โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เรื่องเล่าที่ไม่ตรงกัน เชื้อสายอุยกูร์กับการปรับทัศนคติครั้งใหญ่ในประเทศจีน - เพจพื้นที่ให้เล่า

TOP PICK TODAY

อัพเดต 10 ต.ค. 2563 เวลา 04.38 น. • เผยแพร่ 10 ต.ค. 2563 เวลา 04.22 น. • เพจพื้นที่ให้เล่า

จริงๆ ถ้าช่วงนี้ใครเสพซีรีส์ต่างประเทศ โดยเฉพาะซีรีส์จีน จะต้องได้พบกับใบหน้าแสนสวยและการแสดงที่ยอดเยี่ยมของคนนี้ ดิลราบา ดิลมูรัต หรือที่คนทั่วไปรู้จักดาราสาวคนนี้ในชื่อของ ตี๋ลี่เรอปา

นอกจากการแสดงอันเป็นที่น่าจดจำแล้ว ใบหน้าของเธอมีความเป็นเอกลักษณ์มาก เพราะเธอเป็นหญิงสาวที่เกิดในเขตการปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน ใบหน้าสวยคมดั่งสาวเปอร์เซียทำให้เธอเป็นที่จดจำอย่างรวดเร็ว ประกอบกับฝีมือการแสดงที่ฉายแววเป็นพิเศษ ทำให้แฟนคลับชาวจีนนับล้านหลงเสน่ห์ของเธอ ตอนนี้ตี๋ลี่เรอปากล่าวขานได้ว่าเป็นหนึ่งในดาราสาวที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในแผ่นดินจีน แม้ว่าตัวเธอนั้นจะมีเชื้อสายมุสลิมอุยกูร์ที่ไม่ได้รับการยอมรับในแผ่นดินจีน

ความจริงที่น่าสนใจอีกอย่าง.. ไม่ใช่แค่ตี๋ลี่เรอปา เท่านั้นที่เป็นนักแสดงจีนที่มีเชื้อสายอุยกูร์ มีนักแสดงอีกมากมาย ทั้งคลื่นลูกใหม่และคลื่นลูกเก่าที่มีเชื้อสายอุยกูร์ ถึงขนาดที่คนบันเทิงนิยมมาจากมณฑลนี้ โดยเฉพาะผู้หญิง ดังคำกล่าวว่า "มณฑลซินเจียงนี้ มีแต่สาวงาม"  แต่กระแสเรื่องศาสนาที่แตกต่างเป็นเรื่องต้องห้าม แม้กระทั่งกลุ่มคนที่อยู่ในแสงสปอร์ทไลท์ก็ตาม ไม่มีใครกล้าพูดถึง

ถ้าใครตามข่าวเกี่ยวกับประเทศจีนคงทราบว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนชาติจีนกับชนชาติอุยกูร์ที่เป็นมุสลิมแต่อยู่ภายใต้การปกครองของจีนนั้น เป็นปัญหาความการเหยียดเชิงชาติพันธุ์ประจำทศวรรษนี้เลยทีเดียว โดยชนชาติอุยกูร์เป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนทางตะวันตกของจีน ชื่อ “ซินเจียง” ซึ่งถือเป็นดินแดนที่เชื่อมต่อและมีการผสมผสานระหว่างยุโรป เอเชีย เปอร์เซีย และอาหรับ บางคนก็เรียกรวมประเทศและดินแดนในจุดเชื่อมต่อนี้ว่า “ยูเรเชีย” ช่วงศตวรรษที่ 10 พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นพื้นที่ที่รุ่งเรืองที่สุดในยุคการค้า มีการซื้อขาย การเดินทางของพ่อค้าต่างประเทศ ต่างเชื้อชาติมากมาย และปัจจุบันก็ถือเป็นดินแดนยุทธศาสตร์ในการเชื่อมต่อจีนกับตะวันออกกลางและยุโรป

เนิ่นนานมาในอดีต วัฒนธรรมของจีนกลางและอุยกูร์ค่อนข้างที่จะแตกต่างอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา ภาษาพูด ศิลปะ วัฒนธรรมหรือแม้กระทั่งการละเล่นพื้นบ้าน จึงไม่แปลกที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในภาพรวม แต่ความขัดแย้งระหว่างกันมาปะทุจริงๆ ตอนที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบบคอมมิวนิสต์ ความเปลี่ยนแปลงกำลังมุ่งสู่การเป็นจีนแท้จริงเต็มตัว จีนเพียงหนึ่งเดียว

ชาวอุยกูร์ที่อยู่ในซินเจียงมีประชากรราวๆ 11 ล้านคน (ตามเลขทางการของประเทศจีน)

การกระทำใดที่แสดงถึงความแตกต่างไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัฒธรรมดั้งเดิม ล้วนถูกงด ถูกห้าม

หลายสำนักข่าวในหลายต่างประเทศเล่า แนวคิดนี้นำไปสู่การปรับทัศนคติของชายอุยกูร์แบบผิดปกติ

ไม่มีชาวอุยกูร์คนนั้นสามารถใส่ฮิจาบ ละหมาด หรือพูดด้วยภาษาเตอร์ก ได้อย่างสบายใจอีกต่อไป

นักวิชาการเกี่ยวกับประเทศจีนได้กล่าวถึงในบทสัมภาษณ์หนึ่ง เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันเป็นปัญหารากลึกของประเทศจีนและชาวอุยกูร์ว่า ความน่าจะเป็นที่ทำให้จีนตัดสินใจปรับทัศนคติหรือกระทำแบบนี้กับชาวอุยกูร์ คือความหวั่นเกรงต่อแนวคิดการรวมเติร์ก หรือแนวคิดการรวมอิสลามใหม่หมู่ชาวอุยกูร์ ที่เกิดขึ้นอย่างมากทั่วโลก ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งก่อให้เกิดความระแวงที่อยากจะตัดไฟตั้งแต่ต้นล้มได้ การปราบปรามความคิดต่างจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงนั้น โดยมีการใช้ความคิดในลักษณะ "การปราบปรามผู้ก่อการร้าย" ซึ่งอาจมีการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และนำมาสู่การกระทำต่างๆ จนถึงปัจจุบันนี้

ต้องบอกว่าปัจจุบันนานาประเทศรับรู้ถึงการละเมิดสิทธิต่างๆ ที่จีนปฏิบัติต่ออุยกูร์ ไม่ว่าจะเป็นการนำรูปของสีจิ้นผิงเข้าไปอยู่ในมัสยิด และห้ามปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาหลายอย่าง การนำ AI มาตรวจจับทุกความเคลื่อนไหวของประชากรอย่างเข้มงวด ไปจนถึงการจับตัวประชาชนเข้าค่ายที่รัฐบาลเรียกว่า “ค่ายฝึกอาชีพ” ที่ไม่นานมานี้มีเอกสารของจีนที่รั่วไหลออกมาว่าค่ายดังกล่าวหน้าตาเหมือนเรือนจำของกองทัพมากกว่า ยังไม่นับที่ชาวบ้านยืนยันว่าญาติของพวกเขาหลายคนเข้าไปแล้ว ก็หายสาบสูญไปเลย รวมถึงมีข่าวลือเรื่องการซื้อ-ขายอวัยวะจากชาวอุยกูร์ที่เสียชีวิตอย่างลึกลับ แต่นานาประเทศกลับทำอะไรได้ไม่มากนัก เพราะการบีบบังคับให้ประเทศจีนออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
ยังมีการเปิดเผยผ่านเว็บไซต์ของ bbc thailand ว่าในค่ายปรับทัศนคติดังกล่าวจะมีการใช้บรรทัดฐานกฎระเบียบค่อนข้างชัดเจน อย่างคำเรียกชื่อ วินัยการตื่นและการนอน ระเบียบการเข้าห้องน้ำและการทำความสะอาด แม้กระทั่งการเรียนภาษาและการปรับวัฒนธรรม มีคำสั่งตรงให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเก็บคำสั่งเป็นความลับอย่างเคร่งครัด ห้ามปล่อยใครหนีออกไปจากค่ายโดดเด็ดขาด แต่สิ่งที่ไม่แน่นอนคือ…ไม่มีใครรู้ว่าชาวอุยกูร์แต่ละคนจะได้ออกจากค่ายเมื่อไร ต้องอาศัยการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่เท่านั้นว่าบุคคลคนนั้นได้แสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความเชื่อและภาษาในการสื่อสารแล้ว แม้ทั้งหมดจะเป็นเสียงกังวลและเสียงวิพากษ์วิจารณ์สะท้อนจากชาวโลกกลับเข้าไปที่จีน 
ประเทศจีนยังคงยืนยันต่อสาธารณะว่า ไม่มีคุก มีแต่ศูนย์ฝึกอบรมในซินเจียง และทุกคนเต็มใจเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแนวคิดตน เท่านั้นทุกคนในค่ายเป็น 'นักเรียน' ไม่ใช่ 'นักโทษ'
สำนักข่าวชื่อดังหลายประเทศได้ทำการไปเยี่ยมเยียนค่ายปรับทัศนคติเช่นเดียวกัน และได้ถ่ายภาพจำนวนหนึ่งออกมา

