เมื่อวานนี้ (20 เมษายน 2562) จากการเปิดเผย ดัชนีความทุกข์ยากประจำปี 2019 ของ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ซึ่งประเทศไทยรั้งอันดับ 1 ประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุด จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดุเดือดบนโลกออนไลน์
โดยส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นค้าน หลายคนระบุว่าค่าครองชีพสูงขึ้นต่อเนื่องมาตลอด 5 ปี ลูกจ้างโรงงานถูกปลดจำนวนมาก เงินเดือน-รายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ และอีกส่วนกล่าวในเชิงประชดว่าไทยมีคนทุกข์ยากน้อยจริงๆ แต่ที่เหลือเกือบทั้งประเทศเป็นคนที่ทุกข์ยากมาก
นอกจากการเปิดเผยก่อนหน้านี้ของ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาระบุว่า “ไทยมีค่าคะแนนความทุกข์ยากที่ระดับ 2.1 ต่ำสุดเป็นอันดับ 1 ในปี 2018 ขณะที่ผลสำรวจคาดการณ์ดัชนีปี 2019 ของบลูมเบิร์ก พบว่า ไทยยังคงรั้งอันดับ 1 ด้วยคะแนน 2.1 เช่นเดิม”
อย่างไรก็ตาม รายงานชิ้นเดียวกันนี้ของบลูมเบิร์ก ยังมีข้อความอีกส่วนที่ระบุว่า
“แม้ประเทศไทยจะครองอันดับ 1 ประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดอีกครั้ง แต่วิธีการการนับอัตราคนว่างงานของรัฐบาลที่ไม่เหมือนใครเป็นส่วนที่ทำให้คะแนนน้อยลง และส่งผลให้การรั้งตำแหน่งของไทยไม่น่าสนใจ เท่ากับการพัฒนาของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งปรับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 และสิงคโปร์ที่ยังสามารถอยู่ใน 3 อันดับประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลกได้
ดัชนีความทุกข์ยากของบลูมเบิร์กเป็นการคำนวณจากแนวคิดเดิม โดยประเมินว่าตัวเลขเงินเฟ้อและอัตราว่างงานที่ต่ำ แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลการจัดอันดับในปี 2019 เป็นผลสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งต่างจากปีก่อนๆ ที่ใช้ข้อมูลจริงรายปี
และบางครั้ง แน่นอนว่า ตัวเลขที่ต่ำสามารถก่อให้เกิดความไขว้เขวได้ในหลายประเด็น อาทิ ราคาสินค้าต่ำอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) ที่น้อยมาก หรือตัวเลขการว่างงานที่ต่ำเกินไปนั้นถือเป็นอุปสรรคสำหรับแรงงานที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพที่ดีขึ้น”
ก็ขนาดนักข่าวนานาชาติ บอกว่าประเทศไทยดีที่สุดแล้วสำนักข่าวนี้ยังบอกไม่ดี เอ๊ะได้ยังไง เอ๊ะได้ยังไง
20 เม.ย. 2562 เวลา 15.37 น.
Ultravitt ประเทศนี้ดี ผมเชื่อเช่นนั้น
เชื่อผมเถอะทั่น ประเทศนี้ดี
ไม่เชื่อ"เปิดเข้ามา" ดู...
20 เม.ย. 2562 เวลา 15.14 น.
คือเอาแบบตรงๆนะใครว่าสวิส หรือสิงคโปร์ดี ก็เชิญไปอยู่เลยนะ เค้าหนับหนุน
20 เม.ย. 2562 เวลา 15.14 น.
ดูทั้งหมด