โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ลอนดอนรำลึก - อั๋น ภูวนาท

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 20 เม.ย. 2563 เวลา 06.44 น. • อั๋น ภูวนาท

“เชื่อไหมคุณใหญ่ ผมเคยมีความคิดว่าอยากทิ้งทุกอย่าง แล้วย้ายชีวิตมาอยู่ที่อังกฤษด้วยนะ ผมว่าที่นี่น่าอยู่มาก ๆ เลย”

ผมพูดโดยที่ไม่ได้แม้แต่หันกลับไปมองหน้าผู้ฟังที่กำลังขับรถพาผมกับครอบครัว มุ่งหน้าออกจากลอนดอนไปเที่ยวที่เมืองชนบทใกล้ ๆ ในเช้าวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สายตามองไกลออกไปสู่ทุ่งหญ้าเขียวขจี กับภูเขาลูกใหญ่ที่เหมือนยืนรอต้อนรับการไปถึงของเราอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับไกลเหมือนไปไม่ถึงสักที

“มาเที่ยวกับมาอยู่จริงๆ มันไม่เหมือนกันนะครับพี่อั๋น ผมมาอยู่ที่นี่ 20 กว่าปี อยากกลับทุกปี ยังไงชีวิตนี้ก็อยากกลับไปตายที่บ้านเกิดนะครับ”

ย้อนกลับไปวันนั้น โลกของเราเริ่มรู้จักกับโควิด19 กันแล้ว แต่ความตระหนักถึงภัยนี้ยังไม่มีผลถึงทางยุโรปซักเท่าไหร่ ผมกับครอบครัวจึงเป็นคนไทยที่แปลกแยกจากคนอื่นทั่วไปด้วยหน้ากากอนามัย และเจลล้างมือที่มีถือทั้งติดหน้าติดมือพัวพัน แม้จะถูกเหล่าฝรั่งมองกันด้วยสายตาคล้ายกับว่าเราเป็นตัวประหลาด แต่โดยภาพรวมเราต่างก็ยังวางตนอยู่ในขอบเขตของความสุภาพต่อกันได้เป็นอย่างดี

ตลอด 1 สัปดาห์ "คุณใหญ่" ขับรถรับส่งดูแลผมและครอบครัวอย่างใกล้ชิดกันทุกวัน แม้จะพูดกันนับคำได้ แต่ทุกครั้งที่พูด ก็มีเรื่องดี ๆ ที่ชวนให้ผู้ฟังอย่างผมคนนี้ได้กลับไปนั่งคิดอะไรยิ้มไปได้ทีละนานสองนาน

ในระหว่างที่พวกเราวิ่งถ่ายรูปกับสถานที่สวยงามตามโปสการ์ด ผู้ชายคนนี้จะยืนรอที่รถ แล้วยืนมองฟ้าสวยเงียบ ๆ คนเดียวทุกครั้ง

ในขณะที่ผมถามถึงแต่การใช้ชีวิตที่อังกฤษของเค้า ผู้ชายคนนี้กลับถามผมถึงแต่การใช้ชีวิตที่เมืองไทยที่เค้าคิดถึง

ในระหว่างที่เราล่องเรือกลางแม่น้ำเทมส์ในวันที่บรรยากาศดีสุดชีวิต ผู้ชายคนนี้กลับบอกว่าเค้าคิดถึงเจ้าพระยามากกว่า

ในระหว่างที่ผมบอกว่าจัตุรัส Trafalgar ช่างตื่นตา ผู้ชายคนนี้กลับหัวเราะร่าแล้วบอกว่าจริง ๆ แล้วอนุสาวรีย์ชัยของเราสวยกว่านะพี่

ในขณะที่ผมรู้สึกเหมือนได้หนีออกจากกรงขังวังวนของการทำงานหนัก ๆ มาพักที่นี่ผู้ชายคนนี้กลับบอกว่าเค้าจะขอทำงานเก็บเงินที่นี่อีกแค่ไม่เกิน 2 ปี แล้วจะหนีกลับไปใช้ชีวิตอิสระเสรีที่ประเทศไทย

มันเป็นความลงตัวที่พอดี ๆ ที่ผมชอบใจ เพราะเขาทำให้ผมไม่รู้สึกว่าเมื่อหมดเวลาท่องเที่ยวครั้งนี้แล้วจะต้องกลับประเทศไทยไปมีชีวิตที่หดหู่เกินไป เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นในหลายๆครั้งที่การท่องเที่ยวแสนสนุกจบลง คล้ายการถูกปลุกจากฝันให้ตื่นขึ้นมาเจอกับความจริงอันโหดร้ายอีกครั้ง แต่สิ่งที่คุณใหญ่กับผมได้คุยกัน ทำให้ผมยิ้มได้ง่าย ๆ แม้วันสุดท้ายที่ต้องเดินทางกลับประเทศไทยมาถึง

3 เม.ย.ที่ผ่านมา ผมได้ข่าวจากโค้ชซิโก้ว่าคุณใหญ่ได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยโรคโควิด19 ที่ประเทศไทย

คุณใหญ่ตัดสินใจเดินทางกลับไทยเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น จนลูกค้าเริ่มหดหายเพราะผู้คนงดเดินทาง หลังจากที่เคลียร์งานต่าง ๆ ที่อังกฤษอย่างเร่งด่วนจนเสร็จสิ้น ก็เหินฟ้ามาถึงเมืองไทยด้วยอาการเหนื่อยล้า และเริ่มมีไข้อ่อน ๆ จนกระทั่งวันที่ 25 มี.ค.ก็ตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และพบว่าติดเชื้อ และโดยไม่มีใครแม้แต่คนเดียว รวมถึงตัวเค้าด้วยที่จะคิดว่านั่นคือการเดินทางสู่วาระสุดท้ายของชีวิตที่จะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ได้เริ่มต้นใหม่อีกต่อไป

