ไอที ธุรกิจ

ราคาทองทำจุดสูงสุดใหม่ ใครกำลังไล่ซื้อ?

กรุงเทพธุรกิจ
เผยแพร่ 25 ก.พ. 2563 เวลา 21.00 น.

ณ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้อยู่ ราคาทองในตลาดโลกขยับขึ้นมาอยู่ที่ $1,662.75 ทำจุดสูงสุดในรอบ 8 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ปัจจัยที่อยู่ในหน้าข่าวที่ทุกคนรู้กัน สาเหตุหลักก็มาจากการแพร่กระจายของ COVID-19 ซึ่งเพียงแค่วันที่ 22 ก.พ. วันเดียว ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะยานขึ้นไปสูงถึง 142 ราย จากผู้ติดเชื้อรายที่ 31 ของประเทศ ที่เป็นคุณป้าที่มีอาการป่วย แต่ปฏิเสธไม่ยอมให้หมอตรวจเชื้อตรวจด้วยเหตุผลเพียงว่า เธอไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ จะไปติดไวรัสตัวนี้ได้อย่างไร ซึ่งน่าสนใจนะครับ เพราะจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ทราบว่าคุณป้าได้รับเชื้อมาจากใครด้วยวิธีการใด

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ขณะที่อิตาลีที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้ว 21 ราย อยู่ที่แคว้นลอมบาร์เดียถึง 19 ราย ส่วนอีก 2 รายอยู่ในแคว้นเวเนโต ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ รวมถึง ชายอังกฤษที่ไปร่วมงานสัมมนาที่ประเทศสิงคโปร์ เดินทางเข้าพักในประเทศสวิสเซอร์และกลับอังกฤษ แพร่เชื้อให้คนในครอบครัวและเพื่อนร่วมทริปรวม 10 คน

ซึ่งเคสทั้งหมดที่ยกมานี้ ความกังวลคือ มันเป็นการกระจายเชื้อจากคนสู่คนในวงกว้าง ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจด้วย

แต่ผมขอพากลับไปดูภาพรวมของอุปสงส์ อุปทาน ของทองคำจากรายงานของ World Gold Council Report กันก่อน เราจะได้เห็นภาพใหญ่และเข้าใจสถานการณ์ในภาพรวมเหมือนๆ กันนะครับ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ประการแรก Demand ของทองคำในปี 2019 ปรับตัวลดลงมาจากปี 2018 เล็กน้อยที่ -1% (YoY) มาที่ 4,355.7 ตัน แต่ที่น่าสนใจคือ เป็นการปรับตัวลดลงใน Q4/2019 -19% ซึ่งพอไปดู Demand รายประเทศจากรายงานของ WGC พบว่า จีนและอินเดีย คิดเป็น 80% ของ Demand ที่ลดลงใน Q4/2019 โดยสาเหตุเกิดจากราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น (ค่าเงินท้องถิ่นอ่อนค่า) และเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้คนจีนและอินเดีย ลดการถือครองทองคำ และขายทองทำกำไร เพื่อเพิ่มการถือครองเงินสด หรือ สินทรัพย์เสี่ยงต่ำในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว

แต่ที่น่าสนใจคือ  Demand จากฝั่ง Investment ใน Q4/2019 กลับเพิ่มขึ้น +9% (YoY) มาที่ 1,271.7 ตัน หลักๆ มาจาก ETFs Demand ที่พุ่งสูงขึ้นถึง +426% (YoY) 401.1 ตัน ทั้งๆ ที่ Q4/2018 อยู่แค่เพียง 76.2 ตันเท่านั้น สะท้อนว่า นักลงทุนสะสมทองคำเข้าพอร์ตในรูปแบบของกองทุน ETFs มากขึ้นผิดปกติ

ซึ่งพอไปดูว่า ETFs Demand มาจากนักลงทุนชาติใดก็พบว่า มาจากอเมริกาและยุโรปในสัดส่วนเกินกวาครึ่งมาตั้งแต่เดือน มิ.ย.2019 จนถึงสิ้นปีเลยทีเดียว พอย้อนกลับไปดูสถานการณ์ตอนนั้น ก็พอเข้าใจได้ เพราะอยู่ในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้งติดต่อกัน ขณะที่ประเด็น BREXIT ก็อยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนนำมาสู่การแยกตัวกับสหภาพยุโรปเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยจากที่ผมได้ดูรายงานปริมาณการถือครองทองคำผ่าน ETFs เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า เหล่ากองทุน ETFs ถือครองทองคำแท่งกันแตะระดับสูงสุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่ราคาทองยังห่างจากจุดสูงสุดเดิมอยู่ไม่น้อย นี่ก็สนับสนุนเหตุว่า นักลงทุนเริ่มลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ และหันกลับมาให้ความสนใจในการถือทองคำเพิ่มขึ้นมาแล้วเป็นปีๆ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

Demand การถือทองคำจากเหล่าธนาคารกลางในปี 2019 ที่ผ่านมาลดลงจากปี 2018 นิดหน่อยที่ -1% (YoY) มาที่ 650.3 ตัน แต่ที่ลดเยอะจริงๆ มาลดเยอะเอาตอน Q4/2019 ที่ลดลงไปถึง -34% (YoY) ทีเดียว โดยเป็นการชะลอการซื้อจากผู้เล่นหลักของวงการอย่างจีน โดยสาเหตุมาจากการที่จีนพยายามสร้างบรรยากาศการเจรจาการค้าให้ดีขึ้นด้วยการกลับมาซื้อดอลล่าร์เข้าเป็นทุนสำรองบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น ธนาคารกลางทั่วโลกก็ซื้อสุทธิทองคำเข้าเป็นเงินทุนสำรองมา 10 ปีติดต่อกันแล้ว เป็นผู้ค้ำยัน และได้ประโยชน์จากราคาทองดีดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอย่างแท้จริง

Demand อีกฝั่งที่ถึงจะมีผลต่อราคาทองน้อยหน่อย แต่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้ คือ Demand จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งปีที่แล้วซบเซา คงต้องไปหวังแรงหนุนจากกลุ่ม 5G ทั้ง Semiconductor และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ก็หวังไม่ง่ายแล้วจากเหตุการระบาดของ COVID-19 ในตอนนี้ โดย Demand ทั้งปี 2019 ลดลงจากปี 2018 ไป -2% (YoY)

โดยสรุป จากรายงาน พบว่า Demand ของทองคำแท่ง (Physical) จะมาจากเอเชียอย่างอินเดียและจีนเป็นหลัก (ขึ้นตรงกับสภาพทางเศรษฐกิจ) ซึ่ง ณ ปัจจัย บอกเลยว่า Demand ลดลงแน่นอน ส่วน Demand จากฝั่ง ETFs มาจากอเมริกา และยุโรป (ขึ้นตรงกับความเสี่ยงการเงินและการเมือง) และดูเหมือนจะมีแรงจูงใจให้นักลงทุนอเมริกาและยุโรป สนใจถือทองคำเพิ่มในพอร์ตมากขึ้นแทนถือหุ้น เพราะดัชนีหุ้นสหรัฐ และยุโรป ก็เดินหน้ามาซักพัก อยากจะเก็บกำไรเข้าพอร์ตบ้างก็คงไม่น่าแปลกใจอะไร

ระหว่างแรงขายจากเอเชีย กับแรงซื้อจากอเมริกาและยุโรป คุณว่าใครจะชนะ

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 3
  • ธนาคาร เจ้าสัว นักการเมือง เจ้าของกิจการใหญ่ๆเช่นห้าง เจ้าของโรงแรม เจ้าของคอนโด จุดสูงสุดของการได้กำไร ไม่ใช่เพื่อเก็บสะสมแบ้งค์กระดาษอีกต่อไป จะถูกเปลี่ยนเป็นทองที่มีจำกัดแทน เมื่อไรจีนพร้อม รัฐเซียพร้อม จะออกมาประกาศ เราเก็บตัวเลข กับเก็บกระดาษมามากพอแล้ว เราไม่สนว่าจะพิมพ์ออกมาให้เราเก็บเท่าไร ตอนนี้เราไม่เอาแล้ว ต่อไปนี้ทำการค้าระหว่างประเทศ จะให้ใช้ทองแบบจับได้ เพื่อแลกเปลี่ยนเท่านั้น
    26 ก.พ. 2563 เวลา 03.37 น.
  • กำไร 1000 % ก็ไม่สำคัญเท่าจ่ายปันผล กี่เปอร์เซ็นต์ ครับ 😊 สุดยอดหุ้นเด่น เหนือกว่า นักวิเคราะห์บอกคุณ จาก โคตรเซียน หุ้น PAP ซื้อวันนี้ รับปันผลทันทีเกิน 10% ( 12.2% ) เพราะถ้าหุ้นราคา 2.7 บาท ปันผล 10 % ก็จะปันผล .27 สตางค์ แต่ตอนนี้หุ้นราคาแค่ 2.28 ปันผล 10% คือ .228 สตางค์ แต่ได้ปันผล .27 สตางค์ครับ ปีหน้ากำไรดีกว่านี้อีก เพราะราคาเหล็กในสต๊อกกำไรจากค่าเงินบาทอ่อนครับ ( ต้องซื้อก่อน วันที่ 4 มีนาคม ( XD วันที่ 5 ) จ่ายปันผลวันที่ 15 พฤษภาคม ครับ 5555. 😂 😇
    26 ก.พ. 2563 เวลา 19.32 น.
  • X-Man
    หมาหน้าเงิน ไล่ซื้อ
    26 ก.พ. 2563 เวลา 18.23 น.
ดูทั้งหมด