ไลฟ์สไตล์

"ห่าฝน" ในประวัติศาสตร์ไทย "ห่าหนึ่ง" หมายถึงเท่าไหร่?

ศิลปวัฒนธรรม
อัพเดต 01 ก.ย 2566 เวลา 03.42 น. • เผยแพร่ 30 ส.ค. 2566 เวลา 09.18 น.

“ห่าฝน” ที่เราได้ยินกันจนคุ้นชิน โดยเฉพาะในช่วงฝนตกหนัก “ห่าหนึ่ง” หมายถึงปริมาณเท่าไหร่?

ฝนกับคนไทยมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เพราะประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพในทางกสิกรรมซึ่งต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก แม้แต่ในปัจจุบัน ถ้าปีใดฝนแล้ง การทำไร่ไถนาก็มักจะไม่ได้ผล ด้วยเหตุนี้ชาวไร่ชาวนาจึงมักจะถามถึงนาคให้น้ำตามปฏิทินเสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำกี่ตัว ฝนตกทั้งหมดกี่ห่า ข้าวกล้าในนาจะดีหรือจะเสีย

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นอกจากจะเกี่ยวกับการกสิกรรมของคนไทยดังกล่าวแล้ว ในประวัติศาสตร์ ฝนก็ยังมีบทบาทสำคัญ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งบางครั้งก็เป็นเหตุการณ์ดี แต่บางครั้งก็เป็นเหตุการณ์ร้าย

ในรัชกาล 4 มีเรื่องเกี่ยวกับฝนที่น่าสนใจ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ ได้ถวาย “เครื่องรองน้ำฝน” แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเครื่องหนึ่ง ซึ่งจากประกาศว่าด้วยเครื่องรองน้ำฝนอย่างยุโรป มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า

“—เครื่องมือนี้ดีมาก แต่ว่าคนที่รองน้ำฝนแต่ก่อน สันดานไพร่หยาบคายเลวนัก รู้จักแต่จะหุงข้าวตำแกงตำน้ำพริก กินข้าวแล้วเกียจคร้านที่จะล้างมือแลหาผ้าเช็ดมือ เอามือเช็ดหัวตัวเอง ไม่รู้จักดูแลของใช้ดี ๆ เลย ไกลนักหนาแต่ความรู้ละเอียด เพราะฉะนั้นก่อนนี้ไป ด้วยเครื่องมือนั้น หาได้ความเป็นแน่ไม่…”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นั้นถึงกับทรงจดทำเป็นบัญชีน้ำฝนไว้โดยเฉพาะ โดยทรงเริ่มจดทำเป็นบัญชีรายวันตั้งแต่ พ.ศ. 2389 ในรัชกาลที่ 3 จนถึง พ.ศ. 2433 ในรัชกาลที่ 5 รวมเป็นเวลา 45 ปี นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงอธิบายคำว่า “ห่าฝน” ไว้ด้วย มีข้อความบางตอน ดังนี้

“…ก็คำที่เขาพูดกันว่าฝนตกได้ ห่าหนึ่งนั้น คือเขาเอาบาตร์หรือหอยโข่งมาตั้งไว้กลางแจ้ง ถ้าได้น้ำเต็มอันนั้นแล้ว เขาเรียกว่าได้ห่าหนึ่ง…ก็บาตร์ตะกั่วที่สำหรับรองน้ำในพระบรมมหาราชวังครั้งเก่านั้น ปากกว้างแทงตลอด 10 นิ้วกึ่ง สูง 9 นิ้ว กะพุ้งโดยรอบ 1 คืบ 10 นิ้ว จุน้ำ 12 ทะนาน ๆ ละ 4 ถ้วยใหญ่ ๆ 2 ถ้วยกลาง ๆ 2 ถ้วย ยอด ๆ คิดเป็นน้ำนิ้วกึ่ง (10 เซ็นต์ครึ่ง) ถ้วยกลางคิดเป็นน้ำ 3 นิ้ว (21 เซ็นต์) ถ้วยใหญ่คิดเป็นน้ำ 6 นิ้ว (42 เซ็นต์) ทะนานหนึ่งเป็นน้ำ 24 นิ้ว (168 เซ็นต์) บาตร์หนึ่ง…”

อ่านเพิ่มเติม :

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

ข้อมูลจาก :

“ฝนประวัติศาสตร์ของเมืองเรา”. จากหนังสือ กรุงเทพฯ ในอดีต. โดย เทพชู ทับทอง. อักษรบัณฑิต. 2518

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 21 ตุลาคม 2561

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 20
  • somsak
    ถามจริงๆ​ คนเขียน​อ่าน​หรือเปล่า​ อ่านแล้ว​รู้เรื่อง​บ้าง​ไม่รู้​เรื่อง​บ้าง​ ไม่ต่อเนื่อง​กัน​ งง
    21 ต.ค. 2561 เวลา 05.26 น.
  • iGamez
    ห่าาา แทนที่จะเทียบออกมาให้หน่อยว่ามันได้ปริมาตรเท่าไร มากน้อยแค่ไหน สักแต่ลอกข้อมูลมาทำคอนเทนต์ ห่าเอ้ย
    21 ต.ค. 2561 เวลา 13.27 น.
  • Atthakorn
    นั่นนะสิ.. ห่าเอ้ย.. อ่านไม่รู้รื่องเลย!
    21 ต.ค. 2561 เวลา 14.56 น.
  • บิ๊กจ้ะ
    นับในสภามีหลายห่าเลยแหล่ะ
    21 ต.ค. 2561 เวลา 07.50 น.
  • จีรวัฒน์ ขันบรรจง
    ถ้าคิดตามนี้ ฝน ห่าหนึ่ง(๑ บาตร์) ก็จะได้ ปริมาตรน้ำฝน ที่ ๖.๗๒ ลูกบาศก์เมตร ๑๖๘ * ๑๒ = ๒,๐๑๖ เซนติเมตร ๒,๐๑๖ / ๓ (สูตรการหา ปริมาตร กว้าง/ยาว/สูง) = ๖๗๒ ลูกบาศก์เซนติเมตร
    21 ต.ค. 2561 เวลา 23.27 น.
ดูทั้งหมด