ก่อนหน้านี้มีข่าวเกี่ยวกับครูทำโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุออกมาให้เห็นบ่อย ๆ จนทำให้สังคมถามหาความเป็นแม่พิมพ์ของชาติที่ดูแล อบรมสั่งสอนเด็กให้โตไปเป็นคนดีของสังคมกันมากขึ้น เนื่องจากบทบาทของความเป็นครูเริ่มมีการบิดเบือนตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้สังคมเริ่มถามหาจรรยาบรรณของคนเป็นครูมากขึ้น
ล่าสุดบทบาทของครูก็ถูกสั่นคลอนอีกครั้ง เมื่อเพจ Drama-addict เปิดเผยเรื่องราวการแพ้นมของเด็กอนุบาล อายุ 3 ขวบกว่า ซึ่งแม่ของเด็กได้แจ้งเรื่องกับทางโรงเรียนไว้แล้ว และกำชับกับลูกว่าห้ามกินนม เด็กก็ไม่กินนมตามที่แม่บอก แต่ครูไม่พอใจจึงจับเด็กแยกเดี่ยว เพราะไม่ยอมกินอาหารของโรงเรียน ซ้ำร้ายคือครูเห็นเด็กไม่ยอมกินนม ก็เอาไซริงค์พ่นนมใส่ปากเด็กเพื่อให้กินให้ได้
เหตุที่ทำให้คุณแม่รู้เรื่องก็เพราะเด็กมีอาการหวาดกลัว พฤติกรรมเปลี่ยนตอนอยู่คนเดียว มีอาการตัวสั่น เหงื่อแตก ร้องไห้ตอนกินข้าว บางวันถ่ายหนักเป็นมูกเลือด จึงพาไปพบจิตแพทย์เด็ก และพาลูกไปคาดคั้นกับทางโรงเรียน ครูจึงยอมรับสารภาพว่าทำเรื่องแบบนั้นลงไปกับเด็ก แถมผู้อำนวยการยังเข้าข้างครูว่า ครูเขา "แค่อยากให้เด็กได้ลิ้มรสชาตินมเท่านั้น" คุณพ่อ คุณแม่เด็กจึงให้เด็กลาออกจากโรงเรียนดังกล่าวทันที
อ่านข่าวต้นฉบับ: ครู รร. อนุบาล บังคับเด็กแพ้นมวัวกิน อ้างอยากให้ลิ้มรสชาติ
การที่ครูอนุบาลทำกับเด็กถึงขนาดนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับไม่ได้ ทั้งไม่มีความรู้เกี่ยวกับการแพ้อาหาร ซึ่งเป็นโรคที่เด็กสมัยนี้เป็นกันมาก ทั้งไม่มีภาวะทางอารมณ์ที่ดีพอในการดูแลเด็กเล็ก ที่สำคัญยังใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมในการลงโทษเด็กอีกด้วย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าครูไม่มีความรู้เกี่ยวอาการแพ้ดีพอ ว่าถ้าเด็กกินนมวัวเข้าไปแล้วสามารถแพ้จนกระทั่งเสียชีวิตได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการใช้อารมณ์ในการดูแลเด็ก และใช้ความเป็นครูในทางที่ไม่เหมาะสม
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผู้ปกครองเป็นจำนวนแสดงความคิดเห็นไม่พอใจอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมถามหาจรรยาบรรณของความเป็นครูของคนสมัยนี้ เพราะโลกมันเปลี่ยนไปทุกวัน ครูคงสอนหนังสืออย่างเดียวไม่ได้ แต่ครูสมัยนี้อาจต้องมีความรู้นอกจากเรื่องที่สอน (เช่น เรื่องการแพ้อาหาร) และเอาใจใส่เด็กให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย
