ไลฟ์สไตล์

ถึงคราวต้องเติบโต แต่ดันไม่อยากเป็นหัวหน้า ทำยังไงเมื่อการเลื่อนตำแหน่งไม่ใช่คำตอบที่ตรงใจเรา

The MATTER
อัพเดต 06 มี.ค. เวลา 11.03 น. • เผยแพร่ 06 มี.ค. เวลา 11.00 น. • Lifestyle

ยินดีด้วยนะ ที่ (ไม่) ได้เลื่อนตำแหน่ง

พอทำงานมาได้สักระยะ จากเด็กจบใหม่คนนั้น กลายมาเป็นรุ่นพี่มากประสบการณ์ ก้าวต่อไปคงหนีไม่พ้นการเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า สำหรับคนที่หวังจะเติบโตในสายงานคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สำหรับเราที่ยังสนุกกับเนื้องานเดิม พอถึงเวลาที่ต้องเติบโตขึ้นก็อดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นทางเหมาะกับเราแล้วจริงๆ ไหมนะ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ที่ต้องคิดหนักก็เพราะการเลื่อนขั้นไม่ใช่ตำแหน่งหรือเงินที่มากขึ้นอย่างเดียว สิ่งที่ตามมายังเป็นหน้างานเปลี่ยนไป แถมพ่วงด้วยความรับผิดชอบอันหนักอึ้งไปด้วย ดังนั้น การไม่เลื่อนตำแหน่งในเวลานี้ก็เลยดูเป็นทางที่ตรงใจเรามากกว่า

ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การเลื่อนตำแหน่งอาจเป็นสิ่งที่ใครๆ ต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นการไม่เลื่อนตำแหน่งก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้ต้องการเติบโต เพราะเป้าหมายของแต่ละคนต่างกันไป บางคนอาจมองว่าการเติบโตหมายถึงการได้ขึ้นเป็นหัวหน้า ขณะที่บางคนอาจคิดว่างานตำแหน่งเดิมก็เหมาะกับตัวเองก็ได้

ถึงทางแยกของทางเลือก ถ้าเราตัดสินใจไม่เลื่อนตำแหน่งหมายถึงเราเป็นคนเฉื่อยชาหรือเปล่า แล้วจะมีทางไหนให้เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในตำแหน่งเดิมได้บ้างนะ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เหตุผลที่คนไม่อยากเลื่อนตำแหน่ง

บางทีเหตุผลของการไม่เลื่อนตำแหน่งอาจไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนไม่จริงจังกับการทำงานเสมอไป ตามรายงานของ Robert Walters บริษัทจัดหางานระดับโลก ระบุว่าเกินกว่าครึ่ง หรือ 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามเจน Z ไม่อยากเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการ แต่ขอเลือกการเติบโตผู้เชี่ยวชาญแบบเดี่ยว ที่เน้นการพัฒนาทักษะตัวเองมากกว่า

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

พอมาดูเหตุผลก็พบว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก โดยพบว่า 69% บอกว่าตำแหน่งหัวหน้ามีความเครียดสูงแต่ผลตอบแทนน้อย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอำนาจการตัดสินใจที่มีจำกัด และการไม่มีเวลาให้ตัวเอง ซึ่งก็ตรงกับการสำรวจของผู้จัดการระดับกลาง ที่พบว่าตัวเองรู้สึกเหนื่อย เครียด และหมดไฟกับการทำงาน เหตุผลนี้ก็บ่งบอกความเป็นชาวเจน Z ได้อย่างดี ว่าพวกเขามีแนวคิดแบบผู้ประกอบการ และต้องการใส่ตัวตนเข้าไปในงาน มากกว่าทำงานบริหารคนอื่น

กลับมาดูภาพใหญ่ การไม่อยากเลื่อนขึ้นเป็นผู้จัดการส่วนหนึ่งก็มาจากรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปด้วย เมื่อก่อนเราอาจเคยได้ยินว่าถ้าอยากเติบโตต้องไต่เต้าขึ้นไป จากสตาฟ ขึ้นไปเป็นผู้จัดการ หรือผู้บริหาร แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น ทั้งการทำงานทางไกล (remote) หรือทำงานจากที่บ้าน (work from home) คนทำงานรุ่นใหม่จึงให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นมากกว่า

ไม่ใช่เพียงแค่ความยืดหยุ่น แต่สิ่งที่คนทำงานปัจจุบันให้ความสำคัญ ยังเป็นเรื่องของความหมายจากการทำงานด้วย จากผลสำรวจของ Gartner ปี 2021 พบว่า 65% กำลังทบทวนบทบาทของงานในชีวิต และ 56% ต้องการมีส่วนร่วมกับสังคมมากขึ้น ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าทุกวันนี้คนส่วนใหญ่กำลังตั้งคำถามถึงคุณค่าของงานตัวเอง และต้องการแบ่งเวลาไปใช้ชีวิตส่วนตัว มากกว่าการทุ่มเททำงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง

แพททริเซีย ทอมป์สัน (Patricia Thompson) ที่ปรึกษาด้านองค์กร เคยเขียนบทความใน Harvard Business Review บอกอีกว่า การเลื่อนตำแหน่งอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป โดยเฉพาะคนที่ชอบทำงานแบบอิสระ อาจไม่มีความสุขเท่าไหร่ ถ้าต้องเลื่อนตำแหน่งแล้วได้ทำงานที่มีขอบเขตจำกัด เช่น คนที่ชอบทำงานติดต่อกับผู้คน หรือชอบทำโปรเจ็กต์ใหม่ๆ น่าตื่นเต้น พอต้องเลื่อนเป็นหัวหน้า งานเหล่านั้นก็อาจน้อยลง และหันมาดูงานเอกสารที่ไม่น่าสนุก หรือคอยให้คำปรึกษาเพื่อให้ภาพรวมราบรื่นแทน

