กระทรวงสาธารณสุขจ่อประกาศ “ไวรัสโควิด-19” เป็นโรคติดต่ออันตรายในลำดับที่ 14 ของไทยและเตรียมจัดมาตรการเข้มรับมือเต็มรูปแบบ หากมีการแพร่ระบาดจากระยะที่ 2 ไประยะที่ 3 ในอีก 2 เดือนข้างหน้า พร้อมมีกฎหมายมารองรับ ด้านนายกฯสั่งรับมือโควิด-19 ระยะ 3 แจงต้องแก้ปัญหาในภาพรวม วอนประชาชนอย่าตื่นตระหนกและวางแผนตั้งรับการระบาดในไทย ส่วนยอดตายจากไวรัสโควิด-19 ในจีน พุ่งไปกว่า 2 พันคน ติดเชื้อเกือบ 75,000 คน คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน ระบุเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่ระบาดผ่านละอองของเหลว เผยผลวิจัยเตือนคนเข้าห้องน้ำกดชักโครกให้ปิดฝาโถส้วม ป้องกันเชื้อโรคกระจายลอยในอากาศ
ไทยยังเฝ้าระวัง “ไวรัสโควิด-19” อย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดกระจายในไทย ทั้งนี้ ที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อ 20 ก.พ. มีการแถลงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดย นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ไทยยังมีผู้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 18 รายเท่าเดิม ส่วนใหญ่อาการปกติแล้ว อีก 2 รายที่สถาบันบำราศนราดูร อาการทรงตัว มีแพทย์ดูแลใกล้ชิด สำหรับยาต้านไวรัสโควิด-19 ที่ค้นพบในจีน ไทยมีคณะทำงานวิชาการคอยติดตามอย่างตลอด ถึงขณะนี้ไทยลดการป่วยและลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้ ไม่เหมือนประเทศอื่นๆที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า มาตรการที่ด่านควบคุมโรคติดต่อ ทั้งสนามบิน ท่าเรือ ได้คุมเข้มต่อเนื่อง ทำให้การตรวจคัดกรองมีประสิทธิภาพ ไทยไม่มีนโยบายกักกันผู้โดยสารที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ทั้งทางเครื่องบิน ทางเรือสำราญและไทยรักษาผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ได้ผลที่ดีมาก สามารถส่งผู้ป่วยกลับบ้านไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว
นพ.โสภณกล่าวด้วยว่า สำหรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการด้านวิชาการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ระหว่างการร่างประกาศเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่จะประชุมวันที่ 24 ก.พ. และมีความเป็นไปได้สูงที่คณะกรรมการ 30 รายจะพิจารณาเห็นชอบและมีการลงนามประกาศเป็นโรคติดต่ออันตรายลำดับที่ 14 ของไทย หลังมีการประกาศไปแล้ว 13 โรค เมื่อมีการประกาศเป็นโรคติดต่อฉุกเฉินแล้ว ทำให้การบริหารจัดการโรคนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งไทยปฏิบัติการรับมือเสมือนในสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งระบบแล้ว สำหรับ ฟาวิลาเวียร์ เป็นยาต้านไวรัส ที่เป็นการใช้ยาสำหรับโรคหนึ่งมาใช้เพื่อรักษาอีกโรคใหม่ที่เพิ่งเกิด ถือว่าเป็นการใช้ยาในภาวะจำเป็น เพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าการที่นำมารักษา ถือว่าได้ผลดี เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ติดเชื้อโอกาสหายก็จะมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ไทยจะมีการระบาดระยะที่ 3 นพ.โสภณกล่าวว่า อีก 2 เดือนข้างหน้าไทยจะมีอากาศร้อนมาก คาดว่าโรคติดต่อทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสต่ำสุด ทั้งไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก โรคหัด ถ้าเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นแบบไวรัสทางเดินหายใจตัวอื่น ก็น่าจะเป็นช่วงที่ปัญหาลุกลามไม่รุนแรง แต่เราไม่ประมาท ต้องเตรียมความพร้อมทุกเรื่อง ทั้งสถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ เครื่องมือ และทรัพยากรต่างๆ
อีกด้าน ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ มีรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวก่อนประชุมว่า สิ่งที่เราต้องเตรียมการ คือเรื่องการแพร่กระจายจากหลายประเทศ ไทยยังอยู่ระยะที่ 2 คือ ควบคุมได้ แต่อยากให้มีการเตรียมความพร้อมรับมือระยะที่ 3 หากมีการแพร่ระบาดภายในประเทศขึ้นมา ขอบคุณรองนายกฯและ รมว.ที่เกี่ยวข้อง หลังทราบข่าวว่าทุกคนให้ความสนใจและเดินหน้าในเรื่องนี้อย่างดี หวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะคลี่คลายได้โดยเร็วในทุกประเทศ
ต่อมาเวลา 11.25 น. พล.อ.ประยุทธ์แถลงหลังประชุมว่า การประชุมครั้งนี้ถือว่าสำคัญ เกี่ยวกับความพร้อมในการป้องกันแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวงร่วมหารือถึงมาตรการต่างๆ เรื่องแรกคือ รับทราบสถานการณ์ที่ผ่านมา มาตรการต่างๆในทุกมิติ ซึ่งได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพควบคุมได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่ยังห่วงและกังวลว่า ถ้าการแพร่ระบาดเกิดขยายจากระดับ 2 ไปถึงระดับ 3 มีการแพร่กระจายในพื้นที่ ต้องมีมาตรการรองรับไว้ล่วงหน้าไม่ให้เกิดความฉุกละหุก ประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือการผลิตหน้ากากอนามัย การจัดจำหน่าย ที่ยังขาดแคลนอยู่ การเตรียมแผนดูแลผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องการท่องเที่ยวและภาคอุตสาหกรรม เมื่อเกิดปัญหาแล้วต้องแก้ไขในภาพรวม คณะกรรมการที่ร่วมหารือถือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ขอขอบคุณทุกส่วนราชการอย่างมาก ที่ร่วมมือแก้ปัญหาจนเป็นที่น่าพอใจ เราต้องเตรียมมาตรการที่เหมาะสม
นายกฯยังกล่าวด้วยว่า ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก สิ่งที่รัฐบาลเตรียมมาตรการไว้ เป็นการคาดการณ์เผื่อไว้ในอนาคต ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่ต้องปฏิบัติ ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เราไม่สามารถแก้ปัญหาในลักษณะที่ได้อย่างเสียอย่าง หรือได้อย่างแล้วเสียสองอย่าง รัฐบาลนี้จะไม่ทำแบบนั้น ขอร้องเพียงอย่างเดียวทุกฝ่ายอย่าตื่นตระหนก อย่าให้ข่าวบิดเบือน อย่าสร้างเฟกนิวส์ หรือเฮทสปีช เพราะจะทำให้การทำงานไปไม่ได้ วันนี้ทุกคนเสียสละและทำหน้าที่ โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ และคงจะต้องทำต่อไปอีกจนกว่าสถานการณ์จะเรียบร้อย ไทยถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยังรองรับได้ ยืนยันจะดูแลทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องการท่องเที่ยว การประกอบการต่างๆในที่ประชุม ครม.สัปดาห์ต่อไป มีหลายอย่างที่นำเสนอเข้ามาแล้ว ขอสรุปนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เพื่อหามาตรการปฏิบัติต่อไป
หลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว พล.อ.ประยุทธ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า เพิ่งเสร็จจากการประชุมติดตามสถานการณ์ไวรัส #covid19 ผมยืนยันว่าเราไม่มีการปิดบังหรือบิดเบือนตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทย ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่าประเทศ ไทยมีมาตรการการป้องกันและควบคุมโรคที่ดี มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ได้ให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมวางแผน กรณีไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดให้จำกัดอยู่ในระยะที่ 2 ได้ และจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ที่จะแพร่ระบาดในวงกว้างภายในประเทศ ที่คาด-การณ์ว่าเพียง 1-2 เดือนของการแพร่ระบาดอาจพบผู้ป่วยมากกว่า 1,000 รายต่อวัน และอาจทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตทุกวัน จำเป็นต้องออกแผนบูรณาการความร่วมมือพหุภาคี ประสานงานหน่วยงานทุก ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างทบทวนมาตรการวีซ่าหน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือวีซ่า ออนอาร์ไรวัล (วีโอเอ) สภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงจะประชุมแสวงหาแนวทางการป้องกันในวันที่ 21 ก.พ. กระทรวงกลาโหมเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเมื่อได้รับการร้องขอ เตรียมออกกลยุทธ์ควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อในชุมชน รองรับการระบาดในระยะที่ 3 เช่น มาตรการให้ทำงานที่บ้าน เลื่อนหรืองดการ จัดงานชุมนุมขนาดใหญ่ ปิดสถานที่ที่เกิดการระบาดและควบคุมการระบาดในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก เช่น โรงเรียน เรือนจำ ค่ายทหาร เป็นต้น จากนั้นจะพิจารณาประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติเพื่อควบคุมการระบาดในชุมชน
