“เบิ้ล ปทุมราช” แจงปมเปิดบิล ดิไอคอน ยันเป็นหนึ่งในผู้เปิดบิล รับรู้จัก “บอสพอล”
อีกหนึ่งนักร้อง นักแสดงที่เป็นผู้เสียหายจากคดี ดิไอคอน กรุ๊ป สำหรับ “เบิ้ล ปทุมราช” ที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวได้ออกมาชี้แจงว่ามีการลงทุนเปิดบิลขายของ และเรียนออนไลน์ แต่ด้วยเวลาที่กระผมยังมีหน้าที่ในการทำงานธุรกิจของตนเอง จึงไม่ได้มีโอกาสขายของต่อ
ล่าสุดเจ้าตัวได้มีโอกาสเปิดใจถึงเรื่องนี้โดยได้เผยว่า…เบิ้ลรู้จักเจ้าของจริงครับ ผมเคยไปร่วมงานในช่วงที่ผมมีโอกาสเปิดบิล จริงๆ ผมเป็นกลางนะ เป็นกลางในที่นี้หมายถึงไม่ได้เข้าข้างทั้งผู้ใหญ่หรือทุกคนที่กำลังมีข่าวมากๆ จริงๆ เบิ้ลก็เป็นคนที่ว่าโพสต์อะไรลงไปแล้วมันอันตรายมากๆ ด้วยความที่ภาษาในการพิมพ์ เราไม่ได้เรียนกฎหมาย ไม่ได้เรียนความถูกต้องของภาษาเขียน เพราะฉะนั้นผมเลยบอกผู้ใหญ่ว่าไม่เป็นไรครับ ผมสามารถให้คำปรึกษาต่อเจ้าหน้าที่ได้ และสามารถพูดความจริงทุกอย่างได้
เรามีการลงบันทึกประจำวันไหม? “ไม่ได้ลงเลย ผมรู้สึกว่าไม่ต้องการคืน และไม่อยากสร้างกระแส หรือไปปั่นอะไรตรงนั้น”
ย้อนกลับไปตรงนั้นถูกชักชวนได้ยังไง? “มันเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ขออนุญาตไม่เอ่ยดีกว่า แต่จริงๆ พี่เขาก็มีความหวังดี ถ้ามันขายได้ มันได้กำไร ถ้ามันดี เราก็รู้สึกว่ามันอาจจะไม่มีข่าวแบบนี้ เพราะเราก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง”
ตกใจไหม? “ตกใจครับ เพราะพรรคพวก พี่ๆ ทุกคนก็เป็นคนที่ผมรู้จักมา เพราะโดยส่วนตัวพี่ๆ ทุกคนนิสัยดี”
ยืนยันไหมว่าเปิดบิลไปแล้วไม่ได้ขายอะไรต่อ? “จริงๆ ของพี่ๆ เขาดีมากๆ อร่อยด้วย แต่ว่าไม่ได้ขาย ปัจจุบันเอาเก็บไว้ที่บ้าน”
ตอนนั้นเปิดบิล 250,000 บาท? “ใช่ครับ ราคาปกติ”
ทำไมเรารู้สึกว่าไม่อยากได้ความยุติธรรมคืน?“ค่าเสียหายตอนนี้ผมรู้สึกว่า มีคนที่ลำบากกว่าผมที่อยากได้ตรงนั้นเยอะมาก เรายังสามารถไปหาจากคอนเสิร์ตจากงานต่างๆ ได้ แต่ถ้าเราอยากจะไปฟ้องร้องไปโพสต์อะไรต่อ ดำเนินคดีนู่นนี่นั่น ผมว่ามันเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนมากกว่า ให้มันมีข่าวปั่นเราเกิดขึ้นอีกรอบ”
ที่มีการแฉของเพจๆ นึง?
“ผมก็ปรึกษาทุกคนปรึกษาพี่ๆ น้องๆ ที่เป็นทนาย หรือว่าตำรวจก็ปรึกษา เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกเบิ้ลเงียบๆ ไว้ดีกว่า บางทีภาษาพิมพ์เราอาจจะไม่ได้ถูกต้องทุกอย่าง บางทีอาจจะมีคอมเมนต์ที่มากระแทกผมอยู่แล้ว ที่เรียกว่าการสาปแช่งทางอ้อมอาจจะมาคอมเมนต์ เดี๋ยวก็โดนแน่ๆมันก็เลยกลายเป็นว่ายิ่งเราไปเป็นข่าว ทำให้เราไปอ่านคอมเมนต์ที่มันกระทบจิตใจ ผมว่าเราเงียบๆ ดีกว่า ถ้าวันหนึ่งมันถูกดำเนินคดีในทางที่มันผิดจริงๆ เราพร้อมอยู่แล้ว แต่เราไม่มีอะไรตรงนั้น”
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้?
“ถ้ามองในโลกของความยุติธรรมของคนทั่วไปกับคนที่เขาลงทุนเขาก็อยากร่ำอยากรวย ส่วนผู้บริหารที่เขาทำตรงนั้นมา เขาก็หวังว่าเขาต้องทำให้ธุรกิจมันเติบโตอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมว่าเราต้องวิเคราะห์มากขึ้นทั้งผู้ทำธุรกิจและผู้ที่ลงทุน จริงๆ ผมน่ะเป็นกลางนะในฐานะที่เราก็เป็นนักธุรกิจ ผมก็ทำหนัง ทำอะไรต่างๆ ผมก็มองว่าใจเขาใจเรา แต่สุดท้ายอยู่ที่ความถูกต้องวิเคราะห์และมีสมาธิในการลงทุน เงินแต่ละบาท เพราะยุคสมัยนี้เงินมันหายากมากๆ”