โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

"ด้วยความชอบเถียง ผมต้องการหาคำตอบ" อุ๋ย นที เอกวิจิตร์ จากเด็กดื้อสู่นักคิดและนักเขียน

LINE TODAY

เผยแพร่ 31 ส.ค. 2561 เวลา 08.00 น. • @mint.nisara

ถ้าพูดถึงศิลปินสายฮิปฮอป เราเชื่อว่าชื่อของ อุ๋ย บุดด้าเบลส คงขึ้นมาในอันดับต้นๆ ของลิสต์ที่หลายคนจะนึกถึง จากแนวเพลงสุดเฟี้ยวและคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน เขาคือศิลปินที่อยู่ในวงการเพลงไทยมาเป็นหลักสิบปี หลายคนจำเขาได้ในฐานะนักแสดงหรือในบทบาทของพิธีกรรายการโทรทัศน์ แต่ในวันนี้ที่อุ๋ยเดินเข้ามาในออฟฟิศของ LINE ประเทศไทย เรากำลังจะมาทำความรู้จักกับเขาภายใต้หมวกใบใหม่ อุ๋ย นที กับการเป็นนักเขียนและนักคิด ภายใต้ลุคการแต่งตัวที่เฟี้ยวฟ้าว เราได้เรียนรู้ตัวตน ความคิด จุดมุ่งหมายของผู้ชายในอีกหนึ่งมุมมอง เป็นอุ๋ยที่เฉียบแบบตรงไปตรงมา เป็นอุ๋ยในเวอร์ชั่นที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเยอะจนค้นหาตัวเองเจอและอยากมาบอกเล่าต่อ เชื่อไม่เชื่อคงต้องให้บทสัมภาษณ์นี้เป็นสิ่งพิสูจน์…พระพุทธศาสนา บทเรียนชีวิต และ อุ๋ย นที เอกวิจิตร์ นักเขียนทรงคุณภาพประจำคอลัมน์ THINK TODAY ของเรา!

ที่หันมาสนใจเรื่องพระธรรมคำสอนได้เพราะความ ‘ดื้อ’

อุ๋ยเล่าให้เราฟังว่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจอยากศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบจริงจังคือนิสัยที่ดื้อรั้นตั้งแต่เด็ก “ด้วยนิสัยที่ชอบเถียงของผม มันทำให้ผมต้องการหาคำตอบ หาข้อเท็จจริงว่าอะไรคืออะไร อย่างตอนเด็กๆ แม่พาไปวัด ต้องจุดธูป ต้องแปะทอง ผมก็สงสัยว่าการจุดธูปเนี่ยมีผลกับการขอหรือเปล่า อย่างใครมีเงินซื้อธูปได้เยอะกว่า แม่งก็ต้องประสบความสำเร็จมากกว่าสิวะ ก็เถียงกับแม่ว่ามันไม่จริงแล้วมันก่อมลพิษด้วย เวลาไปศาลเจ้าทีนึงแทบจะร้องไห้โฮเลย ผมรู้สึกว่ามันโคตรไม่ make sense เลย 

หรืออีกอย่างคือเวลาที่ขอพร ใครขอเก่งกว่าก็ต้องโชคดีกว่า สิ แล้วในต่างประเทศ ในโลกตะวันตก บริษัทใหญ่ๆ โตๆ ที่ประสบความสำเร็จ ทำไมเขาถึงไม่มีศาลพระภูมิ ไม่เห็นไปขออะไรเลย ทำไมเขาถึงเจริญก้าวหน้า เราก็เลยเริ่มหาคำตอบเนี่ยแหละ ยืมหนังสือท่านพุทธทาสของพี่บ้านข้างๆ มา ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจก็วางทิ้งไว้เลย เริ่มมาเข้าใจจริงๆ ตอนที่ได้ไปปฏิบัติธรรมหลังจากที่ไฟไหม้บ้าน ตอนนั้นไปเพื่อให้แม่สบายใจ แต่พอได้ทดลองทำ เราก็เชื่อเลยว่าประสบการณ์ตรงให้ผลมากกว่าการคิดตาม อ่าน ฟังเนี่ย มันได้ปัญญาระดับนึง แต่การทำตามเนี่ย โห มันคนละเรื่องเลย”