วันเดียวกัน นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาฯ ได้ออกประกาศ เรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค COVID-19 ว่า ไม่อนุมัติหรืออนุญาตให้นักเรียน นิสิต หรือบุคลากร ลาหรือเดินทางไปยัง หรือแวะผ่าน ประเทศหรือเขตการปกครองที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 ระหว่าง 20 ก.พ.-19 เม.ย.2563 กรณีที่ได้รับอนุมัติก่อนหน้าประกาศนี้ ให้เลื่อนการเดินทางจนพ้นกำหนดวันที่ 19 เม.ย. 2563 หากมีความจำเป็นต้องเดินทางให้เสนอเรื่องให้มหาวิทยาลัยเพื่อพิจารณาเป็นรายกรณี เมื่อเดินทางกลับถึงไทยต้องไปรับการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังเชื้อโรคโควิด-19 ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หรือสถานพยาบาลอื่นที่มีมาตรฐานในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังเทียบเท่ากับโรงพยาบาลจุฬาฯ งดหรือเลื่อนการเชิญบุคคลจากต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน การประชุม สัมมนา หรือดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย ตามช่วงเวลาที่กำหนดดังกล่าว โดยให้นักเรียน นิสิตและบุคลากร ถือปฏิบัติตามประกาศนี้โดยเคร่งครัด ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.2563 เป็นต้นไป
ส่วนสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจีนและหลายประเทศทั่วโลก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 20 ก.พ. ว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน แถลงปรับยอดผู้เสียชีวิตและติดไวรัสโควิด-19 ว่า ผู้เสียชีวิตในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 2,118 คน ผู้ติดเชื้ออีกเกือบ 75,000 คน ในจำนวนนี้ รักษาตัวจนหายขาดแล้ว 16,155 คน และยังมีผู้ติดเชื้อในอีก 28 ประเทศกว่า 1,000 คน ญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 702 คน รวมทั้งอีก 621 คนบนเรือสำราญ “ไดมอนด์ ปริ๊นเซส” ที่จอดกักกันโรคที่เมืองโยโกฮามา ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.และพ้นกำหนดกักกันโรค 14 วันแล้ว ญี่ปุ่นยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 คน เป็นผู้โดยสารบนเรือไดมอนด์และติดไวรัสโควิด-19 ทั้ง 2 คนอายุอยู่ในช่วงวัย 80 ปี มีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตรวม 3 คนแล้ว ส่วนเกาหลีใต้ยืนยันผู้เสียชีวิตคนแรกจากไวรัสโควิด-19 แต่ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ
สถานีโทรทัศน์ “เอ็นเอชเค” ของญี่ปุ่น รายงานเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน ประกาศข้อแนะนำการวินิจฉัยโรคและรักษาผู้ป่วย ระบุว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่ระบาดผ่านละอองของเหลว (aerosol) ได้ ถ้าคนนั้นๆ สัมผัสกับละอองอากาศ ที่มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ระดับเข้มข้นสูงเป็นเวลานาน โดยก่อนหน้านี้ คณะกรรมการของจีนชุดดังกล่าวระบุว่า ละอองจากการหายใจและการติดต่อใกล้ชิดของผู้มีเชื้อไปสู่คนปกติ คือช่องทางการแพร่ระบาดหลัก แต่ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดผ่านละอองของเหลวหรืออากาศ
ขณะเดียวกัน นสพ.เซาธ์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ ของฮ่องกง รายงานด้วยว่า คณะสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมโยธา ของมหาวิทยาลัยซิตี้ ฮ่องกง เผยแพร่งานศึกษาวิจัยเตือนภัยด้านสาธารณสุข ระบุว่า การกดชักโครกโดยไม่ปิดฝา สามารถทำให้เกิดละอองมลพิษมากถึง 80,000 อณู ลอยในอากาศสูงเป็นเมตรและอยู่นานหลายชั่วโมง ทำให้แบคทีเรียแพร่เชื้อทางอากาศได้ ส่วนเชื้อโรคร้ายอื่นๆ อย่างเช่น ไวรัสโควิด-19 อาจแพร่ระบาดผ่านอนุภาคน้ำ ในงานวิจัยจึงมีการแนะนำให้ผู้ใช้ห้องน้ำปิดฝาโถส้วมก่อนกดชักโครก ทำระบบระบายอากาศและปิดประตูห้องน้ำถ้าไม่ใช้ แต่หนึ่งในทีมผู้ศึกษาวิจัยงานชิ้นนี้ ระบุว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดความหวาดผวาในช่วงไวรัสโควิด-19 กำลังระบาด เพราะงานวิจัยชิ้นนี้เริ่มศึกษาก่อนไวรัสโควิด-19 ระบาด อีกทั้งเป็นการมุ่งวิจัยหาความเชื่อมโยงระหว่างละอองของเหลวในอากาศกับการแพร่เชื้อโรค
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนและองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่ได้เพิ่มกรณีดังกล่าวเข้าในวิธีหรือแนวทางการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดย WHO ระบุด้วยว่าไวรัสโควิด-19 ส่วนใหญ่ระบาดผ่านการติดต่อสัมผัส
ใกล้ชิด แต่ยังต้องศึกษาโดยละเอียดต่อไป
ทางด้านเว็บไซต์ “sciencealert.com” รายงานผลการศึกษาวิจัยหลายฉบับ เพื่อดูว่าไวรัสกลุ่มโคโรนา รวมทั้งไวรัสโรคซาร์ส (SARS) และเมอร์ส (MERS) สามารถอยู่ได้กี่วัน เมื่อติดอยู่กับพื้นผิววัตถุ พบว่าไวรัสกลุ่มโคโรนาที่ติดบนพื้นผิววัตถุอยู่ในอุณหภูมิห้องปกติ จะอยู่ได้นานถึง 9 วันและยังมีฤทธิ์สามารถแพร่เชื้อต่อได้ ส่วนไวรัสโควิด-19 ยังไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงการแพทย์มากนัก แต่ถ้าเทียบเคียงกับไวรัสกลุ่มโคโรนาด้วยกัน น่าจะมีอายุไม่ต่างกันนัก
ด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯระบุว่า ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีผู้ติดไวรัสโควิด-19 ผ่านการสัมผัสจับต้องพื้นผิว หรือวัตถุที่มีเชื้อไวรัสแล้วแตะสัมผัสปาก จมูกหรือตาตัวเอง
นายนนท์ กลินทะ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้โดยสารลดการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ บริษัทจึงจำเป็นต้องปรับตารางการบินเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเดินทางและปริมาณการสำรองที่นั่งล่วงหน้าของผู้โดยสาร โดยมีการปรับเปลี่ยนเที่ยวบินใน 9 ประเทศ ดังนี้ เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ปักกิ่ง เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-กวางโจว เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เซียะเหมิน เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-คุนหมิง เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เฉิงตู เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ไทเป เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ- นาโกยา เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฟุกุโอกะ เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-โซล เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ปูซาน เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ- สิงคโปร์ เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-มะนิลา เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ธากา เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ดูไบ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของตารางการบินที่ปรับปรุงใหม่ รายละเอียดเที่ยวบินที่ทำการบินและเที่ยวบินที่ปรับลดได้ที่เว็บไซต์ thaiairways.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ THAI Contact Center โทร.0-2356-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
- กลับบ้านแล้ว
- สรุปอัปเดต “โควิด-19” ในไทยเจอเพิ่ม เลื่อนเที่ยวประเทศฮิต จับตาคนบนเรือสำราญ
- คาบาเรต์เชียงใหม่ ปิดกิจการ ไม่มีกำหนด เซ่นไวรัสโควิค-19
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath
เอาประชาชนประเทศตนเองเป็นหลัก ดีแล้วอย่าพลาด ถ้าพลาดมาผลที่จะเกิดยิ่งใหญ่มหาศาลยากที่จะแก้ไข
21 ก.พ. 2563 เวลา 02.35 น.
✨Mom&Dad✨ โอ้ย! กลุ้มใจว่ะ! เมื่อไรจีนจะหยุดยั้งเชื้อตัวนี้ได้ ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ ทั่วโลกเดือดร้อนกันทุกประเทศ ด้วยสภาพอากาศของจีนตอนนี้ และที่สำคัญคือพฤติกรรมด้านสุขอนามัยของคนจีน เป็นอุปสรรคต่อการกพจัดยับยั้งการแพร่ระบาด การกินอยู่ ไอ จาม ขากถุย! โอ้ย! แพร่ไปทั่วประเทศจีนละ ตายไม่หยุด ติดเชื้อเพิ่มๆๆ โลกเข้าสู่ยุคหายนะจากโรคระบาดนี่แหละ!
21 ก.พ. 2563 เวลา 03.34 น.
แบนจีนเข้าประเทศเถอะครับ
ผมเชื่อว่าจีนเข้าใจเหตุผล
เค้าปิดตั้งกี่เมือง ติดเชื้อแล้วตั้งกี่คน
ห่วงคนในประเทศเราก่อนเถอะ
21 ก.พ. 2563 เวลา 04.04 น.
.Jit.y ไม่รีบป้องกันแบบเข้มข้น จะมาแก้ปัญหาทีหลังแบบจีน มันจะเอาไม่อยู่นะครับ...
21 ก.พ. 2563 เวลา 02.40 น.
X-Man OMG.... wow
ถ้าถึงขนาดนี้ ยอดติดแบบอาการไม่โผล่น่าจะพรึ่บ
เพราะบางคนอาจคิดว่าเป็นหวัดธรรมดา
21 ก.พ. 2563 เวลา 03.51 น.
ดูทั้งหมด