แม้ผมกับคุณใหญ่จะไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย แต่โลกก็จัดสรรให้อยู่ดี ๆ เราก็ได้ใช้เวลาร่วมกันอยู่หลาย ๆ วันในหลาย ๆ ปีที่ผ่าน ๆ มา หากจะมองว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ฟ้าให้เราได้แค่มาเจอกัน มันก็คงจบแค่นั้น แต่สำหรับอั๋นการจากไปของคนไกลคนนี้ในครั้งนี้ มันกระแทกใจผมอย่างบอกไม่ถูก

ที่ผ่านมาเราส่วนใหญ่ต่างใช้เวลาไปเพื่อแลกกับอะไรเยอะแยะมากมาย เราเอาเวลาไปแลกกับงาน เอาเวลาไปแลกกับเงิน เอาเวลาไปแลกกับอาชีพการงาน ความมั่นคง หรือมั่งคั่ง

แต่ไม่เคยมีใครเลยสักคนที่จะสามารถเอาสิ่งเหล่านั้น ไปแลกเวลาคืนกลับมาได้แม้วินาทีเดียว

โกวเล้งเคยเขียนประโยคคำถามไว้ในนวนิยายชื่อดังของเค้าว่า

“คนเราจะมีสิบปีได้สักกี่ครั้ง”

ผมชอบประโยคนี้เหลือเกิน เพราะมันเป็นคำถามที่คนจะตอบได้ ไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ตอบเองสักที เอาจริงๆไม่ต้องถามกับถึงสิบปีด้วยซ้ำไป เอาใกล้ๆแค่ว่า คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้สักกี่วัน มันก็ไม่มีใครรู้แล้วละ

จากข้อมูลล่าสุดของTDRI นั้น คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 75.3 ปี นั่นแปลว่า ตามสถิติแล้ว ถ้าโชคดีเราคงจะมี 10 ปีกันได้แค่คนละประมาณ 7 ทีเท่านั้น และสำหรับตัวผมเองก็ผ่าน 10 ปีมา 4 ที เกินครึ่งทางแล้วสินะชีวิตนี้

แม้คุณใหญ่จะจากไปไวกว่าค่าสถิติมากมายเหลือเกิน เพราะ 10 ปีของผู้ชายคนนี้ยังเดินมาไม่ถึง 4 รอบเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่พอจะทำให้ผมยังยิ้มได้ก็คือ คุณใหญ่ได้กลับมาใช้ลมหายใจสุดท้ายบนแผ่นดินนี้ดังที่เค้าเคยบอกผมไว้

ไม่มีใครรู้ว่าเราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้เมื่อไหร่ ไม่มีใครตอบได้ว่าจะมียารักษาหรือวัคซีนไหม ไม่มีใครแน่ใจว่าโลกหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปเช่นไร เราจะยังได้ไปดูคอนเสิร์ตได้ออกไปฉลองวันเกิดที่ร้านอาหารกับครอบครัว กับเพื่อนๆและคนรู้ใจ ได้ชวนกันไปเค้าดาวน์เบียดกันดูพลุก้าวข้ามสู่ปีใหม่กับคนเรือนหมื่นเรือนแสน หรือจะกล้ากลับไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์แล้วยืนต่อแถว 2 ชั่วโมงกับคนร้อยพ่อร้อยแม่ หรือแค่ยืนติดกันไหล่ชนไหล่ในขบวนรถไฟฟ้า BTS โดยไม่หวั่นหัวใจ ทั้งหมดนี้อาจจะกลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์อันแสนน่าทึ่งหน้าหนึ่งให้เราได้พูดถึงกัน หรือมันอาจจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของชีวิตที่จากนี้จะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมอีกตลอดไป

คำถามเหล่านี้ยังคงลอยฟุ้งอยู่ในอากาศต่อไป ปะปนอยู่กับคำตอบที่อาจไม่มีใครมองเห็น ไม่ต่างจากคำถามที่ว่า “คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้สักกี่วัน” นั่นแหละ

เห็นข่าวดราม่าของบางคนที่ออกมาพูดถึง ทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน เรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ที่อยู่รอดกับการกลไกคัดเลือกของธรรมชาติ จริง ๆ แล้วรายละเอียดเนื้อหาทฤษฎีนั้นมีมากมาย นอกจากเพียงแค่บทสรุปว่า ใครปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุดคนนั้นรอด (Survival of the Fittest) หรือใครที่แข็งแกร่งที่สุดคนนั้นจึงจะผ่านพ้นและไม่ตายเพียงเท่านั้น (Only the Strongest will Survive) เพราะผมไม่คิดว่าหลายคนที่ต้องจากไปจากวิกฤติครั้งนี้ทุกคนคือคนอ่อนแอ ในทางกลับกันมันก็ใช่ว่าทุกคนที่ผ่านมันได้จะเป็นคนที่แข็งแรงทั้งหมดเสียเมื่อไหร่

แต่สำหรับเพื่อนผมคนนี้ที่จากไป ไม่ว่าจะบังเอิญเป็นที่ร่างกายเค้าอ่อนแอ หรือแค่จั่วโดน แต่ที่แน่ ๆ เค้าจะเป็นความทรงจำที่แข็งแรงในใจของผมตลอดไป

ส่วนเราในฐานะผู้ที่ยังรอดชีวิต  ในระหว่างที่ยังมีโอกาส มาตั้งใจทำให้ทุกๆวันของเราเป็นความทรงจำที่ดีของกันและกันด้วยกันนะครับ

จนกว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้..

--

ติดตามบทความจาก อั๋น ภูนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0