 

 

นายหลิว เสี่ยวหมิง เอกอัครราชฑูตจีนประจำสหราชอาณาจักรก็ได้กล่าวถึงข่าวเรื่องนี้ว่า.. มาตรการเหล่านี้ช่วยปกป้องคนท้องถิ่น และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทำให้ไม่มีเหตุโจมตีก่อการร้ายเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียวในซินเจียง ภูมิภาคดังกล่าวมีเสถียรภาพทางสังคมและมีความสามัคคีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ผู้คนกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยรู้สึกปลอดภัยและพอใจมากขึ้น และสิ่งที่ผู้คนในโลกตะวันตกไม่พอใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ อาจเป็นการใส่ร้ายป้ายสีจีนเกี่ยวกับซินเจียง เพื่อให้มีข้ออ้างในการแทรกแซงกิจการภายในของจีนก็เป็นได้ 

ราคิมา เซนเบย์ หนึ่งในคนที่เคยถูกควบคุมตัวเข้าไปในค่าย เพราะเธอมีแอปพลิเคชันสำหรับการพูดคุยอย่าง whatsapp เธอถูกควบคุมตัวไปค่ายดังกล่าวหลายที่ในประเทศจีน เป็นเวลากว่า 1 ปี และเธอใช้คำว่าเวลาดังกล่าวเธอถูกทารุณกรรม คนที่อยู่ในค่ายจะได้รับการแจ้งเตือนถึงการเยี่ยมชมของผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ทางการต่างๆ และพวกเธอต้องแกล้งมีความสุข เพราะถ้าใครกล้าพูด คนคนนั้นจะถูกส่งไปอยู่ที่ที่เลวร้ายกว่า การร้องเพลงและการเต้นรำที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมีที่มาแบบนั้น

อย่างหนึ่งในนายแบบออนไลน์ชื่อดังประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เมอร์แดน กัปปาร์ ที่สัญชาติอุยกูร์ ก็เคยถูกควบคุมตัวไปอยู่ในค่ายปรับทัศนคติเช่นเดียวกัน โดยเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถใช้งานมือถือได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้สังเกตเห็นมือถือของเขาตอนจับกุม ทำให้เขาสามารถถ่ายวิดิโอความเป็นอยู่ของตัวเองที่โดนล่ามกับเตียง และเล่าชีวิตประจำวันรอบด้านผ่านข้อความใน whatsapp แต่เมื่อเสียงสู่สาธารณะ เขาก็หายไป ไม่มีใครได้รับข่าวสารจากเขาอีกเลย 
เพราะเรื่องที่เล่ามาจากทั้ง 2 ฝั่ง ไม่ตรงกันมากเกินไป จากนี้เราคงต้องติดตามเรื่องนี้กันต่อไป 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0