วันนี้เป็นวันแรกที่มีทีวีช่องดังช่องหนึ่งนัดผมแบบเจอตัวเป็น ๆ
หลังจากส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะใช้วิธีวีดีโอคอล หรือโทรสัมภาษณ์เอามากกว่า เป็นการบอกให้รู้ว่าถึงเวลาผ่อนคลายลงบ้างสักทีสำหรับเจ้าโควิดตัวดีที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเรา และคนทั่วโลกไปมากมาย
“New Normal ของพี่อั๋นหลังจากนี้คืออะไรคะ” นั่นคือคำถามหลักๆของการพูดคุยกันวันนี้
บางคนคงคิดถึงการ Work from Home แบบถาวร…
การทำงานออนไลน์ที่เข้มข้น…
การเปลี่ยนไปของ Lifestyle Shopping และการทำการตลาด..
การที่คนส่วนใหญ่จะเลือกซิ่งกลับบ้านมากกว่าไปเดินเล่นตามห้างดังเดิม…
การส่งอาหารมาทานที่บ้านมากกว่าคิดจะไปที่ร้าน…
การทานร้อน ช้อนกู ถูสบู่ล้างมือ และใส่หน้ากากที่จะกลายเป็นนิสัยพื้นฐานใหม่ของวิญญูชนจากนี้และตลอดไป…
ความคิดทั้งหมดนี้วิ่งวนผ่านหัวผมในเสี้ยววินาที ก่อนที่ปากผมจะตอบออกไปว่า
“ความปกติใหม่ของผม คือการใช้ชีวิตกับครอบครัวมากขึ้นแบบสบาย ๆ และทำงานให้น้อยลง” ถ้าจะแปลง่าย ๆไปอีกขั้นก็คือ ฉันกลายเป็นคนขี้เกียจทำงานไปอย่างมากมายมหาศาลจนน่าตกใจ แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบนะ แค่ ณ วันนี้ยอมรับว่าไฟอันลุกโชนที่เคยท่วมหัวใจผู้ชายบ้างานคนนี้ สงบร่มเย็นลงอย่างมาก จากการได้เรียนรู้แบบรวบรัดที่ธรรมชาติลงโทษจัดให้เราทุกคนเข้าใจว่าที่สุดแล้วอะไรคือสิ่งสำคัญที่มันจำเป็นต่อการใช้ชีวิตให้ดีและมีความหมาย โดยไม่เผลอหลงใหลไปไกลกับการประโคมกายด้วยวัตถุนิยมหลากหลายที่โลกเคยลวงใจให้เราหลงคิดไปว่ามันคล้ายเป็นสิ่งที่จำเป็นซะเหลือเกิน
หลังการพูดคุยเสร็จสิ้น ผมเดินกลับมาที่ลานจอดรถ เพียงเพื่อจะพบว่าในลานกลางแจ้งร้อนฉ่าที่กว้างและโล่งไปกว่าครึ่งนั้น ก็ยังอุตส่าห์จะมีรถตู้สีดำคันใหญ่คันนึงมาจอดขวางหน้ารถผมอยู่คันเดียวพอดิบพอดี มองหารปภ.ก็ไม่เห็นวี่แววจะมี
เอาวะ เข็นก็เข็น เราก็ไม่ได้จะไม่มีเรี่ยวแรงเสียเมื่อไหร่ แต่เชื่อไหมว่าผมเข็นยังไงมันก็ไม่ไป เพราะรองเท้าคัตชูของผมมันลื่นจนเท้าเอาแต่ไถลไปข้างหลัง ในที่สุดผมต้องเดินไปหาก้อนหินมายันเท้าไว้ แล้วฮึบใจเข็นใหม่อีกที
เคยสังเกตกันไหมเวลาเริ่มต้นออกแรงเข็นรถนั้น ต้องใช้พละกำลังมหาศาล แต่พอรถเริ่มไหล ล้อเริ่มหมุนไป ก็จะดูเหมือนว่าเราเข็นมันไปได้ง่ายโดยใช้แรงน้อยลง ๆๆ แต่ถ้าเราหยุดแล้วเริ่มต้นเข็นใหม่อีกที เราก็จะต้องกลับไปใช้พลังมหาศาลแบบตอนเริ่มต้นนั้นอีกครั้ง
อยู่ดี ๆ ผมก็เกิดสงสัยขึ้นมาซะงั้นว่า หรือตกลงแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังเป็นรถคันนี้ คันที่สองเดือนที่ผ่านมาถูกทำให้เคลื่อนที่ช้าจนเกือบจะหยุดนิ่ง หลังจากวิ่งๆๆมานาน และการจะกลับมาเริ่มต้นเคลื่อนที่ใหม่อีกทีนั้นมันต้องใช้แรงดันมหาศาลเหลือเกิน
สิ่งที่ยากที่สุดของการจะทำอะไรให้สำเร็จ คือการเริ่มต้นก้าวแรกนี่แหละ
