ให้ลดให้ละให้เลิกแต่เพิ่มงบโรงงานยาสูบ! “ภาษีอบายมุข” รายได้ก้อนโตของชาติ?
ขณะที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เร่งรณรงค์ “ลด ละ เลิก“ ชวนคนไทยเมาไม่ขับ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลท่องเที่ยวและช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้มีข่าว กระทรวงการคลัง ทุ่มงบ 4 พันล้าน สร้างโรงงานยาสูบ เพิ่มกำลังการผลิต เล็งหาเงิน “พัฒนาประเทศ”
ด้วยความย้อนแย้งนี้ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หรือว่า “ภาษีอบายมุข” จะเป็นรายได้ก้อนโต ซึ่งประเทศของเราต้องพึ่งพาอย่างแท้จริง?
มาดูกันดีกว่า ว่า “ภาษีบาป” ก้อนโตนี้ ถูกจัดสรรไปให้หน่วยงานใดของประเทศเราบ้าง..
ทั้งนี้ยังมีรายงานอีกด้วยว่า "นายณัฐกร อุเทนสุต" ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต กล่าวถึงการจัดเก็บภาษีปีงบประมาณ 2561 ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2560 ถึง เดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมา ประชาชนบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงถึง 10% จากการรณรงค์เรื่องสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข จนส่งผลให้รายได้ของสรรพสามิตหายไปกว่า 2 พันล้านบาท สำหรับแผนจัดเก็บภาษีปีงบประมาณ 2562 นั้น กรมสรรพสามิต ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 6.2 แสนล้านบาท
ฝั่งรายได้จากภาษีบุหรี่ก็ไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็นการนำเงินจากภาษีบาปมาหนุนการดูแลสุขภาพประชาชน เพราะเดือนกันยายน 2562 บุหรี่ทุกยี่ห้อก็เตรียมขึ้นราคาเพิ่มอีกซองละ 2 บาท โดยมีการจัดทำร่าง พ.ร.บ.จัดเก็บเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขฯ เพื่อนำเงินจากการเก็บภาษีไปใช้ในงบหลักประกันสุขภาพหรืองบบัตรทอง ซึ่งในปัจจุบัน งบบัตรทองในปีงบประมาณ 2561 มีเม็ดเงินอยู่จำนวน 1.7 แสนล้านบาท
อาจเป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดไม่ได้อย่างเต็มปากว่า “เราจะไม่เอาอบายมุข” เพราะเบื้องหลังการพัฒนาประเทศ (แม้จะเป็นเมืองพุทธก็ตาม) แต่เรามีเม็ดเงินบาปก้อนใหญ่ก้อนโตนี้ หนุนหลังเราอยู่จริงๆ
แหล่งที่มา https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1501821
https://money.kapook.com/view195416.html
https://mgronline.com/qol/detail/9610000098413