เรียนรู้ธรรมะผ่านบทเรียนชีวิต

เราถามอุ๋ยว่าหลังจากที่เขาเริ่มศึกษาเรื่องศาสนา เริ่มปฏิบัติธรรม เข้าฝึกอบรม เข้ามีเป้าหมายในชีวิตไหมว่าอยากจะบรรลุถึงขั้นไหน อุ๋ยบอกเราว่าการศึกษาธรรมะไม่ได้มีเป็นขั้นๆ สำหรับเขา แต่เป็นการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับบททดสอบที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากกว่า “ธรรมะ คือธรรมชาติ คือการเรียนรู้จากความทุกข์ อย่างหลายคนที่ไม่เคยเข้าวัดแต่เขารู้จักธรรมผ่านชีวิต อย่างเช่น เวลาที่ผ่านการสูญเสีย เลิกกับแฟน ธุรกิจล้มละลาย อันนั้นก็คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง อย่างที่ผมเคยเขียนใน THINK TODAY เรื่องวิกฤตในชีวิต ถ้าคนมีปัญญาจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ แค่เปลี่ยนทัศนคติ มองปัญหาในชีวิตจากอีกแง่มุมนึง คนที่ไม่มีปัญญาก็ต้องผ่านวิกฤตไปเรื่อยๆ ครั้งที่หนึ่ง สอง สาม สี่ บ่อยเข้าจนปัญญามันเกิดขึ้นเอง ซึ่งระยะเวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป็นอะไรที่ผมก็ยังเรียนรู้กับตัวเองอยู่ อย่างเรื่องบางเรื่อง เราก็บอกกับตัวเองว่าปล่อยวางสิจะได้ไม่ทุกข์ ก็กูคิดได้แต่ทำไม่ได้ไง (หัวเราะ) ต้องฝึกเจอบ่อยๆ ฝึกเจอความทุกข์จากเหตุการณ์ในชีวิต หรืออีกวิธีลัดคือการปฏิบัติธรรม ถามว่าเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิมีความสุขไหมอ่ะ ง่ายๆ เลยคือความทุกข์ทางกาย ลองนั่งท่าอะไรที่คุณคิดว่าสบายที่สุด บนเบาะที่สบายที่สุดเป็นเวลานานๆ ดูสิ แบบห้ามกระดุกกระดิกด้วยนะ ต่อให้เป็นเบาะที่โคตรสบายเลย ผมเชื่อว่าเป็นใครก็ต้องเมื่อยหมด ความทุกข์ทางกายมันจะปรากฏขึ้นมา นั่นคือการศึกษาธรรมะ”

ใช้สติเป็นที่ตั้ง ลดอีโก้ เห็นคุณค่าของความสัมพันธ์

แน่นอนว่าการปฏิบัติธรรมมีผลที่ช่วยพัฒนาเรื่องระบบการคิด การควบคุมอารมณ์และแก้ปัญหา เราเลยถามอุ๋ยว่าจากสิ่งที่เขาเรียนรู้มา นำมาปรับใช้กับการทำงานอย่างไร “ผมพยายามใช้สติเป็นที่ตั้งครับ แล้วก็พยายามจะไม่ตัดสินใจอะไรเวลาที่กำลังมีอารมณ์ ทำใจให้เย็น อารมณ์ลดลงแล้ว เราค่อยเลือกว่าจะไปทางไหน จะทำยังไง ผมว่ามีผลมาก เวลาที่เราพูดไม่ดีกับเพื่อนร่วมงานไป คำพูดมันทำร้ายความรู้สึกและมีผลในการทำงานระยะยาวเลย แล้วก็การลดอีโก้ตัวเอง เมื่อก่อนนี่ถ้าผมไม่ผิดคือผมจะไม่มีวันขอโทษเลย ถูกต้องก็คือถูกสิ ถ้าถูกแล้วต้องมายอมขอโทษมันเสียบรรทัดฐานหมด แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าถ้าชนะแล้วความสัมพันธ์มันเสียไป ไม่ว่าจะเป็นคนรักหรือเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน จะชนะไปทำไมอ่ะ บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องเอาถูกเอาผิดกันเดี๋ยวนี้แล้วมาหักหาญน้ำใจกัน ผมเริ่มมองเรื่องความสัมพันธ์เป็นที่ตั้งมากกว่าและมองอะไรที่เป็นระยะยาวมากขึ้น”