เหมือนตอนที่ผมเรียนปริญญาเอก ช่วงเวลาที่เข้าห้องเรียน ต้องอ่านหนังสือเล่มหนาภาษาอังกฤษเดือนละเป็น 10 เล่ม ทำรายงานจนแทบไม่ได้เงยหน้า กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ง่ายที่สุด เพียงเพราะว่ามันถูกกำหนดไว้แล้วด้วยคำสั่ง แผนงาน และระยะเวลาที่ชัดเจนว่าเราต้องเดินหน้าไปตามขั้นตอนอย่างไรทีละขั้นทีละตอน จนกระทั่งเสร็จสิ้นการเรียนในห้อง แล้วเข้าสู่กระบวนการทำดุษฎีนิพนธ์ที่เราต้องวางแผนบริหารจัดการทุกอย่างโดยเฉพาะการบริหารเวลาด้วยตัวเองนี่สิ เราจะทอดหุ่ย ต่อนยอน อ้อยสร้อยยังไงก็ได้ เพราะไม่มีใครบังคับ ไม่มีตารางการเรียนให้ทำตามอีกต่อไป เราต้องเลือกเอง ตราบใดที่ทุกกระบวนการเสร็จสิ้นได้ภายใน 4 ปีตามที่กำหนด คุณก็จบ
แต่ที่สุดแล้วจุดนี้แหละคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ล้มหายตายจากกันไปในคลื่นของกาลเวลาที่นำพาความขี้เกียจมาสู่ใจ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะขอพักผ่อนให้หายเหนื่อยสักหน่อย ก่อนจะกลับมาเริ่มต้นทำสงครามกับ Thesis นั้นอีกครั้ง แต่หลายคนเมื่อหยุดพักไปแล้ว กลับไม่สามารถพาตัวเองให้เริ่มใหม่ได้อีกครั้งเพราะมันต้องใช้พลังงานเยอะเหลือเกิน ไม่ต่างกับการออกแรงเริ่มต้นเข็นรถใหม่ให้เคลื่อนที่
ผมก็เป็น 1ในคนเหล่านั้นเช่นกัน และตลอดเวลาของการเดินทางสู่ปลายทางของปริญญา มีแต่คำถามในใจที่ดังขึ้นมาเสมอว่า
“เมื่อไหร่แกจะเริ่มเขียน”
กับคำตอบที่ผมได้ยินดังก้องใจอยู่เสมอก็คือ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเริ่ม เดี๋ยวค่อยเขียน”
แล้วเชื่อไหมว่าผ่านไปเกือบ 2 ปีที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากปล่อยให้เวลาผ่านไปกับคำว่า “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวจะเริ่ม เดี๋ยวจะทำ เดี๋ยวจะเขียน”
สุดท้ายสำหรับผม 2 ปีนั้นก็เลยกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่คำว่า ”เดี๋ยวสำเร็จ” ปะหน้า แต่ว่าไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง
จนวันหนึ่งผมไปอ่านสิ่งที่พี่จิก ประภาส ชสศรานนท์เคยเขียนไว้ว่า..
“คำว่า เดี๋ยว กับ เดี๋ยวนี้ คำหลังยาวกว่าทำหน้านิดเดียวแต่อนาคตยาวไกลกว่ากันเยอะ”
ประโยคนี้ประโยคเดียวที่ทำให้ผมกลับมาเริ่มต้นเคลื่อนที่ได้อีกครั้ง แล้วที่เหลือจากนั้นก็เป็นกระบวนการไหลไปๆๆ
จนสุดท้าย “น้องเดี๋ยว” ก็จากผมไปขณะที่เพื่อนใหม่ที่ชื่อ “คุณสำเร็จ” ก็ค่อย ๆ เบียดตัวเข้ามาแทนที่ในชีวิต
พัก ๆ หนึ่งโลกก็จะมักเหวี่ยงทฤษฎี หรือมีวิถีใหม่ในการใช้ชีวิตมาให้เราได้คิด และฮิตกันเป็นระยะ ๆ ก่อนหน้านี้ก็มีคำว่า Slow Life ส่วนในไม่กี่เดือนนี้ พี่โควิดก็นำการ Stay Home และความพอเพียงให้กลับมาฟื้นคืนชีพอย่างยิ่งใหญ่ในใจใครหลายคนรวมทั้งผมคนนี้ด้วยอีกครั้ง
ไม่ผิดนะที่คิดจะพัก หรืออยากจะพอ เพียงแต่เราควรต้องเลือกพัก..ในช่วงที่งานไม่หนักงานสำเร็จมากพอแล้ว
หรือควรเลือกพอ..เมื่อสิ่งที่ตั้งใจใฝ่ฝันนั้นมันผลิดอกออกผลลัพธ์ชัดเจนตามควรแล้วรึเปล่า
ขอบคุณรถคันที่จอดขวางผมวันนี้ ที่อยู่ดี ๆ ก็ทำให้ผมได้กลับมานั่งนิ่งๆแล้วถามตัวเองอีกทีว่าตกลงจริง ๆ แล้ว….
นี่ผมกำลังหลงรักความพอดี หรือแค่ขี้เกียจ
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY