ณ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้อยู่ ราคาทองในตลาดโลกขยับขึ้นมาอยู่ที่ $1,662.75 ทำจุดสูงสุดในรอบ 8 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปัจจัยที่อยู่ในหน้าข่าวที่ทุกคนรู้กัน สาเหตุหลักก็มาจากการแพร่กระจายของ COVID-19 ซึ่งเพียงแค่วันที่ 22 ก.พ. วันเดียว ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะยานขึ้นไปสูงถึง 142 ราย จากผู้ติดเชื้อรายที่ 31 ของประเทศ ที่เป็นคุณป้าที่มีอาการป่วย แต่ปฏิเสธไม่ยอมให้หมอตรวจเชื้อตรวจด้วยเหตุผลเพียงว่า เธอไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ จะไปติดไวรัสตัวนี้ได้อย่างไร ซึ่งน่าสนใจนะครับ เพราะจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ทราบว่าคุณป้าได้รับเชื้อมาจากใครด้วยวิธีการใด
ขณะที่อิตาลีที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้ว 21 ราย อยู่ที่แคว้นลอมบาร์เดียถึง 19 ราย ส่วนอีก 2 รายอยู่ในแคว้นเวเนโต ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ รวมถึง ชายอังกฤษที่ไปร่วมงานสัมมนาที่ประเทศสิงคโปร์ เดินทางเข้าพักในประเทศสวิสเซอร์และกลับอังกฤษ แพร่เชื้อให้คนในครอบครัวและเพื่อนร่วมทริปรวม 10 คน
ซึ่งเคสทั้งหมดที่ยกมานี้ ความกังวลคือ มันเป็นการกระจายเชื้อจากคนสู่คนในวงกว้าง ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจด้วย
แต่ผมขอพากลับไปดูภาพรวมของอุปสงส์ อุปทาน ของทองคำจากรายงานของ World Gold Council Report กันก่อน เราจะได้เห็นภาพใหญ่และเข้าใจสถานการณ์ในภาพรวมเหมือนๆ กันนะครับ
ประการแรก Demand ของทองคำในปี 2019 ปรับตัวลดลงมาจากปี 2018 เล็กน้อยที่ -1% (YoY) มาที่ 4,355.7 ตัน แต่ที่น่าสนใจคือ เป็นการปรับตัวลดลงใน Q4/2019 -19% ซึ่งพอไปดู Demand รายประเทศจากรายงานของ WGC พบว่า จีนและอินเดีย คิดเป็น 80% ของ Demand ที่ลดลงใน Q4/2019 โดยสาเหตุเกิดจากราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น (ค่าเงินท้องถิ่นอ่อนค่า) และเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้คนจีนและอินเดีย ลดการถือครองทองคำ และขายทองทำกำไร เพื่อเพิ่มการถือครองเงินสด หรือ สินทรัพย์เสี่ยงต่ำในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว
แต่ที่น่าสนใจคือ Demand จากฝั่ง Investment ใน Q4/2019 กลับเพิ่มขึ้น +9% (YoY) มาที่ 1,271.7 ตัน หลักๆ มาจาก ETFs Demand ที่พุ่งสูงขึ้นถึง +426% (YoY) 401.1 ตัน ทั้งๆ ที่ Q4/2018 อยู่แค่เพียง 76.2 ตันเท่านั้น สะท้อนว่า นักลงทุนสะสมทองคำเข้าพอร์ตในรูปแบบของกองทุน ETFs มากขึ้นผิดปกติ
ซึ่งพอไปดูว่า ETFs Demand มาจากนักลงทุนชาติใดก็พบว่า มาจากอเมริกาและยุโรปในสัดส่วนเกินกวาครึ่งมาตั้งแต่เดือน มิ.ย.2019 จนถึงสิ้นปีเลยทีเดียว พอย้อนกลับไปดูสถานการณ์ตอนนั้น ก็พอเข้าใจได้ เพราะอยู่ในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้งติดต่อกัน ขณะที่ประเด็น BREXIT ก็อยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนนำมาสู่การแยกตัวกับสหภาพยุโรปเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยจากที่ผมได้ดูรายงานปริมาณการถือครองทองคำผ่าน ETFs เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า เหล่ากองทุน ETFs ถือครองทองคำแท่งกันแตะระดับสูงสุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่ราคาทองยังห่างจากจุดสูงสุดเดิมอยู่ไม่น้อย นี่ก็สนับสนุนเหตุว่า นักลงทุนเริ่มลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ และหันกลับมาให้ความสนใจในการถือทองคำเพิ่มขึ้นมาแล้วเป็นปีๆ