กับการเป็น “นักเขียน” แบบเต็มตัวครั้งแรก

เราคุยกับอุ๋ยเรื่องบทบาทการเป็นนักเขียนประจำเซคชั่น THINK TODAY เขาบอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เขียนงานด้วยตัวเองแบบจริงจังและเป็นอะไรที่เพิ่งค้นพบว่าเป็นตัวเองมากๆ “รู้สึกกดดันใช้ได้เลยครับ (หัวเราะ) เพราะว่าผมเคยพยายามมาหลายทีแล้วมันไม่รอด เราเป็นคนที่หัวคิดไปเร็วแต่มือมันเขียนไม่ทัน พอมันไม่สัมพันธ์กันก็เริ่มยากละ แต่โชคดีที่เดี๋ยวนี้มันมีเทคโนโลยีที่พูดออกมาเป็นคำได้เลย โทรศัพท์พิมพ์ให้เสร็จสรรพ ผมก็อาศัยวิธีนี้พูดๆๆ ไปก่อนแล้วให้คีย์บอร์ดพิมพ์เอา คำผิดค่อยมาแก้ทีหลัง เทคโนโลยีก็ช่วยผมไว้เยอะ”

อุ๋ยบอกว่าเขาไม่ชอบเขียนอะไรที่เวิ่นเว้อและทุกเรื่องที่เขียนก็คือความสนใจส่วนตัว “ผมกับแฟนเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากทั้งคู่ครับ ผมก็ปรึกษาเขานะว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี แรกๆ ผมก็ลุยเองเลย คิดอะไรได้ก็เขียนออกมา พยายามจะย้อนกลับมามองดูตัวเองว่าเราสนใจอะไร พอมีเรื่องอะไรที่นึกขึ้นมาได้ก็โน้ตไว้เป็นหัวข้อ ถึงเวลาเขียนจริงก็เอาไอเดียนี้มาขยาย ผมไม่ชอบประเภทที่ว่าถ้าไม่รู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่จับมาเขียน เพราะสุดท้ายแล้วมันจะเรียบเรียงไม่ได้ และเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านอะไรเวิ่นเว้อด้วย อะไรที่น้ำเยอะๆ ถ้าภาษามันไม่ตลก อ่านแล้วไม่ฮาจริงๆ มันก็จะเอาเราไม่อยู่ ก็จะอยากวางไป พอมาเขียนเอง บางทีก็เลยรู้สึกว่ามันสั้นแค่นี้เองหรอ เพราะจริตการเขียนของเราคือเข้าเนื้อเลย ก็เลยหาศิลปะและสไตล์การเขียนของตัวเองที่น้ำน้อยมากๆ แล้วมุ่งไปที่เนื้อเลย ยังไงก็ขอฝากบทความ THINK TODAY บน LINE TODAY ไว้ด้วยนะครับ ผมตั้งใจเขียนทุกอันมากๆ แล้วก็เป็นงานที่ผมกำลังตื่นเต้นเพราะเป็นสิ่งที่อยากทำมานานแล้ว อ่านได้บน LINE TODAY ครับ”

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0