข้อมูลจากผลสำรวจไปเผยแพร่ต่อในโลกโซเชียลฯ อย่างรวดเร็วกลายเป็นไฟลามทุ่ง ร้อนถึงรัฐบาลและกองเชียร์ที่ออกมาตอบโต้รายงานฉบับดังกล่าวทันควัน ขืนปล่อยไว้ย่อมไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล ยิ่งใกล้เลือกตั้งข้อมูลชิ้นนี้อาจกลายเป็นอาวุธแหลมคม ที่จะกลับมาทิ่มแทงรัฐบาลได้
หนีไม่พ้นสภาพัฒน์ และ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องรับบทหนังหน้าไฟออกมาอรรถาธิบายให้สังคมรับรู้ แต่ดูเหมือนจะอธิบายคนละประเด็นที่ถูกกล่าวหา แถมบอกว่าข้อมูลในรายงานเป็นข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 49 สมัยรัฐบาลทักษิณ
โบราณว่า…จิ้งจกทัก ยังต้องฟัง!! นับประสาอะไรกับ Credit Suisse ธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสวิสเซอร์แลนด์ มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่กว่าธนาคารบ้านเราชนิดไม่เห็นฝุ่น ฝ่ายวิจัยก็มีระดับศาสตราจารย์ถึง 2 ท่าน คงไม่ปล่อยข้อมูลออกมามั่วๆ แบบสุกเอาเผากินให้เสียชื่อแน่ๆ
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นึกถึงสมัยก่อน“วิกฤติต้มยำกุ้ง” ที่เครดิตลียองแนร์ เคยเตือนไทยว่าจะต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนหาว่า รู้ไม่จริง ไม่รู้จักประเทศไทย แต่ในที่สุดก็เป็นอย่างที่เครดิตลียองแนร์วิเคราะห์ ตอนนั้นถ้าฟังแล้วรีบแก้ไขน่าจะผ่อนหนักเป็นเบา
คราวนี้ก็เช่นกัน Credit Suisse พูดถึงความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน หรือความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง ที่ประเทศไทยไม่ค่อยเปิดเผย แต่สภาพัฒน์กลับหยิบประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านรายได้มาตอบโต้ว่าสถานะดีขึ้น โดยอ้างมาตรฐานธนาคารโลกทั้งที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
กลายเป็นว่าสภาพัฒน์ฯ ตอบไม่ตรงคำถาม อันที่จริงที่ไม่ว่ามุมมองของ Credit Suisse กับมุมมองสภาพัฒน์ยกขึ้นมาสะท้อนว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำจริงๆ เพียงแต่หยิบคนละประเด็น อย่างไรก็ตามแม้สภาพัฒน์จะชี้แจงประเด็นความเหลื่อมล้ำเรื่องรายได้ว่าดีขึ้น แต่ไม่แน่ใจว่าจะดีขึ้นจริงๆ อย่างที่อ้างหรือไม่
แต่ถ้าจะถามว่าอันไหนน่าห่วงกว่า…ก็น่าจะเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งหรือทรัพย์สิน เพราะทุกวันนี้ช่องว่าด้านความมั่งคั่งระหว่างคนจนห่างกันถึง 70 เท่า แต่ช่องว่ารายได้ระหว่างคนจนกับคนรวยห่างกันแค่ 12-13 เท่าเท่านั้น ดังนั้นความเหลื่อมล้ำด้านมั่งคั่งหรือทรัพย์สินน่าห่วงและมีผลกระทบรุนแรง เช่น คนมีที่ดินอยู่สีลม ย่อมแสวงหารายได้ดีกว่าคนที่ไร้ที่ดิน และจะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
อันที่จริงอาจจะพูดว่า มีความเหลื่อมล้ำในบ้านเราไม่ใช่แค่ด้านความมั่งคั่งกับเรื่องรายได้เท่านั้น ยังมีอีกหลายด้านหลายมิติ ไม่ว่าเหลื่อมด้านการถือครองที่ดิน รู้ๆ อยู่ว่าทุกวันนี้กลุ่มทุนที่รวยที่สุดอันดับ1 หรือ 2และ 3 ของประเทศมีที่ดินรวมกันมากกว่าพื้นที่จังหวัดอีกหลายจังหวัด หรือคนรวยสุด 1% ครอบครองที่ดินแสนๆ ไร่ และครอบครองทรัพย์สินของประเทศในสัดส่วนที่สูง ขณะที่คนจนส่วนใหญ่ไร้ที่ดินทำกิน
นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา การเข้าถึงระบบสาธารณสุข เรื่องทำมาหากิน รวมถึงด้านสังคม เพราะกระบวนการยุติธรรมที่วิ่งคดีและบิดเบือนได้ และไม่สามารถใช้คุกขังคนรวยได้ ขังก็แต่คนยากคนจน
กล่าวสำหรับความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษายิ่งเห็นชัด ทุกวันนี้โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนสองภาษาที่เรียนเป็นภาษาต่างประเทศ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีทั้งของรัฐและเอกชน ค่าเทอมแพงลิบลิ่ว ลูกคนชั้นกลางค่อนข้างสูงจนถึงลูกเศรษฐีเท่านั้นที่มีโอกาสเรียน เพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ทั้งในและต่างประเทศ เมื่อจบออกไปทำงานก็จะได้ทำงานดีๆ ส่วนลูกชาวบ้านที่เรียนโรงเรียนวัด โรงเรียนทั่วๆ ไป โอกาสที่จะเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ดีๆ ก็ย่อมน้อยกว่า โอกาสที่จะทำงานดีๆ ก็น้อยตามลงไปด้วย
ทุกวันนี้แม้แต่เรื่องการทำมาหากินยังเกิดความเหลื่อมล้ำ จะเห็นข่าวบ่อยๆ ว่าร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ หันมาทำข้าวกะเพรา กล้วยปิ้ง ขายแข่งแย่งอาชีพพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของข้างทาง บริษัทน้ำมันขายกาแฟนอกปั๊มจนร้านกาแฟรายเล็กๆ อยู่ไม่ได้
ที่ยกตัวอย่างมานี่ “แค่น้ำจิ้มของความเหลื่อมล้ำ”ที่เป็นหน้าที่ของผู้บริหารประเทศต้องบริหารจัดการ ก่อนที่จะเป็นระเบิดเวลาที่รอวันระเบิดไม่วันใดวันหนึ่ง.
…………………………………………
คอลัมน์ :เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย“ทวี มีเงิน”
ขอบคุณภาพจาก : Pixabay, kcproperty ,khonphutorn
ความเห็น 7
Yai
เป็นเรื่องธรรมดาของระบอบประชาธิปไตยทุนสามาณย์
13 ธ.ค. 2561 เวลา 09.24 น.
ปู่ตาเรือง
ยุคไหนสมัยไหนก็เหลื่อมล้ำกันทั้งนั้น อย่าเอาการเมืองมาอ้างว่าสมัยนั้นดีกว่าสมัยนี้ เพราะมัวแต่โทษฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ จงโทษตัวคุณเองถูกที่สุด
13 ธ.ค. 2561 เวลา 06.49 น.
Fon
คนรวย เขาขยัน กันเข้าไม่ขี้เกียจ
เขาไม่งมงายไหว้ อะไรที่ประหลาดแปลกๆ
คนรวย ขยันเรียน. ขยันทำงาน นอนดึกตื่นเช้า
เขาส่งทอดความร่ำรวยให้ลูกหลาน
คนจน โทษฟ้าดิน ไม่เรียน ไม่อดทนขี้เกียจ
เล่นการพนัน ติดยา เหล้า. นอนดึกตื่นสาย
ขายที่ ขายบ้าน ลูกหลานจะเอาอะไรไปเป็นทุน
ยิ่งไม่เรียนหนังสือด้วย คนจนก็จะจนลง
คนรวยถึงมันติดยา ไม่เรียน. พ่อแม่มันปูทางไว้ให้แล้ว คนรวยเขาถึงรวยเพิ่ม
13 ธ.ค. 2561 เวลา 06.01 น.
lek
ไอ้ ซีพี นะตัวแซบ
13 ธ.ค. 2561 เวลา 05.50 น.
รวยกระจุก จนกระจาย ประโยคสุดทันสมัยตลอดกาลของเมืองไทย
13 ธ.ค. 2561 เวลา 05.37 น.
ดูทั้งหมด