Demand การถือทองคำจากเหล่าธนาคารกลางในปี 2019 ที่ผ่านมาลดลงจากปี 2018 นิดหน่อยที่ -1% (YoY) มาที่ 650.3 ตัน แต่ที่ลดเยอะจริงๆ มาลดเยอะเอาตอน Q4/2019 ที่ลดลงไปถึง -34% (YoY) ทีเดียว โดยเป็นการชะลอการซื้อจากผู้เล่นหลักของวงการอย่างจีน โดยสาเหตุมาจากการที่จีนพยายามสร้างบรรยากาศการเจรจาการค้าให้ดีขึ้นด้วยการกลับมาซื้อดอลล่าร์เข้าเป็นทุนสำรองบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น ธนาคารกลางทั่วโลกก็ซื้อสุทธิทองคำเข้าเป็นเงินทุนสำรองมา 10 ปีติดต่อกันแล้ว เป็นผู้ค้ำยัน และได้ประโยชน์จากราคาทองดีดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอย่างแท้จริง
Demand อีกฝั่งที่ถึงจะมีผลต่อราคาทองน้อยหน่อย แต่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้ คือ Demand จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งปีที่แล้วซบเซา คงต้องไปหวังแรงหนุนจากกลุ่ม 5G ทั้ง Semiconductor และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ก็หวังไม่ง่ายแล้วจากเหตุการระบาดของ COVID-19 ในตอนนี้ โดย Demand ทั้งปี 2019 ลดลงจากปี 2018 ไป -2% (YoY)
โดยสรุป จากรายงาน พบว่า Demand ของทองคำแท่ง (Physical) จะมาจากเอเชียอย่างอินเดียและจีนเป็นหลัก (ขึ้นตรงกับสภาพทางเศรษฐกิจ) ซึ่ง ณ ปัจจัย บอกเลยว่า Demand ลดลงแน่นอน ส่วน Demand จากฝั่ง ETFs มาจากอเมริกา และยุโรป (ขึ้นตรงกับความเสี่ยงการเงินและการเมือง) และดูเหมือนจะมีแรงจูงใจให้นักลงทุนอเมริกาและยุโรป สนใจถือทองคำเพิ่มในพอร์ตมากขึ้นแทนถือหุ้น เพราะดัชนีหุ้นสหรัฐ และยุโรป ก็เดินหน้ามาซักพัก อยากจะเก็บกำไรเข้าพอร์ตบ้างก็คงไม่น่าแปลกใจอะไร
ระหว่างแรงขายจากเอเชีย กับแรงซื้อจากอเมริกาและยุโรป คุณว่าใครจะชนะ
ธนาคาร
เจ้าสัว
นักการเมือง
เจ้าของกิจการใหญ่ๆเช่นห้าง
เจ้าของโรงแรม
เจ้าของคอนโด
จุดสูงสุดของการได้กำไร
ไม่ใช่เพื่อเก็บสะสมแบ้งค์กระดาษอีกต่อไป
จะถูกเปลี่ยนเป็นทองที่มีจำกัดแทน
เมื่อไรจีนพร้อม รัฐเซียพร้อม จะออกมาประกาศ
เราเก็บตัวเลข กับเก็บกระดาษมามากพอแล้ว
เราไม่สนว่าจะพิมพ์ออกมาให้เราเก็บเท่าไร
ตอนนี้เราไม่เอาแล้ว
ต่อไปนี้ทำการค้าระหว่างประเทศ
จะให้ใช้ทองแบบจับได้ เพื่อแลกเปลี่ยนเท่านั้น
26 ก.พ. 2563 เวลา 03.37 น.
⠀ กำไร 1000 % ก็ไม่สำคัญเท่าจ่ายปันผล
กี่เปอร์เซ็นต์ ครับ 😊
สุดยอดหุ้นเด่น เหนือกว่า นักวิเคราะห์บอกคุณ จาก โคตรเซียน
หุ้น PAP ซื้อวันนี้ รับปันผลทันทีเกิน 10%
( 12.2% ) เพราะถ้าหุ้นราคา 2.7 บาท ปันผล 10 % ก็จะปันผล .27 สตางค์ แต่ตอนนี้หุ้นราคาแค่ 2.28 ปันผล 10% คือ .228 สตางค์
แต่ได้ปันผล .27 สตางค์ครับ
ปีหน้ากำไรดีกว่านี้อีก เพราะราคาเหล็กในสต๊อกกำไรจากค่าเงินบาทอ่อนครับ
( ต้องซื้อก่อน วันที่ 4 มีนาคม ( XD วันที่ 5 )
จ่ายปันผลวันที่ 15 พฤษภาคม ครับ
5555. 😂 😇
26 ก.พ. 2563 เวลา 19.32 น.
X-Man หมาหน้าเงิน ไล่ซื้อ
26 ก.พ. 2563 เวลา 18.23 น.
ดูทั้งหมด