สุดท้ายด้วยความไม่ตอบโจทย์ทั้งรูปแบบการทำงานและคุณค่าที่ได้รับจากตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น การเลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการจึงไม่ได้ดึงดูดใจคนทำงานเหมือนเมื่อก่อน นอกจากภาระงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังต้องเจอกับความคาดหวังว่าต้อง ‘พร้อมตลอดเวลา’ สำหรับทีมอีก แถมอีกด้านหนึ่งก็ยังมีงานของตัวเองที่ต้องให้สำเร็จด้วย จึงไม่แปลกที่หลายคนไม่อยากถูกโปรโมตให้เป็นหัวหน้า

แล้วมีทางไหนสำหรับคนที่อยากเติบโต แต่ไม่อยากเป็นหัวหน้าบ้างไหมนะ? อันที่จริงแม้ไม่ได้ได้เลื่อนขั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายทางให้เราพัฒนาทักษะของตัวเองได้ เพราะทุกวันนี้หน้าตาความสำเร็จไม่ใช่แค่การได้ขึ้นเป็นหัวหน้าอย่างเดียว แต่ยังอาจมาในรูปแบบอื่นๆ เช่น เชี่ยวชาญในงานของตัวเองโดยเฉพาะ หรือได้ทำงานในโปรเจ็กต์ที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ควรถูกนับรวมว่าเป็นความก้าวหน้าด้วยเหมือนกัน

Neobrain บริษัทพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคล บอกว่าโอกาสในอาชีพไม่ควรถูกมองแค่การเลื่อนตำแหน่งเท่านั้น แต่ควรให้คุณค่ากับการเติบโตในแนวราบ (lateral moves) ด้วย ดังนั้นถ้าตัดสินใจแล้วว่าการเป็นหัวหน้าไม่เหมาะกับตัวเอง และเราก็ยังสนุกกับงานที่นี่อยู่ ก็ยังมีหนทางเติบโตด้วยวิธีอื่นๆ เช่น

การเข้าโปรแกรมพัฒนาทักษะ: หลายคนอาจไม่ได้ให้คุณค่ากับการเติบโตเพียงแค่การเลื่อนตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ด้วย ดังนั้นหากบริษัทมีโปรแกรมพัฒนาทักษะ เราก็อาจลองหาทางเข้าร่วม หรือลองหาโปรแกรมที่ตัวเองสนใจแล้วเข้าเรียนรู้ บางทีอาจทำให้เรามีโอกาสได้เจอโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจข้ามสายงานก็ได้นะ

ลองทำโปรเจ็กต์ข้ามสายงาน: วิธีนี้ก็เป็นการได้เรียนรู้ภาพใหญ่ได้ดีเช่นกัน เพราะเราจะได้เข้าใจการทำงานขององค์กรโดยรวม ได้เข้าใจคนอื่นจากจากประสบการณ์จริง นอกจากนี้ยังอาจทำให้เราเจอเส้นทางของตัวเองแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อนด้วย

เสนอย้ายแผนก: หากทำงานมาสักระยะจนเริ่มรู้สึกว่าเลเวลตัน ตำแหน่งเดิมไม่มีอะไรให้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้ว เหลือแค่ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าทีมเท่านั้น บางทีจังหวะนี้อาจลองเสนอเปลี่ยนบทบาทตัวเอง ขอทำงานในแผนกหรือตำแหน่งอื่นที่ตัวเองสนใจ หรือท้าทายมากขึ้น เพื่อเรียนรู้งานใหม่ๆ ไม่แน่ว่าความรู้เดิมของตัวเองอาจมีประโยชน์ในการต่อยอดบทบาทใหม่นี้ก็ได้

แต่นอกจากวิธีที่ว่ามา การที่เราเลือกทำงานตำแหน่งเดิมก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร งานที่เราทำอยู่อาจเป็นงานที่เหมาะกับชีวิตเราเวลานี้ที่สุดก็ได้ เพราะมีเวลาเหลือไปทำสิ่งที่ตัวเองรัก หรือเป็นงานที่มีความเครียดแบบพอดีๆ ทำให้เรามีความสุขกับการไปทำงานทุกวัน และถึงแม้วันข้างหน้าเราเปลี่ยนใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายสักหน่อยนี่นา

สุดท้ายการไม่เลื่อนตำแหน่งก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะทุกวันนี้หน้าตาของความสำเร็จไม่ได้มีแค่แบบเดียว และเราก็สามารถกำหนดมันได้ด้วยตัวเอง

อ้างอิงจาก

robertwalters.co.uk

hbr.org

associationsnow.com

en.neobrain.io

Graphic Designer: Phitsacha Thanawanichnam
Editorial Staff: Runchana Siripraphasuk

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 1
  • kwang
    ความสุขในการทำงานสำคัญที่สุด การเดินเส้นทางเดิมๆแต่เต็มไปด้วยศักยภาพย่อมแสดงให้องค์กรยอมรับได้ในที่สุด
    07 มี.ค. เวลา 04.41 น.
ดูทั้งหมด