ประเด็นเรื่องการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยว ชาวจีนและอินเดีย กำลังเป็นที่ถกเถียงกันในสภาอย่างคุกรุ่น เมื่อทางฝั่งกระทรวงการคลัง นำโดย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ได้นำเสนอนโยบายให้ยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวชาวจีน และ อินเดียให้เดินทางมาไทยเป็นเวลา 1 ปี เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เกิดการบริโภคและลงทุนภายในประเทศ
ในขณะที่หน้าด่านอย่างกระทรวงการต่างประเทศ นำโดย นายดอน ปรมัตถ์วินัย ได้ออกมาคัดค้านนโยบายดังกล่าว หรือ แม้แต่พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรก็ยังรู้สึกไม่เห็นด้วย โดยนายดอนได้โต้แย้งในประเด็นที่น่าคิดว่า ทำไมเราจึงไม่ควรปล่อยฟรีวีซ่า? ว่า..
นโยบายที่ทางกระทรวงการคลัง คิดออกมาเพื่อที่จะดึงดูดปริมาณนักท่องเที่ยวด้วยฟรีวีซ่า ฟังดูย้อนแย้งกับ แนวทางการวางกลยุทธ์ทำการตลาดคุณภาพที่การท่องเที่ยวไทยวางไว้ และไหนจะประเด็นเรื่องศักยภาพในการรองรับ ความแออัดกระจุดตัว และวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวที่ไม่สอดรับกับคนท้องถิ่น
จึงเคยเกิดเป็นปัญหาที่กระทบเรื่องความสัมพันธ์มาแล้ว อีกทั้งปัญหานักท่องเที่ยวเข้ามากบดาน หนีภัยธรรมชาติ หรือหนีความลำบากมาปักหลักที่ไทยก็เป็นได้
ซึ่งพอมามองดูแล้วตอนนี้ประเทศไทยเราอาจจะเริ่มเข้าสู่ ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง หรือ Overtourism ถ้าไม่มีการควบคุม หรือ บริหารจัดการการท่องเที่ยวที่ดีพอ
ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง เกิดจากการที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากทะลักเข้ามากระจุกตัวจนเกินความสามารถที่แหล่งท่องเที่ยวนั้นจะรองรับได้ และทำให้เกิดผลกระทบหลายด้านต่อ ประเทศหรือพื้นที่นั้นๆ
อย่างหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดคือเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติที่เราต้องสูญเสียไป อย่างเมื่อช่วงที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ประกาศให้ปิด อ่าวมาหยา กลางทะเลอันดามัน เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ เป็นเวลา 2 ปี
ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามาอย่างหนาแน่นประมาณ 5,000 คนต่อวัน จนทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม เกิดปะการังฟอกขาวจากครีมกันแดดของนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ยังมีเรื่องผลกระทบระหว่างนักท่องเที่ยวกับคนท้องถิ่น อย่างปัญหาระบบสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอทำให้นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นต้องเเย่งกันกินแย่งกันใช้ ซึ่งอาจทำให้ไม่ได้รับประสบการณ์การการท่องเที่ยวที่น่าพึงพอใจนัก
ค่าครองชัพที่สูงขึ้น แน่นอนว่าเมื่อที่ไหนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต ราคาสินค้า บริการก็จะแพงขึ้นด้วยเพราะความต้องการที่มากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้คนในท้องถิ่นต้องรับผลกระทบส่วนนั้นไปด้วย
และเรื่องของวัฒนธรรมที่ไม่สอดรับกัน อาจเกิดปัญหาความวุ่นวาย รบกวนคนในพื้นที่ หรือ มรดกทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป อย่างการนำวัตถุโบราออกจากพื้นที่
โดยสถิติของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อปี 2561 มากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ ชาวจีน 10 ล้านคน รองลงมาเป็น มาเลเซีย 4 ล้านคน และเกาหลี 1.8 ล้านคน แต่ทางรัฐบาลอยากฟรีวีซ่าให้กับทางจีนและอินเดียโดยเฉพาะเพราะเป็น 2 ประเทศที่มีประชากรเยอะติดอันดับโลก รวมกันแล้วมากถึง 2.7 พันล้านคน
ซึ่งอย่างน้อยควรมีการจัดการ ควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยว อย่างการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปในช่วงเวลาที่หนาแน่ โดยการส่งเสริมให้เที่ยวช่วง low season หรือใช้วิธีการจองผ่านระบบล่วงหน้า ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง หรืออย่างใน บาหลี ที่สาธารณรรัฐอินโดนีเซียมีการจัดเก็บภาษีนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกนอกประเทศเป็นจำนวน 10 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำเงินไปบำรุงรักษา ฟื้นฟูธรรมชาติ
แน่นอนว่า “การท่องเที่ยว” ยังเป็นจุดขายหลักที่สำคัญที่จะนำรายได้มหาศาลมาสู่ประเทศไทย แต่จะดีกว่าไหมหากทำให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพโดยไม่ลำบากใจคนในประเทศ หรือ คนท้องถิ่น อีกทั้งคนที่มาท่องเที่ยวก็ได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวดีๆ ประทับใจกลับไปอีกด้วย
แล้วคุณล่ะ คิดยังไงกับการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดีย?
" Ake " ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ถ้าฟรีจริง ก็ต้องกำจัด นอมินีให้หมดก่อน ทัวร์จีนเกือบ 100% มาด้วยไกด์จีน บริษัทคนจีนในประเทศไทย อาจรวมที่พัก ที่อาจเป็นของคนจีนด้วย
21 ส.ค. 2562 เวลา 16.56 น.
พรทิพา อีกเรื่อง ตอนนี้ร้านอาหาร ห้องอาบน้ำที่พัทยา เจ้าของเป็นคนจีนทั้งนั้นเลย ทำไมเขามาทำธุรกิจนี้ได้ ควรสงวนให้คนไทยในพื้นที่ดีกว่านะ จนท.ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบด้วย ยิ่งบนเกาะล้าน ทั้งหมดเลย
21 ส.ค. 2562 เวลา 23.35 น.
Knot จะเอานักท่องเที่ยวขยะ สถุน ตัวเหม็นมาทำลายสถานที่ท่องเที่ยวทำไม
21 ส.ค. 2562 เวลา 23.26 น.
LeRT ควบคุมนักท่องเที่ยวดีกว่า คุณภาพดีกว่าปริมาณแน่นอน ปัญหาต่างๆจัดการได้ง่ายถ้า มีแต่ปริมาณ คุณดอน ให้เหตุผลที่ดี
21 ส.ค. 2562 เวลา 23.35 น.
varavuth ถ้าจะให้ก็ให้ประเทศที่เค้ากล้าใช้จ่าย ไม่ใช้ให้เพราะปริมาณเเน่นมูลค่าหน่อย
21 ส.ค. 2562 เวลา 16.30 น.
ดูทั้งหมด