ไอที ธุรกิจ

KBSPIF ชูคุณภาพสินทรัพย์กองทุน ประกาศจ่ายปันผลงวดไตรมาส 1/2564 ในอัตรา 0.396 บาทต่อหน่วย

Wealthy Thai
อัพเดต 08 ส.ค. 2566 เวลา 14.11 น. • เผยแพร่ 19 พ.ค. 2564 เวลา 11.14 น.

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIFโชว์ศักยภาพการดำเนินงานของสินทรัพย์ที่มั่นคง ตอกย้ำกระแสเงินสดดีอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนสามารถจ่ายปันผลจากกระแสเงินสดรับสุทธิรอบปีตั้งแต่ 1 เม.ย 63 - 31 มี.ค. 64(12 เดือนแรก) ได้ 8.95%ซึ่งเป็นไปตามประมาณการที่แจ้งในหนังสือชี้ชวน หลังประกาศเตรียมจ่ายเงินปันผลงวดการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ในอัตรา 0.396 บาทต่อหน่วย มั่นใจว่าจะสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้แก่ผู้ถือหน่วยได้อย่างต่อเนื่อง
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุน KBSPIF เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี หรือ KBSPIF(“กองทุน”) มีความสามารถการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาจากคุณภาพทรัพย์สินโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่กองทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด หรือ KPPโดยมีคู่สัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 22 เมกะวัตต์ และ บมจ.น้ำตาลครบุรี อีก 3.5 เมกะวัตต์ รวมการผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งสิ้น เป็นจำนวน 25.5 เมกะวัตต์ ทำให้มีความมั่นคงด้านกระแสเงินสดที่ดี

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

(นางชวินดา หาญรัตนกูล)

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการลงทุนของบริษัทจัดการฯ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผล จากผลการดำเนินงานของกองทุนฯไตรมาส 1/2564 (มกราคม-มีนาคม 2564) ให้แก่ผู้ถือหน่วยในอัตรา 0.396 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินประมาณ 110.88 ล้านบาท พร้อมกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 16มิถุนายน 2564
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่กองทุน KBSPIF ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ กองทุนได้มีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยไปแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้ คิดรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 0.499 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราการปันส่วนแบ่งผลตอบแทนตามกระแสเงินสดรับสุทธิในรอบ 12 เดือนแรก (1 เมษายน 2563 - 31 มีนาคม 2564)อยู่ที่ 8.95%ซึ่งเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้ในหนังสือชี้ชวน
“กองทุน KBSPIF มีการดำเนินงานที่มั่นคงของกระแสเงินสดที่เกิดจากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามเป้าหมายที่เราได้เคยประมาณการกระแสเงินสดรับสุทธิไว้ภายใน 12 เดือนแรก โดยมีผลตอบแทนรวม อยู่ที่ 8.95%ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานกองทุน KBSPIF ต่อจากนี้ เชื่อมั่นว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากการสร้างกระแสเงินสดรับจากการแบ่งรายได้จากสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาว อีกทั้งกองทุน KBSPIFไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโรงไฟฟ้า รวมถึงการปิดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบผลิตกระแสไฟฟ้า จึงมั่นใจว่าการดำเนินงานจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้” นางชวินดา กล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